รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 1000 เพื่อการใหญ่ พวกเจ้าเลือกสละตนเองเถิด!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

บทที่ 1000 เพื่อการใหญ่ พวกเจ้าเลือกสละตนเองเถิด!

สามมหากาฬแห่งปรโลก จ้าวปริภูมิเวลาทั้งสาม นักพรตกู่ ต้นหม่อนโบราณผู้เคยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันในอดีต ในที่สุดก็เลือกร่วมมือกันเพื่อต่อสู้ศึกสุดท้าย!

“ศึกนี้ต้องชนะเท่านั้น แพ้ไม่ได้เด็ดขาด!”

“ไป!”

พวกเขาอำพรางพลังปราณและเริ่มลงมือ

ในจักรวาลผืนที่หลี่จิ่วเต้าอยู่

ท่ามกลางอาณาจักรระดับกลางแห่งหนึ่ง

เด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวบุคลิกสูงส่งผู้หนึ่งเยื้องย่างอยู่ท่ามกลางพงไพร

ทันใดนั้นเขาหยุดฝีเท้า ทอดสายตามองออกไปไกล

“แรงสั่นเกิดถี่ขึ้นเรื่อย ๆ…”

เขาพึมพำเสียงเบากับตัวเอง รู้สึกถึงคลื่นพลังที่ส่งออกจากแดนบูชายัญอันธการ

“นี่คือหายนะใหญ่หลวงที่สุด และเป็นหายนะที่ผ่านไปได้ยากที่สุด ท่านผู้นั้นคิดผิด ไม่ควรแยกการเตรียมการออกจากกัน ควรต้องรวมอยู่ที่เดียวกันถึงจะถูก”

เขาพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง “รวมอยู่ด้วยกันจึงจะมีโอกาสคลี่คลายหายนะคราวนี้”

ใช่แล้ว ท่านผู้นั้นที่เขาเอ่ยถึงก็คือผู้เบิกทางท่านนั้น

และเขาเองก็เป็นคนที่ผู้เบิกทางเลือก ได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลง บัดนี้ฟื้นพลังขึ้นมาเต็มที่

‘บางทีท่านผู้นั้นอาจไม่ได้คิดทิ้งการเตรียมการไว้นานัปการ เดิมอาจตั้งใจทิ้งไว้เพียงการเตรียมการที่ทรงพลังที่สุด’

เขาครุ่นคิด

เหตุใดท่านผู้นั้นต้องกำหนดคนไว้มากมายเพียงนั้น

เลือกเพียงคนเดียวไม่ดีกว่าหรือ

ทิ้งการเตรียมการและวาสนาการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างไว้ให้คนคนเดียว ช่วยให้คนผู้นั้นแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มีพลังมากพอให้ต่อกรกับหายนะทั้งปวงไม่ดีกว่าหรือ

ในสายตาของเขา กระจายการเตรียมการออกไปไม่ส่งผลดีนัก

เพราะไม่มีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด!

ต่อให้สุดท้ายทุกคนผนึกกำลังก็ยากจะต่อกรกับความมืดมิดที่คืบคลานเข้ามา

“ข้ารู้สึกว่าบางทีท่านผู้นั้นตั้งใจเลือกเพียงหนึ่งคน เพียงแต่ต่อมาได้รับผลกระทบจากสำนึกแห่งโรคเหล่านั้นจึงไม่เป็นจริง ถึงได้กำหนดคนไว้มากมายเช่นนั้นกระมัง”

เขารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีผู้ถูกกำหนดนับคณา มีเพียงผู้เดียวก็พอแล้ว ท่านผู้นั้นต้องได้รับผลกระทบเป็นแน่ถึงได้กระจายการเตรียมการและวาสนาการเปลี่ยนแปลงออกไป

“เช่นนั้นให้ข้าเป็นผู้ผนวกเอง สร้างกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดขึ้นมาลบล้างความมืดมิด ช่วยให้แสงสว่างดำรงอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์!”

ดวงตาของเขาวาวโรจน์ น้ำเสียงมุ่งมั่น ตั้งใจผนวกการเตรียมการและวาสนาการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเข้าด้วยกัน ให้ตัวเขาเองแข็งแกร่งมากขึ้น จนมีพลังพอจะต่อกรกับความมืดมิด

และทั้งหมดนี้ก็ขอเริ่มจากวันนี้แล้วกัน…

เขาสงบความคิด พริบตาเดียวก็ปรากฏตัวในอีกที่หนึ่ง

ที่นี่มีคนที่เป็นเฉกเช่นเขา เขาจับสัมผัสได้ ถึงได้ตั้งใจมาที่นี่

“สหายมาได้พอดี พวกเราพบสำนึกแห่งโรคอันทรงพลังตนหนึ่ง กำลังตามหาเขาอยู่!”

ใครบางคนปรากฏตัว เอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเด็กหนุ่มอาภรณ์ขาว

เขาคือสวีจื้อ เป็นผู้ถูกกำหนดเช่นกัน สัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวเป็นเหมือนกับเขา

สำนึกแห่งโรคอันทรงพลังที่ว่าคือหลี่จิ่วเต้า

หลินสีก็อยู่ข้างกายเขา

เดิมพวกเขาตั้งใจไปหาหลี่จิ่วเต้าที่เมืองชิงซาน สุดท้ายเกิดอุบัติเหตุกลางทาง พบเจอกับกลุ่มคนผิดธรรมชาติถูกทำร้ายจนหนีหัวซุกหัวซุน

แน่นอนว่ากลุ่มคนผิดธรรมชาตินั้นก็คือพวกหลี่จิ่วเต้า

เพียงแต่ตอนนั้นพวกเขายังไม่ทราบ พวกหลี่จิ่วเต้าเปลี่ยนแปลงรูปโฉมภายนอกและตัวตนกันหมด

พวกเขาหนีกันหัวซุกหัวซุน เสียเปรียบครั้งใหญ่ หลินสีพิโรธเพราะเหตุนี้จนบุกไปถึงเมืองชิงซาน หมายจะสังหารสำนึกแห่งโรคอย่างหลี่จิ่วเต้าเพื่อระบายความแค้น!

ทว่าหลังพวกเขาไปถึงเมืองชิงซานกลับไม่พบอะไรเลย

พวกเขาจึงพากันตามหาจนทั่ว

ต่อมา พวกเขาได้ยินข่าวว่าพวกหลี่จิ่วเต้าเหมือนจะอยู่ในอาณาจักรที่พวกเขาเสียเปรียบครั้งใหญ่!

เวลานั้นมีสำนึกแห่งโรคตื่นขึ้นหมายจะล้างผลาญทั้งอาณาจักร หลี่จิ่วเต้าออกโรงกำจัดสำนึกแห่งโรคนั้นไปได้

ทว่าเขาได้เปิดเผยตัวตนเพราะยอดศาสตราที่ใช้ จึงถูกสิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนั้นจำได้

หลังหลินสีและสวีจื้อทราบเรื่องนี้อย่าให้เอ่ยเลยว่าโมโหเพียงใด

พวกเขายังบอกอีกว่ามีหรือที่จู่ ๆ จะมีกลุ่มคนผิดธรรมชาติเช่นนั้นปรากฏ แม้แต่พวกเขายังสู้ไม่ได้ ถูกเล่นงานอย่างอนาถ

หลังรู้ข่าวนี้พวกเขาก็เข้าใจในทันที

ไฉนเลยจะมีกลุ่มคนผิดธรรมชาติเช่นนั้นปรากฏออกมาฉับพลัน กลุ่มคนผิดธรรมชาตินั้นก็คือพวกหลี่จิ่วเต้า!

เป็นผลให้พวกเขายิ่งเดือดดาล จิตสังหารรุนแรงขึ้น!

ทว่าพวกเขาไม่กล้าไปหาพวกหลี่จิ่วเต้า ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้พวกเขาเพิ่งเสียเปรียบมหันต์ให้กับพวกหลี่จิ่วเต้า!

ต่อมา พวกเขาพำนักในที่แห่งนี้มาตลอด หมั่นเพียรฝึกฝน คิดว่าเมื่อขอบเขตพลังแข็งแกร่งขึ้นแล้วค่อยไปล้างแค้นพวกหลี่จิ่วเต้า

“สำนึกแห่งโรคอันทรงพลัง?”

ฉานเฟิง เด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวขมวดคิ้ว

“อืม!”

สวีจื้อพยักหน้า “เขามีนามว่าหลี่จิ่วเต้า เคยปรากฏตัวอย่างเอิกเกริก ชื่อเสียงแซ่ซ้อง!”

แน่นอนว่าเขาเป็นคนปั้นเรื่องนี้ขึ้นเพื่อให้หลินสีช่วยเขาต่อกรกับหลี่จิ่วเต้า

ส่วนหลี่จิ่วเต้าใช่สำนึกแห่งโรคหรือไม่

เขาไม่แน่ใจนัก

ผู้เบิกทางท่านนั้นทิ้งการเตรียมการและวาสนาการเปลี่ยนแปลงไว้นานัปการ แต่ใช่ว่ามีเจ้าของทั้งหมด มีการเตรียมการและวาสนาการเปลี่ยนแปลงจำนวนหนึ่งที่ไร้เจ้าของ ไม่เคยมีผู้ได้รับเลือก

เขาไม่รู้สึกว่าหลี่จิ่วเต้าคือพวกเดียวกัน หรือก็คือไม่มีพลังปราณอันเป็นของผู้ถูกกำหนด

หลี่จิ่วเต้าคงได้รับการเตรียมการและวาสนาการเปลี่ยนแปลงอันไร้เจ้าของไป

บัดนี้เขายังเอ่ยว่าหลี่จิ่วเต้าคือสำนึกแห่งโรคก็เพื่อให้ฉานเฟิง เด็กหนุ่มอาภรณ์ขาวเข้าร่วมพวกเขา ช่วยพวกเขาจัดการหลี่จิ่วเต้า

“หลี่จิ่วเต้า? อืม ชื่อดังจริงด้วย…”

ฉานเฟิงพยักหน้า

ในอาณาจักรต่าง ๆ ท่ามกลางจักรวาล ผู้ที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดก็คือหลี่จิ่วเต้า หลี่จิ่วเต้าเคยแสดงฝีมืออันไร้เทียมทาน และถูกมองว่าไร้พ่ายในจักรวาล!

“เดิมข้าคิดว่าเขาเป็นเฉกเช่นพวกเรา ได้รับการเตรียมการและวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ท่านผู้นั้นทิ้งไว้ ที่แท้เขาเป็นสำนึกแห่งโรคตนหนึ่ง!”

เขาแค่นยิ้มพลางเอ่ย “คิดแล้วเหล่าศาสตราวิเศษที่เขาเคยเปิดเผยชิงไปจากคนประเภทเดียวกับเราทั้งสิ้น!”

“ใช่แล้ว เขาชิงไป!”

สวีจื้อพายเรือตามน้ำ “ข้าได้พบพวกเดียวกับเราคนหนึ่ง วาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ท่านผู้นั้นทิ้งไว้ให้เขาถูกหลี่จิ่วเต้าปล้นสะดมไปหมด ซ้ำยังกำราบเขาเป็นลูกสมุนอีกด้วย”

พวกเดียวกันที่เขาว่าก็คือเจ้าอ้วน นักพรตอู๋เหลียง

“มิน่าล่ะ”

ฉานเฟิงเอ่ยว่า “บางทีที่เขาจงใจเอิกเกริกเพียงนั้นก็เพื่อล่อหลอกพวกเราออกไป แล้วฆ่าชิงวาสนาการเปลี่ยนแปลงของพวกเราไปกระมัง!”

“ไม่ใช่แค่นั้น!”

เวลานั้น หลินสีเอ่ยขึ้นว่า “เขาคงล่อหลอกสำนึกแห่งโรคอื่น ๆ ให้ออกมาเพื่อกลืนกินพวกมัน เพิ่มพูนพลังของตน! ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเพิ่งทำเช่นนี้ไป กำจัดสำนึกแห่งโรคไปหนึ่ง คิดแล้วคงกลืนกินพลังของสำนึกแห่งโรคนั้นจนทวีความกล้าแกร่ง!”

“แม้แต่สำนึกแห่งโรคยังใช้วิธีการนี้หรือ”

ฉานเฟิงหัวเราะ “เช่นนั้นข้ายังต้องทำแบบนี้…”

“หา? ทำอะไร”

“ผนวกกำลัง สร้างกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดออกมา!”

ฉานเฟิงเอ่ยด้วยดวงตาลุกวาว

หลังสวีจื้อและหลินสีได้ยินคำกล่าวของฉานเฟิงก็สังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา

พวกเขาถอยหลังหลายก้าว เว้นระยะห่างออกจากฉานเฟิงและเฝ้าระวัง

“เจ้าคิดจะทำอันใด”

หลินสีถามด้วยใบหน้าอึมครึม

“ข้าบอกแล้ว ผนวกกำลัง สร้างกำลังรบแข็งแกร่งที่สุด!”

ฉานเฟิงเอ่ยบอกอีกครั้ง

“หมายความว่าอย่างไร เจ้าคงไม่ได้หมายหัวพวกเราใช่หรือไม่!” สวีจื้อเอ่ย

“ใช่แล้ว”

ฉานเฟิงไม่ได้ปิดบัง “ปราศจากกำลังรบแข็งแกร่งที่สุด พวกเราไฉนเลยจะต่อกรกับความมืดมิดอันน่าพรั่นพรึงนี้ไหว เพราะอย่างนั้น พวกเราจำต้องสร้างกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดออกมา!”

“เจ้าหมายความว่าจะเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งที่สุดใช่หรือไม่!”

หลินสียิ้มเย็นพลางเอ่ย

“ถูกต้อง เพื่อการใหญ่ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะยอมสนับสนุนข้า ช่วยให้ข้าทรงพลังยิ่งขึ้นจนกลายเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุด”

ฉานเฟิงกล่าว

“น่าขัน เพื่อการใหญ่อะไรกัน?! เพื่อการใหญ่แล้วต้องให้พวกเราสละตนเองหรือ”

สวีจื้อแค่นเสียงเอ่ย “เหตุใดเจ้าถึงไม่สละตนเอง ให้ข้าหรือพี่หลินสีกลายเป็นกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดเล่า”

“เพราะข้าเหมาะสมกว่าพวกเจ้า”

ฉานเฟิงเอ่ย “กำลังรบแข็งแกร่งที่สุดนี้ต้องเป็นข้าเท่านั้น”

“อวดดียิ่งนัก เจ้าพูดได้หน้าไม่อายจริง!”

สวีจื้อลงมือ บุกโจมตีฉานเฟิง

พลังของเขากล้าแกร่งขึ้นเห็น ๆ ทลายขีดจำกัดขอบเขตอิสระ บรรจุจากขอบเขตอิสระขั้นแปดในตอนแรกถึงขอบเขตล้ำขีดขั้นหนึ่ง

แน่นอนว่าเป็นเพราะความช่วยเหลือจากหลินสี เขาถึงยกระดับได้รวดเร็วเช่นนี้

หลินสีแบ่งวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ท่านผู้นั้นทิ้งไว้ให้เขาจำนวนหนึ่ง ช่วยให้เขาบรรลุขอบเขตล้ำขีด

เทียบกับหลินสี วาสนาการเปลี่ยนแปลงที่เขาได้รับน้อยเหลือเกิน หลินสีได้รับวาสนาการเปลี่ยนแปลงมหาศาล อีกทั้งอัศจรรย์สูงส่งกันทั้งหมดด้วย!

“เปล่าประโยชน์ การขัดขืนของพวกเจ้าล้วนไม่มีประโยชน์”

ฉานเฟิงเยื้องย่าง พลังปราณอันทรงพลังปะทุ กระเทือนสวีจื้อจนปลิวไปอีกด้าน!

เขากล้ามานี่ ซ้ำยังกล้าผนวกกำลัง พลังของเขาย่อมแกร่งกล้าเหลือคณา

มิฉะนั้น เขาไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้

“ฆ่า!”

เวลานั้นหลินสีเคลื่อนไหว ตวัดทวนยาวสีเงินในมือแทงไปทางฉานเฟิง!

เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่า มีพลังระดับล้ำขีดขั้นห้า เมื่อตวัดทวนออกไปก็มีเสียงระเบิดกัมปนาทดังขึ้นมากมาย ยับเยินไปทั่วทั้งอาณาจักร!

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้บรรลุขอบเขตล้ำขีดขั้นห้า

เขาอาศัยวาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ท่านผู้นั้นทิ้งไว้ให้ยกระดับอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา จากล้ำขีดขั้นสามในตอนแรกมาถึงล้ำขีดขั้นห้า

แต่เขาก็ยังไม่ไหว!

ฉานเฟิงหน้าตาเย็นชา ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปด้วยความเร็วทะลุขีดจำกัด พริบตาเดียวก็คว้าทวนยาวสีเงินที่ตวัดเข้ามาไว้ได้

พลันประกายบนทวนยาวสีเงินเริ่มมัวหมอง พลังที่เจืออยู่ภายในรั่วไหลหายไปอย่างรวดเร็ว!

“อะ…อะไรกัน!”

สีหน้าหลินสีเปลี่ยนไปอย่างมาก รีบคลายมือข้างที่จับทวนยาวสีเงินไว้โดยไม่ลังเล

พลังของทวนยาวสีเงินไม่ได้หายไป หากแต่ถูกฉานเฟิงสูบไป!

ผ่านไปไม่นาน ทวนยาวสีเงินก็มัวหมองสิ้นประกาย จากนั้น ทวนยาวสีเงินแตกร้าวดัง ‘แกรก’ เศษของมันกระจายเกลื่อนพื้น

“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงบอกว่าตัวเองเหมาะสมที่สุด”

ฉานเฟิงเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะข้าได้รับวิถีผสานที่ท่านผู้นั้นทิ้งไว้ให้! สามารถผสานสรรพสิ่งในใต้หล้าเข้าด้วยกัน!”

เขาหันมองหลินสี “เพราะอย่างนี้ เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ พวกเจ้าเทียบข้าไม่ได้ กำลังรบแข็งแกร่งที่สุดต้องเป็นข้าเท่านั้น”

วิถีผสานสามาถผสานทุกอย่างในใต้หล้าให้เป็นไปตามความต้องการของเขา กลายเป็นพลังของเขา

และเพราะเขามีวิถีผสานนี้ เขาถึงมีความคิดสร้างกำลังรบแข็งแกร่งที่สุดขึ้นมา

“เจ้า…เจ้าคิดจะเปลี่ยนพวกเราให้ไร้ประโยชน์หรือ!”

หลินสีหน้าซีด

หากพลังในตัวเขาถูกฉานเฟิงสูบไปจนหมด เขาไม่กลายเป็นเศษสวะอย่างแท้จริงหรือ

“เพื่อการใหญ่ การเสียสละของพวกเจ้าหาใช่เรื่องใหญ่”

ฉานเฟิงกล่าว “วางใจได้ รอข้าจัดการหายนะได้เมื่อไร ข้าจะกลับมาหาพวกเจ้า ช่วยให้พวกเจ้าก้าวสู่เส้นทางฝึกตนอีกครั้ง”

“การรับประกันของเจ้าไร้ซึ่งความน่าเชื่อถือ!”

หลินสีไม่เชื่อคำกล่าวของฉานเฟิง

อย่าว่าแต่ท้ายที่สุดฉานเฟิงจะจัดการหายนะมืดมิดครั้งใหญ่นี้ได้หรือไม่ ต่อให้ฉานเฟิงสำเร็จ สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายจะยังกลับมาหาพวกเขาอีกหรือ

ทั้งหมดนี้เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เขาไม่มีทางตอบตกลงง่าย ๆ!

ตู้ม!

เขาเรียกคทาเล่มหนึ่งออกมา มันคือคทาฉายชำระ กำราบสำนึกแห่งโรคได้ผลยิ่ง

ทว่ากับสิ่งอื่นไม่ได้มีฤทธิ์กำราบเท่าใด

แต่บัดนี้เขาไม่มีแก่จิตแก่ใจสนเรื่องนั้นอีก ไม่เพียงคทาฉายชำระ ทว่าพลังวิชาอื่นใดที่เขาใช้ได้ล้วนสำแดงออกมาหมด!

“เจ้าคนต่ำช้า วิถีผสานที่ท่านผู้นั้นทิ้งไว้ให้เจ้าไม่ใช่เพื่อจัดการพวกเรา!”

สวีจื้อคำราม บุกเข้ามาอีกครั้ง

เขาตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ดีเช่นกัน หากพวกเขาไม่จัดการฉานเฟิง เขากับหลินสีต้องกลายเป็นคนไร้ประโยชน์กันทั้งคู่!

“เจ้าคิดผิด”

ฉานเฟิงสั่นศีรษะ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่ท่านผู้นั้นทิ้งวิถีผสานให้ข้า บางทีที่ท่านผู้นั้นทิ้งวิถีประสานให้ข้าก็เพื่อให้ข้าผนวกำลังเป็นหนึ่ง กลายเป็นกำลังรบแข็งแกร่งที่สุด ต่อกรกับหายนะมืดมิด”

เขาผู้มีวิถีผสานทรงพลังอย่างยิ่งยวด วาสนาการเปลี่ยนแปลงที่ท่านผู้นั้นทิ้งไว้เขาถูกเขาผสานจนสิ้น บัดนี้มีพลังระดับล้ำขีดขั้นเจ็ด

เขาโบกมือใหญ่ พลันนั้นพลังมหาศาลพวยพุ่ง สวีจื้อและหลินสีถูกเขาพันธนาการไว้ทันที

และการโจมตีทั้งหมดของสวีจื้อและหลินสีก็ถูกเขาลบล้างจนสิ้น

เขาแบมือ วิถีผสานคืบคลาน พลังของสวีจื้อและหลินสีถูกเขาสูบเข้าร่าง

นี่คือความผิดธรรมชาติในวิถีผสานของเขา!

ทันทีที่ดูดกลืนก็ผสานไว้ได้ทันทีโดยมิต้องบำเพ็ญ ได้กลายเป็นพลังของเขาเองอัตโนมัติ

ใต้หล้านี้มีวิชาผสานอื่น ๆ อยู่ด้วย ทว่าไม่อาจเทียบเทียมเขาได้เลย วิชาผสานเหล่านั้นต่อให้ดูดกลืนพลังไปแล้วก็ต้องบำเพ็ญต่อ

ยิ่งดูดกลืนพลังมากเท่าไหร่ แข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องบำเพ็ญนานเท่านั้น

ส่วนเขาไม่ต้องบำเพ็ญเลยสักนิด ผสานได้สนิททันทีที่พลังเข้าร่าง

เพียงครู่เดียว เขาก็สูบพลังของสวีจื้อและหลินสีจนเกลี้ยง

ขณะเดียวกัน เขายังสูบวาสนาการเปลี่ยนแปลงบนตัวหลินสีไปจนหมดด้วย

พลังของเขายกระดับ จากล้ำขีดขั้นเจ็ดมาถึงล้ำขีดขั้นแปด

“เจ้า…อำมหิตยิ่งนัก!”

“อ๊ากกก เหตุใดท่านผู้นั้นถึงเลือกคนเช่นเจ้า?!”

สวีจื้อและหลินสีนอนหมดแรงกับพื้น ไม่เหลือพลังแม้เศษเสี้ยว กลายเป็นปุถุชนอย่างสมบูรณ์

ทั้งสองใกล้เสียสติแล้วจริง ๆ!

เพียงครู่เดียว เขาก็สูบพลังของสวีจื้อและหลินสีจนเกลี้ยง

ขณะเดียวกัน เขายังสูบวาสนาการเปลี่ยนแปลงบนตัวหลินสีไปจนหมดด้วย

พลังของเขายกระดับ จากล้ำขีดขั้นเจ็ดมาถึงล้ำขีดขั้นแปด

“เจ้า…อำมหิตยิ่งนัก!”

“อ๊ากกก เหตุใดท่านผู้นั้นถึงเลือกคนเช่นเจ้า?!”

สวีจื้อและหลินสีนอนหมดแรงกับพื้น ไม่เหลือพลังแม้เศษเสี้ยว กลายเป็นปุถุชนอย่างสมบูรณ์

ทั้งสองใกล้เสียสติแล้วจริง ๆ!

ก่อนหน้านี้พวกเขายังเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับล้ำขีด ทว่าลมหายใจต่อมาพวกเขากลับกลายเป็นปุถุชน ไม่เหลือพลังสักเสี้ยว

ความพลิกผันนี้มหันต์เกินไป เทียบกับฆ่าพวกเขาแล้วรังแต่จะยิ่งทำให้ตรอมตรม!

“ข้าไม่เคยอำมหิต”

ฉานเฟิงส่ายหัว “หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์บังคับ ข้าไม่มีทางลงมือกับพวกเจ้า”

เขาทอดมองไปไกล เอ่ยต่ออีกว่า “ความมืดมิดไม่ให้เวลาพวกเรา ข้าจำต้องลงมือกับพวกเจ้า ก่อนความมืดมิดมาเยือน ข้าต้องกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด! หาไม่แล้ว ข้ายังสามารถค่อยเป็นค่อยไปได้อยู่”

เขาเก็บคทาฉายชำระกลับ

คทาฉายชำระมีฤทธิ์กำราบสำนึกแห่งโรค เก็บไว้มีประโยชน์ เขาไม่ได้สูบพลังคทาฉายชำระไปด้วย

“คนต่อไปก็หลี่จิ่วเต้า…”

อาภรณ์สีขาวของเขาพลิ้วไสว ก่อนจะไปจากที่นี่

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท