ตอนที่ 456 ผู้อาวุโสแห่งเรือนสันติ
หลังจากพวกเขาผ่านถนนใหญ่ในอำเภอ อิ๋นชิงสั่งคนลงจากม้าและรถ บอกพวกข้ารับใช้ว่าคอยเฝ้ารถม้าในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง จากนั้นค่อยพาบริวารตามความจำเป็นที่เหลือเดินไปตรอกเทียนหนิว
หลังจากเดินมาไม่นาน ในขบวนไม่ว่าผู้คุ้มกันหรือข้ารับใช้ ทุกคนเริ่มมองซ้ายมองขวาหรือมองหน้ากันอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่องค์หญิงฉางผิงยังเผยสีหน้าแปลกใจ นางเห็นอิ๋นชิงไม่ออกอาการอะไรเป็นพิเศษจึงเอ่ยถาม
“ท่านพี่ ท่านได้กลิ่นหรือไม่ คล้ายกลิ่นธูป กลิ่นหอมนัก…”
อิ๋นชิงยิ้มเล็กน้อย ทอดมองไปทางตรอกเทียนหนิว
“ผิงเอ๋อร์ นั่นก็คือสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้า กลิ่นดอกพุทราของเรือนสันติ ต้นไม้นี้ไม่ได้ออกดอกทุกปี แต่เมื่อออกดอกกลิ่นย่อมหอมทั่วอำเภอหนิงอัน ภายในบทความบทหนึ่งของท่านพ่อข้ามีคำกล่าวว่า ‘เขียวเหลืองทั่วกิ่งก้าน ครึ่งอำเภอยลกลิ่นบุปผา’ ต้นกำเนิดมาจากที่นี่”
บนถนนนอกตรอกเทียนหนิว ร้านบะหมี่ตระกูลซุนเปิดตามปกติ แน่นอนว่าซุนหย่าหย่าไม่อยู่ข้างแผง ต่อให้ไม่มีเรียนก็คัดอักษรอยู่กับจี้หยวน
อิ๋นชิงพาองค์หญิงฉางผิงเดินมาแต่ไกล ผู้คุ้มกันสวมชุดลำลองข้างกายบ้างเดินอยู่เบื้องหน้า บ้างแนบขนาบอยู่ซ้ายขวา แต่ส่วนใหญ่พยายามไม่รบกวนทั้งสองคน ต่อให้เป็นเช่นนั้นสาวใช้กับบ่าวติดตามด้านหลังยังมีถึงสี่คน
สำหรับชาวบ้านอำเภอหนิงอันยังถือว่าสะดุดตามาก ซุนฝูซึ่งทำการค้าสังเกตสีหน้าและการพูดมาตลอดยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เมื่อเห็นคนขบวนนี้ก็รู้ว่าผู้มาเยือนความเป็นมายิ่งใหญ่ ดังนั้นเลยรีบกำชับลูกค้าสี่ห้าคนตรงแผง
“เฮ้ยๆ พวกเจ้ากินบะหมี่ไป อย่าจ้องมองคนตรงนั้น โดยเฉพาะบรรดาหญิงสาว รู้หรือไม่”
“หา? เถ้าแก่ซุนรู้จักพวกเขาหรือ”
มีลูกค้าหนุ่มอ้วนท้วนเงยหน้ามองไปไกล ก่อนเอ่ยถามซุนฝู
แม้ว่าการใช้ชีวิตในอำเภอหนิงอันไม่เลว แต่ชาวบ้านทั่วไปมีคนอ้วนน้อยมาก แม้ว่าไม่รู้สึกหิวโหย แต่ก็จำเป็นต้องทำงาน ส่วนลูกค้าคนนี้เป็นข้อยกเว้น กอปรกับเป็นลูกค้าประจำของร้าน ซุนฝูจดจำเขาขึ้นใจ ดังนั้นเลยกล่าวอธิบายเป็นพิเศษ
“พวกเจ้านี่นะ เห็นโลกกว้างมาน้อย ไม่รับรู้ความอันตรายข้างนอก แม้ว่าข้าไม่รู้จักคนตรงนั้น แต่จากขบวนของพวกเขา ต้องเป็นขุนนางผู้สูงศักดิ์แน่ เจ้ากล้ามองหญิงสาวของพวกเขาตามใจ หากเจอคนเจ้าอารมณ์คงควักลูกตาเจ้าออกมา!”
“ไอ้หยา ร้ายแรงขนาดนั้นเชียว”
ซุนฝูพยักหน้าเล็กน้อย
“แน่นอน! หากดวงตาเจ้ารู้จักความพอดีย่อมมองได้เช่นกัน แต่หญิงสาวตระกูลทรงอำนาจพวกนั้น แต่ละคนเปล่งประกาย เกรงว่าชายหนุ่มอย่างพวกเจ้าหยุดมองไม่ได้”
ซุนฝูเจตนาพูดร้ายแรงหน่อย ร้านตนจะได้ไม่เกิดเรื่องวุ่นวาย
“รู้แล้วๆ”
“อืมๆ รีบกินบะหมี่เถอะ”
หลังจากตรงแผงพูดคุยกันสองสามประโยค เมื่อเห็นพวกอิ๋นชิงเข้ามาใกล้ เจ้าของแผงกับลูกค้าไม่คุยเรื่องคนต่างถิ่นอีก ประเด็นสนทนาเปลี่ยนเป็นเรื่องเล็กไม่สลักสำคัญในการใช้ชีวิตบางส่วน
แต่เมื่อพวกอิ๋นชิงเข้ามาใกล้กลับไม่เดินผ่าน ชะลอฝีเท้าตรงนอกแผง อิ๋นชิงถึงขั้นประสานมือคารวะซุนฝู
“คารวะท่านลุงซุน เห็นร้านบะหมี่ของพวกท่านยังเปิดกิจการ ทำให้ข้าดีใจนัก”
แน่นอนว่าอิ๋นชิงรู้ว่าเจ้าของแผงเปลี่ยนคนนานแล้ว ปัจจุบันเจ้าของแผงคือซุนฝูบุตรชายของเถ้าแก่ซุนเมื่อปีนั้น แต่ซุนฝูกลับไม่รู้จักอิ๋นชิง เมื่อเห็นขุนนางผู้สูงศักดิ์เช่นนี้คารวะตน ต่อให้ดูเหมือนรู้จักตน แต่ภายในใจกลับอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง
ซุนฝูเช็ดมือกับผ้ากับเปื้อน ก่อนรีบคารวะตอบ
“ไม่ทราบว่าท่านคือ?”
“อ้อ ข้าคืออิ๋นชิง อิ๋นชิงบุตรชายอาจารย์อิ๋นแห่งสำนักศึกษาประจำอำเภอเมื่อปีนั้น”
เมื่อกล่าวเช่นนี้ซุนฝูทราบทันที
“อ้อๆๆ ท่านคือ… ท่านคือบุตรชายของดาวบุ๋นอิ๋น ได้ยินว่าเป็นขุนนางใหญ่ในราชสำนักเช่นกันใช่หรือไม่”
“หึๆ ท่านลุงซุนชมเกินไปแล้ว จริงสิ ท่านจี้อยู่บ้านกระมัง”
ซุนฝูรีบกล่าว
“อยู่ๆ”
“ดี ท่านจัดการธุระเถอะ”
อิ๋นชิงหันหลังเดินไปทางประตูตรอกเทียนหนิวซึ่งอยู่ไม่ไกล ส่วนองค์หญิงฉางผิงแย้มยิ้มพลางพยักหน้ากับซุนฝูเล็กน้อย จากนั้นค่อยตามอิ๋นชิงไป
รอเมื่อพวกเขาจากไป ลูกค้าตรงแผงซึ่งนิ่งเงียบไม่ส่งเสียงมาตลอดรีบถามซุนฝูเกี่ยวกับเรื่องอิ๋นชิง ทั้งมีคนรีบคิดเงินจากไป อยากไปบอกคนรู้จักมักคุ้นว่าบุตรชายของดาวบุ๋นอิ๋นกลับมาแล้ว ส่วนซุนฝูพูดคุยสักพักก่อนตบเข่าฉาด ตระหนักรู้ว่าซุนหย่าหย่ายังอยู่เรือนสันติ
การเดินในตรอกเงียบสงบอย่างตรอกเทียนหนิว ทำให้อิ๋นชิงรู้สึกเหมือนตอนเป็นเด็ก แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักนิด แต่เมื่อผู้อาศัยภายในตรอกเห็นขบวนนี้ ส่วนใหญ่ล้วนหลบหลีกห่างไกล แม้ว่าอิ๋นชิงตั้งใจทักทาย แต่ไม่อยากทำให้คนอื่นตกใจ ดังนั้นเลยปล่อยให้พวกเขาจากไป
เมื่อเข้าใกล้เรือนสันติ อิ๋นชิงหันกลับมากำชับผู้ติดตามเล็กน้อย
“อีกเดี๋ยวคนอื่นรอข้างนอก ข้ากับองค์หญิง รวมถึงหัวหน้าผู้คุ้มกันสองคนจะเข้าไป”
“ขอรับ!”
ข้ารับใช้ด้านหลังตอบรับพร้อมกัน
ความจริงอิ๋นชิงไม่อยากพาหัวหน้าผู้คุ้มกันสองคนเข้าไป แต่ช่วยไม่ได้ หากสั่งเช่นนั้นอาจทำให้ทั้งสองคนวางตัวลำบาก แม้ทราบว่าการเดินทางครั้งนี้ปลอดภัย แต่พวกเขารับคำสั่งฮ่องเต้ จำเป็นต้องคุ้มกันองค์หญิงฉางผิง ด้วยความต่างของผู้คุ้มกันกับบริวารทำให้พวกเขาสองคนต้องอยู่ด้วย
เมื่อมาถึงนอกเรือนสันติ ต้นพุทราราวกับฉัตรสะท้อนเข้าสู่สายตาแล้ว กลิ่นบุปผาเหมือนเปลี่ยนเป็นเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม กลิ่นหอมเช่นนี้ไม่เตะจมูก ได้กลิ่นแล้วทำให้สดชื่นสบายใจ
ไม่นานบ่าวคนอื่นต่างหยุดเท้า ทั้งสี่คนมาอยู่หน้าประตูเรือนเล็กลำพัง เกือบทุกคนล้วนเงยหน้าแผ่นป้ายเรือนเล็ก
“อักษรดี! ไม่ด้อยกว่าอักษรของเสนาบดีอิ๋นดังคาด!”
องค์หญิงฉางผิงกล่าวชมประโยคหนึ่ง แต่อิ๋นชิงรู้สึกว่าถึงแม้อักษรของบิดาตนดีนัก แต่ยังด้อยกว่าท่านจี้บางส่วน
ยามผู้คุ้มกันคนหนึ่งกำลังจะเคาะประตู อิ๋นชิงยกมือห้ามเขา จากนั้นค่อยเดินมาข้างหน้า เคาะประตูเรือนเล็กแผ่วเบา
ก๊อกๆๆ…
“ท่านจี้ ข้าเอง อิ๋นชิง!”
เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังมาจากในเรือน จากนั้นคือเสียงขยับสลักไม้ตรงประตู
แอ๊ด…
เมื่อประตูเรือนเปิดออก แม่นางน้อยสวมชุดศิษย์สีขาวคนหนึ่งปรากฏตัว มองอิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิงด้วยสีหน้าสงสัย
“ชิงเอ๋อร์มาแล้วหรือ เข้ามาเถอะ”
“ท่านจี้เรียกพวกท่านเข้าไปเจ้าค่ะ!”
ซุนหย่าหย่ากล่าวประโยคหนึ่งก่อนปลีกตัวหลีกทาง อิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิงเข้าเรือนเล็กมาพร้อมหัวหน้าผู้คุ้มกันสองคน นอกจากอิ๋นชิงแล้ว อีกสามคนล้วนสังเกตจี้หยวนกับสำรวจเรือนสันติ
ภายในเรือนสะอาดมาก การตกแต่งเรียบง่ายนัก บ่อน้ำปิดด้วยแผ่นหิน โต๊ะหินหนึ่งตัวเก้าอี้หินสี่ตัว ทั้งมีต้นพุทราซึ่งทำให้ครึ่งอำเภอมีกลิ่นหอม จี้หยวนนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหิน ตอนนี้กำลังลุกขึ้นมาทักทายทุกคน
“กระหม่อมจี้หยวน ถวายบังคมองค์หญิงฉางผิง!”
จี้หยวนประสานมือคารวะองค์หญิงฉางผิง ทั้งส่งสายตาบอกซุนหย่าหย่าซึ่งกลับมาข้างกายแล้ว ฝ่ายหลังตอบสนองทันที
“หม่อมฉันซุนหย่าหย่า ถวายบังคมองค์หญิงฉางผิง!”
“ท่านไม่ต้องมากพิธี เจ้าด้วย ไม่ต้องมากพิธีหรอก ข้าตามอิ๋นชิงมามอบเทียบเชิญแก่ผู้อาวุโส มาเยือนด้วยฐานะผู้น้อย ท่านอย่ากล่าวเช่นนี้กับหยางผิงเลย”
จี้หยวนพยักหน้าเล็กน้อย เก็บมือก่อนเชิญทุกคนนั่ง
“ทุกท่านเชิญนั่ง ข้าชงชามาให้”
เมื่อเห็นอิ๋นชิงคิดเอ่ยวาจา จี้หยวนยกมือห้ามเขา ชี้โต๊ะหินพลางกล่าว
“ชิงเอ๋อร์ พาองค์หญิงไปนั่งตรงนั้น ตามประเพณีอำเภอหนิงอัน ว่าที่เจ้าสาวมาเยือนเป็นครั้งแรก ผู้อาวุโสต้องชงชาหวานให้ สิ่งนี้ไม่อาจละเว้น ข้าไปเตรียมมาให้พวกเจ้าก่อน”
เขาพาว่าที่เจ้าสาวมาถึงหน้าประตู จำเป็นต้องดื่มชาหวานที่ผู้อาวุโสชงให้ สื่อนัยถึงความหวานชื่น จี้หยวนกล่าวเช่นนี้แล้ว อิ๋นชิงย่อมยากปฏิเสธ
รอเมื่อจี้หยวนยกถาดรองชาออกมา ด้านบนมีถ้วยชาสี่ใบกับกาน้ำชาวางอยู่ รวมถึงโถดินเผาใบเล็กด้วย
จี้หยวนลงมือเอง รินชาร้อนให้อิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิง จากนั้นค่อยเปิดโถดินเผาใบเล็ก ใช้ช้อนไม้ด้านข้างตักของหวานเปล่งประกายโปร่งแสงบางส่วนใส่ถ้วยชา
พูดแล้วก็แปลก เรือนสันติอบอวลด้วยกลิ่นดอกพุทรา เมื่อจี้หยวนเปิดโถดินเผาใบนี้ กลิ่นหอมหวานแสนพิเศษลอยออกมา แค่ดมกลิ่นก็ทำให้ทั้งสี่คนรู้สึกสบายตัว
“เชิญดื่ม!”
จี้หยวนวางถ้วยชาตรงหน้าอิ๋นชิงกับองค์หญิงฉางผิง จากนั้นค่อยรินอีกสองถ้วยให้ผู้คุ้มกันสองคน
“พวกเจ้าไม่ใช่ว่าที่เจ้าสาว ไม่ดื่มชาหวานแล้วกัน”
ผู้คุ้มกันสองคนยังตามีแวว รีบกล่าวขอบคุณพร้อมรับถ้วยชา
“ขอบคุณท่านมาก!”
อิ๋นชิงย่อมรู้ว่าชาหวานนี้ไม่ธรรมดา พยักหน้าเล็กน้อยกับหยางผิง ยกถ้วยมาลิ้มรสชาติก่อน ชาหวานอึกหนึ่งเข้าลำคอ ความหวานติดลิ้นไม่พอ ยังมีกลิ่นสดใหม่เจือกระแสอบอุ่นแทรกซึมทั่วร่างกาย
องค์หญิงฉางผิงชิมแล้วเบิกตากว้าง จากนั้นค่อยหรี่ตาเป็นจันทร์เสี้ยวเพราะความหวานอร่อย ดื่มชาหวานจนหมดภายในคราวเดียวโดยไม่รู้ตัว
“ท่านพี่ ชาหวานของอำเภอหนิงอันอร่อยขนาดนี้เชียว มอบเป็นของบรรณาการจัดสำรับเข้าเครื่องเสวยได้สบาย!”
เมื่อเห็นว่าหยางผิงยังไม่หายอยาก อิ๋นชิงมอบถ้วยที่ตนเพิ่งจิบอึกเดียวให้นาง
“ใช่ว่าชาหวานนี้มีทุกที่ ทั้งไม่มากพอเป็นเครื่องบรรณาการ เอ้า ข้ายกให้เจ้า!”
หยางผิงเป็นคนฉลาด มองจี้หยวนทั้งมอง ‘โถน้ำเชื่อม’ เคียงเครื่องชาบนโต๊ะ เมื่อครู่นางกล่าวเช่นนั้นแล้ว จี้หยวนกลับไม่รินเพิ่มให้นาง นางย่อมเข้าใจอะไรบางอย่าง
เดิมคิดปฏิเสธอยู่บ้าง แต่ด้วยสายตาอ่อนโยนของอิ๋นชิงกับความอาวรณ์น้ำเชื่อมนั้น หยางผิงรับถ้วยชา ครั้งนี้นางลิ้มรสทีละน้อยหลายอึก หลังจากรับรู้รสชาติแน่ชัด นางมอบครึ่งถ้วยที่เหลือแก่อิ๋นชิง
“หึๆๆๆ… เห็นพวกเจ้ารักใคร่กันเช่นนี้ ข้าวางใจแล้ว!”
จี้หยวนยิ้มพลางนั่งลงบนเก้าหินฝั่งตรงข้าม ส่วนผู้คุ้มกันสองคนนั้นต่างยืนซ้ายขวาไม่นั่งลง
หยางผิงมองอีกด้านของโต๊ะหิน มีพู่กันหมึกกระดาษจานฝนวางอยู่ กระดาษบางส่วนเขียนอักษร แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นการเขียนอักษรหลายรอบ แม้ว่าไม่ใช่บทความตำรา แต่ตัวอักษรกลับอ่อนช้อยอย่างยิ่ง
“นี่คือตัวอักษรของท่านจี้หรือ”
หยางผิงเอ่ยถาม ซุนหย่าหย่าซึ่งจ้องโถน้ำเชื่อมอยู่ด้านข้างรีบกระโดดเข้ามา
“ไม่ใช่ๆ องค์หญิง นี่คือตัวอักษรของข้า! อักษรของท่านจี้งดงามมาก ตัวอักษรของข้าไม่กล้าเทียบเทียม!”
หยางผิงตกตะลึงเล็กน้อย เด็กตัวเล็กแค่นี้ ทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิง เขียนอักษรสวยขนาดนี้เชียวหรือ แต่ดูจากสถานการณ์แล้วคงเป็นเรื่องจริงแน่
“หย่าหย่า วันนี้พอแค่นี้ เจ้ากลับบ้านไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยมา”
ตอนนี้ซุนหย่าหย่าตื่นเต้นมาก ด้วยนางถึงกับเจอองค์หญิงคนหนึ่ง แต่ได้ยินคำพูดของจี้หยวน ใบหน้าเล็กกลับสลดลง
“ท่านจี้…”
“เด็กดี เชื่อฟังเถอะ”
“อืม… ถ้าอย่างนั้นข้ากลับก่อนนะเจ้าคะ…”
ซุนหย่าหย่าเริ่มเก็บเครื่องเขียนบนโต๊ะ วางพวกมันลงกล่องหนังสือใบเล็กข้างโต๊ะหิน จากนั้นค่อยแบกกล่องหนังสือใบเล็กซึ่งทำมาจากไม้ไผ่ใบนี้ ก้าวออกจากเรือนไปอย่างอาวรณ์
รอเมื่อซุนหย่าหย่าจากไป จี้หยวนมองผู้คุ้มกันสองด้านคราหนึ่ง ทั้งสองคนเดินไปด้านข้างเหมือนต้องมนตร์ ยืนชิดกำแพงเรือนซ้ายขวา สิ่งนี้ทำให้หยางผิงแปลกใจอยู่บ้าง แต่อิ๋นชิงกลับไม่ตอบสนอง
จี้หยวนพยักหน้ากับหยางผิงเล็กน้อย
“ไม่ตื่นตระหนกสมเป็นเชื้อพระวงศ์!”