ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 395 อักษรเจ็ดตัวจากวังครองกระบี่

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 395 อักษรเจ็ดตัวจากวังครองกระบี่

เห็นภาพฉากนี้ ผู้บำเพ็ญวังอาญาที่ควบคุมตัวสวี่ชิงสองคนนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมหันต์ทันที ในใจเกิดความโมโหตื่นตระหนกอย่างมหาศาล พวกเขามั่นใจว่าไม่ได้ลงมือกับสวี่ชิง

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ไม่ได้ลงมือ ทั้งหน่วยที่สามล้วนไม่ได้ทำ

ที่คุกสามวันนี้ พวกเขาไม่แม้แต่จะได้เห็นหน้าสวี่ชิงแม้เพียงแวบเดียว

เรื่องนี้ภายใต้ความร้อนรนโมโห เอ่ยขึ้นรัวๆ ว่า

“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ พวกเราไม่เคยลงมือทรมาน!

“นี่เป็นเรื่องที่พวกเจ้าปั้นน้ำขึ้นมาเองชัดๆ วังอาญาเป็นสถานที่เช่นไรพวกเจ้าไม่รู้หรือ กล้ามาหลอกลวงรีดไถวังอาญาอย่างนั้นหรือ!”

เห็นนายกองตีอกชกหัวได้สมบทบาท จอมเซียนจื่อเสวียนก็รู้ว่าถึงคราวที่ตนต้องออกหน้าแล้ว จึงก้าวขึ้นไปก้าวหนึ่ง ย่างก้าวนี้เพียงเหยียบลงมา พลังบำเพ็ญหวนสู่อนัตตาในตัวนางก็ปะทุทันที

ในดวงตาของนางเส้นเต๋าพันเส้นหมุนวน ระลอกคลื่นพลังน่าครั่นคร้ามทั้งร่างทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ทั่วทุกสารทิศสะเทือนเลื่อนลั่น

ต่อให้ที่นี่เป็นเมืองหลวงเขตปกครอง แต่หวนสู่อนัตตาก็คือหวนสู่อนัตตา พลังของคนคนเดียวสั่นสะท้านไปทั่วทั้งแปดทิศ สีหน้าของนางยิ่งแฝงไว้ด้วยความเคร่งขรึม แฝงด้วยความโกรธเคือง ไม่สนใจลิ่วล่อไร้ชื่อที่โต้แย้งสองคนนั้น แต่เงยหน้ามองไปทางจุดลึกในวังอาญา

“จื่อเสวียนผู้บำเพ็ญสำนักเผ่ามนุษย์ มณฑลรับเสด็จราชัน คุ้มกันสวี่ชิง ผู้ได้ประกายแสงหมื่นจั้ง ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ที่มหาจักรพรรดิคัดเลือกเดินทางสู่เมืองหลวงเขตปกครอง เรื่องนี้ของวังอาญาได้โปรดให้คำตอบว่าสวี่ชิงผู้สืบมรรคาแห่งสำนักข้าถูกคนริษยาใส่ความ หรือว่ามีความผิดจริง!”

วังอาญาใหญ่มาก สถานที่ที่หน่วยที่สามตั้งอยู่เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นนายกองเมื่อก่อนหน้านี้หรือจื่อเสวียน กลับส่งเสียงได้ดังก้อง ดังไปทั่วทุกทิศ

ผู้บำเพ็ญวังอาญาจำนวนไม่น้อย ต่างได้ยินจากที่ที่ตัวเองอยู่ แต่เดิมที่ได้ยินเสียงคำรามของนายกองทีแรก มีผู้แข็งแกร่งวังอาญาไม่พอใจ เตรียมจะไปห้ามปรามไม่ให้ใช้เสียง

อย่างไรเสียมาโหวกเหวกเอะอะที่วังอาญาแบบนี้ เดิมก็สร้างความไม่ชอบใจให้กับวังอาญาอยู่แล้ว

แต่เมื่อได้ยินเรื่องริษยาใส่ความจากคำพูด บางคนก็หยุดฝีเท้า

ริษยาใส่ความสองคำนี้เห็นได้ชัดว่าแสดงถึงความแค้นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนรวม และไม่เกี่ยวกับตัวเอง ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะสอดมือเข้ามา

ต่อให้มีบางคนที่ยังคงแสดงอำนาจจะมาห้ามปราม แต่เมื่อได้ยินคำว่าประกายแสงหมื่นตั้ง มหาจักรพรรดิคัดเลือกจากปากนายกอง ก็ต่างหยุดความคิดไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย

อย่างไรเสียคนที่สามารถทำงานที่นี่ได้ คนโง่มีไม่มาก

ต่อให้เป็นสหายที่สนิทสนมกันดีกับเหยาอวิ๋นฮุ่ยหัวหน้าหน่วยที่สามคนนั้น ตอนนี้เมื่อเห็นจื่อเสวียนออกหน้าก็ลังเลไปเหมือนกัน

สิ่งที่ทำให้พวกเขาลังเลนอกจากจะเป็นท่าทีของจื่อเสวียนแล้ว ยังมีผู้ครองกระบี่ที่เคืองแค้นต่อความไม่เป็นธรรมหลายสิบคนเหล่านั้นด้วย

และเมื่อไม่มีใครมาห้ามปราม เรื่องนี้ย่อมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งว่าผู้ครองกระบี่เหล่านั้นต่างส่งกระแสจิตเรียกสหายมา เห็นเรื่องเปลี่ยนไปเช่นนี้ มารดาของจางซืออวิ้นก็นั่งไม่ติดแล้ว

นางสัมผัสได้ถึงความจัดการยากของสวี่ชิงแล้ว ยิ่งเข้าใจว่าเรื่องนี้จะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ ต้องจัดการทันที ไม่เช่นนั้นจะเป็นผลเสียกับนาง

อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่มีเหตุผลอะไรเลย หากเป็นไปตามแผนของนางยังดี แต่ตอนนี้การพลิกโจมตีกลับของอีกฝ่ายรวดเร็วฉับไวนัก อีกทั้งยังโจมตีถึงจุดสำคัญ

นางจึงเดินออกมาจากห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฝีเท้าก้าวหนึ่งเหยียบย่างลงมาก็มาถึงนอกคุกหน่วยที่สาม มาปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งหลาย

การมาถึงของนางทำให้ลูกศิษย์วังอาญาสองคนนั้นถอนหายใจโล่งอก รีบวิ่งไปคารวะทำความเคารพ

ขณะเดียวกันคนของพันธมิตรแปดสำนักและผู้ครองกระบี่เหล่านั้นก็ต่างมองมาทางเหยาอวิ๋นฮุ่ยที่มาถึง

โดยเฉพาะจื่อเสวียน ระลอกคลื่นพลังทั้งตัวทำให้ลมเมฆเปลี่ยนสี ดวงตาหงส์ของนางแฝงด้วยความเย็นเยือก มองหญิงงามที่หน้าตาไม่แพ้ตนเลย

เหยาอวิ๋นฮุ่ยเงียบนิ่ง พลังบำเพ็ญของนางไม่ใช่หวนสู่อนัตตา เป็นเพียงแค่ระดับสมบัติวิญญาณเท่านั้น หากอยู่ในที่ที่ไม่มีคนอื่นย่อมหวาดกลัวจื่อเสวียน แต่ที่นี่คือวังอาญา นางไม่กลัว

แต่การมาถึงของนางคือเพื่อมาแก้ไขปัญหา จึงสูดลมหายใจลึก โค้งคารวะจอมเซียนจื่อเสวียน ในตอนที่หันไปมองสวี่ชิง สายตาแฝงด้วยแววขอโทษ เอ่ยเสียงแผ่วเบา

“สวี่ชิง เรื่องนี้เป็นความประมาทของหน่วยที่สาม ข้าในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วย จะต้องสืบอย่างจริงจังจนประจ่างให้คำตอบกับเจ้า และในตอนนี้ข้าสามารถยืนยันว่า เรื่องนี้สาขาย่อยพันธมิตรแปดสำนักและสวี่ชิงแค่มาให้ความร่วมมือในการตรวจสอบเท่านั้น วันนี้ทุกอย่างตรวจสอบอย่างกระจ่างแล้ว พวกเจ้าไม่ได้กระทำผิดฐานกระทำการละเมิด

“ดังนั้นก่อนหน้านี้ข้าจึงออกคำสั่งให้ปล่อยตัวพวกเจ้า แต่ตอนนี้เกิดปัญหาเช่นนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอันใดล้วนไม่สำคัญ และไม่ต้องดูบันทึกภาพเงาเคลื่อนไหวในคุก นี่จะต้องเป็นความรับผิดชอบของข้า เป็นความเลินเล่อของข้า”

เหยาอวิ๋นฮุ่ยเอ่ยอย่างจริงใจ พูดจบนางก็หยิบแผ่นหยกชิ้นหนึ่งออกมา เหมือนว่าตรวจสอบเรื่องนี้จริงๆ

และคำพูดนี้ก็มีความหมายลึกซึ้งมาก ดูเหมือนขอโทษ แต่กลับกระทำในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยที่สาม

เช่นนี้แล้วย่อมมีความหมายเป็นนัยๆ ว่าไม่รู้เรื่อง เหมือนว่าทุกอย่างล้วนเป็นการกระทำตามอำเภอใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ขณะเดียวกันนางก็ก้าวออกมาแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของตัวเอง

นอกจากนี้ยังอธิบายว่าทุกอย่างคือการตรวจสอบ ใช้การปล่อยตัวพิสูจน์ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว ริษยาใส่ความ

นี่คือกันตัวเองออกจากเรื่องนี้

สุดท้ายยังพูดถึงภาพบันทึกเงาเคลื่อนไหว แฝงการเตือนเป็นนัยๆ

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงหรี่ตาจ้องเพ่ง ส่วนนายกองเลิกคิ้วขึ้น กวาดตามองเหยาอวิ๋นฮุ่ยแวบหนึ่ง

การวางแผนของอีกฝ่ายแม้จะหยาบ แต่ฝีมือการแก้ไขปัญหาก็นับว่าพอใช้ได้

“ต้นสายปลายเหตุของเรื่องนี้ข้ากำลังตรวจสอบอยู่ ไม่นานก็จะได้คำตอบ อาการบาดเจ็บของสวี่ชิงสาหัสมาก ที่ข้ามีโอสถหล่อเลี้ยงวิญญาณเม็ดหนึ่ง ขอโปรดรับไว้รักษาอาการบาดเจ็บก่อน”

เหยาอวิ๋นฮุ่ยใบหน้าเต็มไปด้วยความขอโทษ เอาโอสถออกมาเม็ดหนึ่ง

โอสถเม็ดนี้ส่องประกายแสงอ่อนโยน แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ของธรรมดา

“พวกเจ้าวางใจ ไม่ต้องพูดถึงประกายแสงหมื่นจั้ง มหาจักรพรรดิคัดเลือก ต่อให้เป็นประชาชนคนธรรมดา ในสายตาของวังอาญาก็ปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรม นี่คือหน้าที่ของพวกเรา”

เหยาอวิ๋นฮุ่ยพูดพลางวางโอสถไว้ข้างๆ จากนั้นแผ่นหยกในมือก็กะพริบแสงวาบขึ้น หลังจากนางตั้งสมาธิตรวจสอบสีหน้าก็ฉายความทรงอำนาจน่าเกรงขามออกมา มองไปทางลูกศิษย์วังอาญาสองคนที่อยู่ข้างๆ

“ที่แท้เป็นพวกเจ้านี่เอง ตรวจสอบได้แล้วว่าเป็นพวกเจ้าสองคนลงทัณฑ์โดยพลการ”

ไม่รอให้ลูกศิษย์วังอาญาสองคนนั้นได้เอ่ยปาก ในเสี้ยวพริบตาที่พวกเขาสีหน้าเปลี่ยน เหยาอวิ๋นฮุ่ยก็สะบัดมือทันที

“คุมตัวไปห้องขัง”

ทันใดนั้นก็มีลูกศิษย์หน่วยที่สามบินออกมา หิ้วคนทั้งสองที่ไม่รู้ว่ากลายเป็นศพแล้วหรือไม่จากไป

ภาพนี้นับตั้งแต่ต้นจนจบ เหยาอวิ๋นฮุ่ยจัดการอย่างสะอาดหมดจดรวดเร็ว ยิ่งตรงๆ ไม่อ้อมค้อมกำหนดทิศทางของเรื่อง แน่นอนว่านางใช้เหตุผลที่ว่าข้อมูลจากแผ่นหยกที่ได้คือแผ่นหยกบันทึกภาพเคลื่อนไหวเงาในคุกถูกคนทำลาย ไม่สามารถใช้มาเป็นหลักฐานได้

ตอนนี้จัดการลูกน้องใต้บัญชาการสองคนแล้ว นางโค้งคารวะไปทางสวี่ชิงและจื่อเสวียน ใบหน้าแสดงความละอาย

“เรื่องนี้เป็นข้าที่ดูแลบกพร่องทำให้สวี่ชิงได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าเห็นว่าสวี่ชิงอาการบาดเจ็บสาหัส ทุกท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เรื่องนี้สืบกระจ่างแล้ว อีกครู่ข้าจะให้คำตอบกับพวกท่าน อีกทั้งจะไปเยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง”

ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายเย็นวาบ วิธีการต่างๆ นานาของอีกฝ่ายทำให้เรื่องนี้คลี่คลายลงไปกว่าครึ่ง แต่หากยังจี้เรื่องอาการบาดเจ็บต่อไป สถานการณ์จะพลิกผัน ทำให้คนรู้สึกเหมือนกำลังข่มขู่

สวี่ชิงขบคิดในใจ แม้ผลลัพธ์ดูแล้วประวัติของตนไม่เป็นปัญหา แต่หากจบลงเช่นนี้เขารู้สึกว่ายังไม่พอ ดังนั้นจึงอ้าปากน้อยๆ คล้ายว่าจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่เขาบาดเจ็บสาหัสมาก อ่อนแอเป็นอย่างยิ่ง จิตเทพและเสียงล้วนส่งออกมาไม่ได้ นายกองเมื่อเห็นก็เอียงหูไปฟัง ไม่นานนักความโกรธบนใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นความไม่อยากจะเชื่อ ส่งเสียงร้องตกใจเสียงหลง

“อะไรนะ ศิษย์น้องเล็ก ไอ้เดรัจฉานที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายสองคนนั้นยังเอาหินวิญญาณจากเจ้าไปสามสิบล้านก้อนหรือ”

ดวงตาหงส์ของเหยาอวิ๋นฮุ่ยหรี่เล็กลงเล็กน้อย จิตใจเกิดระลอกคลื่นอารมณ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ ความจัดการยากของสวี่ชิงทำให้นางสัมผัสได้อย่างลึกซึ้งอีกครั้ง ต่อให้ตนจัดการการพลิกโจมตีกลับของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ได้ แต่ในเสี้ยวพริบตาอีกฝ่ายก็เปลี่ยนวิธีสร้างปัญหา

หินวิญญาณสามสิบล้านก้อนสำหรับนางก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เช่นกัน ความรู้สึกที่โดนข่มขู่รีดไถซึ่งหน้าเช่นนี้ ทำให้นางเหมือนกินมูลสุนัขแต่ก็จำต้องกลืนมันลงไป

ทั้งนางยังไม่อาจเอะอะอาละวาดได้ ตอนนี้ทำได้เพียงแค่สูดลมหายใจลึก สะกดระลอกคลื่นอารมณ์ลงไป หลังจากมองนายกงอและสวี่ชิงด้วยความหมายลึกซึ้งแวบหนึ่ง ก็ฉีกยิ้มออกมา พยักหน้าเล็กน้อย

“เรื่องนี้ข้าจะตรวจสอบให้กระจ่าง หาก…”

ไม่รอให้นางพูดจบ สวี่ชิงก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง กลิ่นอายพลังร่างกายยิ่งอ่อนแรงลงไปอีก นายกองใบหน้าเต็มไปด้วยความเคืองแค้นต่อความไม่เป็นธรรม รีบป้อนยาสวี่ชิง ป้อนไปด้วยหัวเราะอย่างเศร้าสลดไปด้วย

“นี่ยังเป็นวังอาญาอยู่อีกเช่นนั้นหรือ ทุบตีตามใจชอบ ชิงทรัพย์ซึ่งหน้า ศิษย์น้องเล็ก สถานที่ที่พวกเรามายังเป็นเมืองหลวงเขตปกครองเผ่ามนุษย์อีกหรือ!

“เรื่องนี้สวรรค์ไม่ให้อภัย เรื่องนี้…”

เห็นเรื่องจะใหญ่โตขึ้นมาอีก เส้นเลือดที่หน้าผากเหยาอวิ๋นฮุ่ยปูดโปน ความโกรธเคืองในใจพวยพุ่ง แต่นางรู้ว่าจะยืดเยื้อต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงกัดฟันเอ่ยขึ้น

“เรื่องนี้ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ แต่หินวิญญาณสามสิบล้านก้อนหน่วยที่สามจะดำเนินการจ่ายให้ก่อน!”

คำพูดนี้ดังออกมา ในใจของนางหลั่งเลือด

นายกองได้ยินดังนั้นจิตใจฮึกเหิม หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย หลังจากเลียริมฝีปากก็รีบเอียงหูไปหาสวี่ชิงอีกครั้ง ครั้งนี้สวี่ชิงไม่ได้พูดอะไร…

แต่นายกองกลับกำหมัดขวา ทุบไปบนพื้นอิฐอย่างแรง ท่ามกลางอิฐที่ระเบิดแหลกละเอียด ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด เสียงแหบแห้งขึ้นมา เอ่ยเสียงดัง

“อะไรนะ ยังมีค่ายกลเวทสังหารสิบเจ็ดชุดและอาวุธเวทห้าสิบเจ็ดชุดนั่นที่ข้าให้เจ้ายืม พวกเขาก็ไม่เว้นอย่างนั้นหรือ”

นายกองร้องโหยหวน เจ็บปวดหัวใจ ดวงตาแดงก่ำ

สวี่ชิงมองนายกอง สัมผัสได้ถึงเปลวเพลิงร้อนแรงในใจนายกอง พยักหน้าหงึกๆ

เหยาอวิ๋นฮุ่ยลมหายใจหอบถี่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อารมณ์เกิดระลอกคลื่นรุนแรง นางจ้องนายกองเขม็ง ความเกลียดชังในใจต่อคนผู้นี้เกินกว่าสวี่ชิงไปแล้ว

ตอนนี้กำลังจะเอ่ยปาก แต่เสี้ยวขณะต่อมา จิตเทพน่ากลัวทางหนึ่งก็แผ่มาจากส่วนลึกของวังอาญา ปกคลุมที่แห่งนี้ คล้ายว่ากำลังตรวจสอบ

หลังจากสัมผัสถึงจิตเทพทางนี้ เหยาอวิ๋นฮุ่ยใจสั่นสะท้าน รู้ว่าเรื่องที่ตนทำสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้นำระดับสูง จึงทำได้เพียงกัดฟันอีกครั้ง อีกทั้งใบหน้ายังจำต้องแสดงความสุขุมออกมา

แต่นางดูถูกนายกองเกินไป ตอนนี้ความสุขุมเพิ่งจะฉายออกมา นายกองทางนั้นก็ส่งเสียงโหยหวน

“เศษชิ้นส่วนของวิเศษเวทสามชิ้นที่อาจารย์ให้ก็ถูกชิงเอาไปหรือ

“หินวิญญาณสิบล้านกว่าก้อนของเหล่าสหายผู้ครองกระบี่ที่จะซื้อสินค้าขึ้นชื่อของพวกเราสำนักเจ็ดเนตรโลหิต พวกเขาก็ไม่เว้นเหมือนกันหรือ นั่นคือเงินจากหยาดเหงื่อของผู้ครองกระบี่เชียวนะ

“หา ยังมีโอสถวังสวรรค์สามเม็ดที่จอมเซียนจื่อเสวียนให้เจ้า พวกเขาก็ยังกล้าเอาไปเช่นนั้นหรือ”

จอมเซียนจื่อเสวียนสีหน้าเคร่งขรึม มองเหยาอวิ๋นฮุ่ยอย่างเย็นชา

เหล่าผู้ครองกระบี่ที่อยู่ข้างๆ รวมถึงเฉินถิงหาวในนั้นด้วย ตอนนี้สายตาที่มองมาทางนายกองแฝงแววแปลกประหลาด ต่างพากันพยักหน้า

ภาพนี้ทำให้เหยาอวิ๋นฮุ่ยสะกดโทสะท่วมฟ้าไว้ไม่อยู่นิดๆ ความเกลียดชังในใจของนางรุนแรง เรื่องที่ถูกข่มขู่รีดไถครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายกลายเป็นการรวมหัวกันขูดรีดเช่นนี้ ทำให้นางอัดอั้นตันใจจนถึงขีดสุด

เห็นเช่นนี้ นิ้วของสวี่ชิงขยับสองสามที ส่งสัญญาณว่าประมาณนี้พอได้แล้ว อย่าละโมบ

เขารู้สึกว่าหากทำต่อไปจะเกรงว่าจะเป็นการอวดฉลาดแต่กลับดูโง่

นายกองค่อนข้างเจ็บใจ กำลังจะรีดไถต่อ สวี่ชิงก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง

นายกองถึงได้เงียบเสียง แบกสวี่ชิงด้วยสีหน้าแค้นเคืองต่อความอยุติธรรม เดินไปทางจอมเซียนจื่อเสวียน สุดท้ายภายใต้สายตาของเหยาอวิ๋นฮุ่ย คนของพันธมิตรแปดสำนักทั้งหลายก็จากไปอย่างรวดเร็ว

จากการจากไปของพวกเขา ที่นี่ก็เงียบสงบ จิตเทพน่ากลัวที่แผ่มาจากจุดลึกของวังอาญาตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นเสียงสงบนิ่ง

“เจ้ากรมเหยา วังอาญาเผ่ามนุษย์ อำนาจที่มอบให้เจ้าคือเพื่อความยุติธรรมของเผ่ามนุษย์ ไม่ใช่สถานที่ที่ให้เจ้าใช้จัดการความแค้นส่วนตัว เรื่องนี้เจ้าล้ำเส้นแล้ว”

เหยาอวิ๋นฮุ่ยใจสั่นสะท้าน ก้มหน้าลงไป

“เมื่อครู่วังครองกระบี่ส่งเอกสารราชการมา เนื้อหาในเอกสารมีเพียงประโยคเดียว เจ็ดตัวอักษร”

“เหยาอวิ๋นฮุ่ย เจ้าอยากตายหรือ”

เหยาอวิ๋นฮุ่ยสูดลมหายใจลึก เงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงต่ำ

“เจ้าวัง ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว”

“สำนึกให้ดีเถอะ” จิตเทพที่น่ากลัวในวังอาญาจากการที่สี่คำนี้ดังมา ก็เลือนรางหายไป

เหยาอวิ๋นฮุ่ยยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ นานหลังจากนั้นนางก็หมุนตัว เดินไปในห้องทำงานของตนด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

เพิ่งเดินเข้ามา นางก็เห็นจางซืออวิ้นที่รออยู่ที่นี่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ท่านแม่…”

“อวิ้นเอ๋อร์ สหายร่วมงานสองคนนี้ของเจ้าไม่ธรรมดาเลย” เหยาอวิ๋นฮุ่ยเดินไปข้างหน้าบุตรชายของตน เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

จางซืออวิ้นใจสั่นสะท้าน ในตอนที่ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร เหยาอวิ๋นฮุ่ยก็ยกมือขวาแล้วตบมาอย่างแรง

ตบนี้ออกแรงสุดกำลัง จางซืออวิ้นกระอักเลือด ร่างกระเด็นไปบนกำแพง ในยามไถลลงมาอวัยวะภายในซัดโหมปั่นป่วน เลือดกระอักออกมาอีกครั้ง ใบหน้าครึ่งซีกปูดบวม

“เจ้าคนไร้ประโยชน์!

“พ่อเจ้าเป็นคนไร้ประโยชน์ สำนักเซียนล้ำบารมีไร้ประโยชน์ เจ้าเองก็เป็นพวกไร้ประโยชน์เหมือนกัน!”

เหยาอวิ๋นฮุ่ยกัดฟัน ระบายความโกรธโมโหในใจด้วยตบนี้

เผชิญหน้ากับคำดุด่าปรามาสของมารดา จางซืออวิ้นไม่กล้าโต้แย้ง แม้แต่เลือดที่มุมปากก็ไม่กล้าเช็ด ทำแค่เพียงก้มหน้า ภาพนี้นับตั้งแต่เล็กจนโต เขาเผชิญหน้ากับมันนับครั้งไม่ถ้วน

ก่นด่าจางซืออวิ้นเสร็จ เหยาอวิ๋นฮุ่ยก็นั่งลงบนเก้าอี้ สูดลมหายใจลึก หลังจากสงบสติอารมณ์อีกครั้ง นางก็ถือเห็ดหูหนูขาวตุ๋นน้ำตาลที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมา หลังจากซดไปคำหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น

ดวงตาที่ราวอัญมณีบนดวงหน้าไร้ตำหนิคู่นั้น ตอนนี้ทอดสายตามองไปทางสำนักย่อยพันธมิตรแปดสำนัก มุมปากงดงามยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย เผยเส้นโค้งงดงาม ริมฝีปากแดงอ้าขึ้นเล็กน้อย

“เตือนข้าอย่างนั้นหรือ แบบนี้สิถึงจะยิ่งสนุก”

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท