บทที่ 787 เจียหลัวซู่ผู้ตกจากฟากฟ้า

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ภายใน​เมือง​

เวลานี้​สวี่​ผิง​จื้อ​กำลัง​ขี่ม้า​นำหน้า​เหล่า​ทหารม้า​สิบห้า​นาย​ และ​กอง​ดาบ​เดินเท้า​อีก​ห้าสิบ​นาย​ออก​ลาดตระเวน​บน​ท้องถนน​อย่าง​ไม่ได้​รีบร้อน​หรือ​เอื่อย​เฉื่อย​เกินไป​

ด้าน​เหล่า​กอง​ดาบ​แต่ละคน​ต่าง​ก็​มีสีหน้า​ขึงขัง​ พวกเขา​พก​หน้าไม้​ใส่หลัง​ ส่วน​ตรง​เอว​ห้อย​ดาบ​คาด​เอว​เอาไว้​

ยาม​นี้​ใน​เมือง​เกิด​ภาวะฉุกเฉิน​ ประชาชน​จึงไม่สามารถ​ออก​ไปข้างนอก​ได้​ ส่วน​ผู้​ที่​ออกมา​โดย​ไม่ได้รับอนุญาต​จะโดน​สังหาร​สถาน​เดียว​ สาเหตุ​ที่​ทำ​เช่นนี้​ก็​เพื่อ​ไม่ให้​ประชาชน​รู้สึก​ตื่นตกใจ​จน​อาจ​เกิด​ความโกลาหล​ตามมา​ และ​ยัง​เป็น​การป้องกัน​ไม่ให้​ข้าศึก​ลอบ​เข้ามา​สร้าง​ความวุ่นวาย​สับสน​แก่​ประชาชน​อีกด้วย​

หาก​จะบอ​กว่า​เมืองหลวง​ไม่มีสายลับ​จาก​กบฏ​อวิ๋น​โจว​ แม้แต่​เด็ก​สามขวบ​ยัง​ไม่เชื่อ​ด้วยซ้ำ​

“หัวหน้า​ ท่าน​จะบอ​กว่า​สามารถ​รักษา​เมืองหลวง​เอาไว้​ได้​หรือ​? ท่าน​ก็​ได้ยิน​การเคลื่อนไหว​นั่น​แล้ว​นี่​ เมือง​ทางใต้​จวนจะ​เสีย​การป้องกัน​อยู่แล้ว​นะ​ขอรับ​”

ที่​ด้านหลัง​ฝั่งขวา​ มีทหาร​กอง​ดาบ​หนุ่ม​คน​หนึ่ง​ขี่ม้า​ไล่​ตามมา​ และ​กล่าว​ประโยค​ดังกล่าว​ด้วย​น้ำเสียง​กังวล​

ทว่า​ตอนนั้น​สวี่​ผิง​จื้อ​กำลัง​หนักอกหนักใจ​ จมดิ่ง​อยู่​ภายใน​โลก​ของ​ตัวเอง​ จึงไม่ได้ยิน​คำพูด​ของ​อีก​ฝ่าย​

“หัวหน้า​?”

ทหาร​กอง​ดาบ​หนุ่ม​คน​นั้น​จึงเอียง​ศีรษะ​ แล้ว​ตะโกนเรียก​เสียงดัง​

สวี่​ผิง​จื่อ​ถึงค่อย​พลัน​ได้สติ​ เอ่ย​ตอบ​ด้วย​ขมวดคิ้ว​หน้ามุ่ย​

“เพียงแค่​ลาดตระเวน​ให้​ดี​ ทำหน้าที่​ของ​ตัวเอง​ให้​ดี​ เรื่อง​อื่น​นอกเหนือ​ของ​ตน​มีคน​รับผิดชอบ​อยู่แล้ว​ ไม่จำเป็นต้อง​ไปคิดมาก​”

ทหาร​กอง​ดาบ​หนุ่ม​คน​นั้น​ฉีก​ยิ้ม​

“ท่าน​จะบอ​กว่า​มี ‘หลานชาย​ของ​ท่าน​’ ให้การ​สนับสนุน​อยู่​ เลย​รู้สึก​อุ่นใจ​นิดๆ​ สินะ​ขอรับ​”

ปัจจุบัน​สวี่​ผิง​จื้อ​เป็น​หัวหน้า​กองพัน​แห่ง​กองทหาร​ดาบ​ อีก​ทั้ง​ด้วย​อำนาจ​ของ​ระดับ​หัวหน้า​กองพัน​นั้น​ ก็​มาก​พอที่จะ​เรียก​ได้​ว่า​เป็น​ตำแหน่ง​และ​ยศ​ถาบรรดาศักดิ์​ที่​มีความสำคัญ​สูงยิ่ง​

แน่นอน​ว่า​ทั้งหมด​นี้​ก็​ต้อง​ยก​ความดี​ความชอบ​ให้​กับ​ ‘การสอน​อบรม​’ ที่​แสน​ดีงาม​ของ​เขา​ และ​ใน​เมืองหลวง​ใครๆ​ ก็​รู้กัน​ดี​ว่า​ สวี่​ผิง​จื้อ​ที่​เป็น​นาย​กอง​แห่ง​กองทหาร​ดาบ​นั้น​คือ​ผู้​สั่งสอน​ยอด​วีรบุรุษ​อย่าง​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ รวมถึง​บัณฑิต​ขั้นสูง​ขั้น​สอง​เช่น​สวี่​ซินเหนียน​อีกด้วย​

สำหรับ​คน​แรก​ที่​กล่าวถึง​เป็นที่​รู้กัน​ทั่ว​บ้าน​ทั่วเมือง​อยู่แล้ว​ ไม่จำเป็นต้อง​พูด​ให้​มากความ​

ทว่า​คน​ที่​กล่าวถึง​ต่อมา​นั้น​ เขา​มีความรู้​ความสามารถ​สูงส่ง ไม่ว่า​จะด้าน​บุ๋น​ที่​เชี่ยวชาญ​อักษร​ หรือ​ด้าน​บู๊​ก็​เก่งกาจ​ระดับ​ปกปักรักษา​ชาติ​ไว้​ได้​ อีก​ทั้ง​เมื่อ​ถึงยาม​ออกรบ​ก็​ชนะ​ศึก​หลาย​ต่อ​หลายครั้ง​

ส่วน​เรื่อง​ที่​สวี่​ผิง​จื้อ​ปลูกฝัง​ให้​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ให้​เป็น​คน​ชื่นชอบ​ใน​ด้าน​การเรียนหนังสือ​ไม่สำเร็จ​ จน​ปัจจุบันนี้​ ก็​ยัง​ไม่มีผู้ใด​กล่าวโทษ​เขา​ว่า​เป็น​คน​ไม่เอาไหน​สัก​คน​

ถึงแม้จะปลูกฝัง​ให้​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ชอบ​ใน​การเรียนหนังสือ​ไม่ได้​ แต่​การ​ที่​ให้​เขา​ฝึกฝน​วรยุทธ์​นั้น​เป็น​สิ่งที่​ไม่ผิด​แน่นอน​

ทหาร​กอง​ดาบ​หนุ่ม​กระซิบ​ถามกับ​อีก​ฝ่าย​อย่าง​หยั่งเชิง​

“หัวหน้า​ แต่​ท่าน​รับปาก​ไปแล้ว​นะ​ ตกลง​ฆ้อง​เงิน​สวี่​จะปกป้อง​เมืองหลวง​เอาไว้​ได้​จริงๆ​ หรือ​ขอรับ​?”

เมื่อ​เห็น​ว่า​สวี่​ผิง​จื้อ​ไม่ตอบ​ เขา​ก็​กล่าว​วาจา​ยั่วยุ​กับ​อีก​ฝ่าย​

“ท่าน​ทราบ​หรือไม่​ว่าที่​แนว​กำลัง​ป้องกัน​ของ​เมืองหลวง​ไม่กี่​วัน​มานี้​ เหล่า​พี่น้อง​ทั้งหลาย​ล้วน​มองออก​กัน​หมด​ว่า​มีความเป็นไปได้​เกิน​ครึ่ง​ที่​ฝ่าย​กบฏ​จะบุก​เข้ามา​ อีก​ทั้ง​พวกเรา​ทุกคน​ต่าง​ก็​พูด​กัน​ว่า​ฆ้อง​เงิน​สวี่​ได้​กลายเป็น​ดั่ง​ลูกธนู​ที่​สิ้นแรง​บิน​[1]แล้ว​ ส่วน​ชัยชนะ​ครั้ง​ใหญ่​ที่​ได้รับ​มาใน​ศึก​เมือง​สวิน​โจว​ก็​ประหนึ่ง​แสงสะท้อน​ของ​อาทิตย์​อัสดง​อัน​ใกล้​สิ้นสุดลง​[2]

“บางที​เดิมที​อาจ​ไม่ได้​ชัยชนะ​เลย​ด้วยซ้ำ​ แต่​เป็น​แค่​การ​หลอกลวง​ประชาชน​และ​สามัญชน​อย่าง​พวกเรา​เท่านั้นเอง​”

ตามปกติ​แล้ว​ สวี่​ผิง​จื้อ​จะโต้เถียง​เพื่อ​ปกป้อง​หลานชาย​ของ​เขา​ ซึ่งการ​ทำ​เช่นนี้​ก็​เป็นเรื่อง​ง่ายดาย​ยิ่งนัก​

ทว่า​ตอนนี้​ เขา​กลับ​นิ่ง​ไม่พูดจา​ และ​ลอบ​ถอนหายใจ​อยู่​ใน​ใจอย่าง​เงียบๆ​

การ​ที่​พี่ชาย​คนโต​ของ​เขา​มาเยือน​เมืองหลวง​ นี่​ก็​หมายความว่า​วันนี้​จะเป็น​จุดจบ​ของ​สอง​พ่อ​ลูก​

แต่​อา​รอง​สวี่​และ​อา​สะใภ้นั้น​ไม่เหมือนกัน​ ด้าน​อา​สะใภ้คงจะ​ยืนหยัด​เคียงข้าง​หลานชาย​ผู้เคราะห์ร้าย​คน​นี้​เป็นแน่​ เพราะ​ถึงอย่างไร​ก็​เป็น​เด็ก​ที่​ตัวเอง​เลี้ยงดู​มา

ทว่า​สวี่​ผิง​เฟิงก็​เป็น​พี่ชาย​แท้ๆ​ ของ​อา​รอง​สวี่​ แม้ว่า​ตอนนี้​สอง​พี่น้อง​จะกลายเป็น​คนแปลกหน้า​ไปแล้ว​ก็ตาม​ แต่​ใน​เมื่อ​เรื่องราว​ได้​ดำเนิน​มาถึงปัจจุบัน​ เมื่อ​คิด​ไปถึงขั้น​ว่า​ระหว่าง​หลานชาย​กับ​พี่ชาย​คนโต​ใคร​จะเป็น​ผู้รอดชีวิต​ ก็​รู้สึก​ว่า​มัน​เป็น​การเข่นฆ่า​ใน​หมู่​ญาติพี่น้อง​กันเอง​ชัด​ๆ ทันใดนั้น​เอง​ความเจ็บปวด​ภายในใจ​ที่​ยาก​จะซ่อนเร้น​ของ​สวี่​ผิง​จื้อ​ก็​ปะทุ​ขึ้น​มา

ภายใน​ค่ายทหาร​ใจกลางเมือง​ บัดนี้​เว่ยเยวียน​กำลัง​ยืน​อยู่​หน้า​แผนที่​เมืองหลวง​ ทว่า​สาย​ตากลับ​มิได้​สนใจ​แผนที่​ แต่​กำลัง​มอง​ไปยัง​กระจก​สำริด​ที่อยู่​ใน​มือ​

กระจก​บาน​นี้​มีรูปร่าง​ดั่ง​เสี้ยว​ดวงจันทร์​ มัน​ยัง​ไม่สมบูรณ์​

ภายใน​กระจก​กำลัง​สะท้อน​ภาพ​ฉาก​สนามรบ​ ของ​วิเศษ​นี้​เรียก​ว่า​ ‘กระจก​เทพ​ฮุ่น​เทียน​’ เป็น​สิ่งที่​สวี่​ซินเหนียน​มอบให้​เขา​ไว้​ ซึ่งช่วย​เขา​ใน​การ​วางแผนการ​รบ​ และ​สอดส่อง​สถานการณ์​ตาม​เวลาจริง​

เนื่องจาก​ตอนนี้​เว่ยเยวียน​กำลัง​อยู่​ใน​ร่าง​มนุษย์​ จึงไม่สามารถ​เข้าร่วม​แนว​กำลัง​ป้องกัน​เมือง​ได้​

ใน​ประตูเมือง​ทั้ง​สี่ทิศ​ ฝั่งทิศเหนือ​ถูก​คน​จาก​สำนัก​อวิ๋น​ลู่​อย่าง​จางเซิ่น​ ห​ลี่​มู่ไป๋ สวี่​ซินเหนียน​และ​คนอื่นๆ​ ปกปักรักษา​อยู่​ ซึ่งรับมือ​กับ​หยาง​ชวน​หนาน​ที่​เป็นอดีต​ผู้บัญชา​การแห่​งอวิ๋น​โจว​

เว่ยเยวียน​จำได้​ว่า​ คน​คน​นี้​มาจาก​ตระกูล​ที่​เป็น​ผู้นำ​ทางการทหาร​ และ​เห็นได้ชัด​ว่า​เป็นสมาชิก​พรรค​หวา​ง อีก​ทั้ง​ยัง​ได้รับแต่งตั้ง​ให้​เป็น​ผู้บัญชา​การแห่​งอ​วิ๋น​โจว​ใน​วัย​เพียง​สามสิบ​ต้น​ๆ เขา​ไม่ค่อย​ได้​ติดต่อ​กับ​คน​นี้​มาก​นัก​ แต่​เว่ยเยวียน​ก็​จำหยาง​จ้าว​ผู้​เป็น​บิดา​ของ​หยาง​ชวน​หนาน​ได้​

และ​คน​คน​นี้​เก่งกาจ​ใน​ด้าน​จัดการ​กองทัพ​และ​ปิดล้อม​โจมตีเมือง​เป็น​อย่างยิ่ง​

ตระกูล​หยาง​มีตำรา​อยู่​เล่ม​หนึ่ง​ชื่อว่า​ ‘สิบสอง​กลยุทธ์​บุก​ตีเมือง​’ ซึ่งเริ่ม​เขียน​มาตั้งแต่​รุ่น​ปู่ของ​หยาง​จ้าว​ และ​สืบทอด​มาแล้ว​สามรุ่น​ จน​ได้มา​อยู่​ใน​มือ​หยาง​จ้าว​ถึงค่อย​เขียน​จบ​สมบูรณ์​โดยแท้จริง​

ว่า​กัน​ว่า​ตำรา​นี้​ได้​รวบรวม​กลยุทธ์​ใน​การ​ปิดล้อม​โจมตีเมือง​เอาไว้​ตั้งแต่​อดีต​จนถึง​ปัจจุบัน​ แบ่ง​ออก​เป็น​สิบสอง​กลยุทธ์​ หาก​ได้​นำ​ตำรา​นี้​ไปเผยแพร่​สาธารณะ​ เท่านี้​ก็​เพียงพอ​ต่อ​การ​ทิ้งร่องรอย​ประวัติศาสตร์​ด้าน​การ​รบ​แก่​ตระกูล​หยาง​แล้ว​

ทว่า​ตำรา​เล่ม​นี้​ก็​ถูก​กำหนดให้​เป็น​ ‘ความรู้​ประจำ​ตระกูล​’ ตั้ง​แต่ต้น​ จึงไม่อาจ​ส่งมอบให้​คนนอก​ได้​

“ได้มา​เห็น​วันนี้​ ก็​สมตามที่​ร่ำ​ลือ​กัน​มาจริงๆ​”

ครั้น​เว่ยเยวียน​มอง​ไปที่​รอยร้าว​ตาม​กำแพง​ทิศเหนือ​ ก็​พบ​ว่า​มัน​ไม่เหมาะ​ที่จะ​ป้องกัน​อีกต่อไป​แล้ว​ จน​ผ่าน​ไปหนึ่ง​ก้านธูป​ จางเซิ่น​และ​คนอื่นๆ​ ก็​ล่าถอย​ ออก​ไปต่อสู้​บน​ท้องถนน​เช่นเดียวกับ​ประตู​ทิศใต้​แทน​

ส่วน​ด้าน​ประตู​ทิศตะวันตก​ก็​จะเป็น​เหิงหย่วน​และ​ฉู่หยวน​เจิ่น​ที่​นำ​ทัพ​ปกป้อง​เมืองหลวง​ ซึ่งร่วมกับ​นักรบ​จาก​เผ่าพันธุ์​กู่​ที่​เหลืออยู่​คอย​รับผิดชอบ​รักษา​ความสงบ​ สถานการณ์​การ​รบ​ของ​ที่นี่​จึงมีความมั่นคง​มาก​ที่สุด​ เนื่องจาก​เผ่า​ซือ​กู่​ดึง​กองทัพ​ศพ​ที่​ไม่กลัว​ตาย​ขึ้น​มา และ​ผสาน​กับ​วิชา​ลอบสังหาร​ที่​แสน​ลึกลับ​ของ​เผ่า​อั้น​กู่​ จน​สามารถ​ทยอย​เอาชนะ​กองกำลัง​ของ​อวิ๋น​โจว​ได้​

ฉะนั้น​ด้าน​ประตู​ทิศตะวันตก​ เว่ยเยวียน​จึงทำ​แค่​สนับสนุน​กระสุน​ปืนใหญ่​และ​ท่อนซุง​ให้​เพียงพอ​เท่านั้น​

ส่วน​ประตู​ทิศตะวันออก​ก็​ถูก​ปกป้อง​โดย​เหล่า​เจ้าพนักงาน​ฆ้อง​ทองคำ​ของ​เมืองหลวง​ทั้ง​สิบสอง​คน​ รวมถึง​ทหาร​รักษา​วัง​หน่วย​ที่​ห้า​ของ​หน่วย​กองทัพ​ร้อย​ศึก​

สถานการณ์​การ​รบ​ของ​ที่นี่​น่าเวทนา​ที่สุด​แล้ว​ เนื่องจาก​ต้อง​เผชิญ​กับ​ทหาร​ชุด​เกราะ​หนา​ของ​กองทัพ​เต่าดำ​เซวี่ยนหวู่​ พวก​ทหาร​นี้​คง​ติดอาวุธ​ไปถึงส่วน​ฟัน​ด้วยซ้ำ​กระมัง​ เพราะ​ไม่ว่า​จะปืนไฟ​หรือ​ลูกธนู​ก็​ไม่อาจ​สร้าง​ความเสียหาย​ได้​เลย​

อีก​ฝ่าย​อาศัย​อาวุธ​เวทมนตร์​อย่าง​ชุด​เกราะ​หนา​หลาย​ชั้น​และ​ดาบ​ง้าว​ ซึ่งเป็น​อาวุธ​ที่​ล้ำเลิศ​ใน​ล้ำเลิศ​ กระทั่ง​ทหาร​รักษา​วัง​แห่ง​เมืองหลวง​ก็​ยัง​มิใช่คู่ต่อสู้​ของ​พวกเขา​ด้วยซ้ำ​

กอปร​กับ​ทหาร​ระดับ​พลัง​สี่ถึงห้า​ของ​ฝ่ายอ​วิ๋น​โจว​ที่​เรียก​ได้​ว่า​ไร้​เทียมทาน​นั่น​อีก​

โชคดี​ที่ว่า​ยอด​ฝีมือ​ระดับ​สี่มีไม่มาก​นัก​ กำแพงเมือง​จึงยัง​ถูก​รักษา​เอาไว้​และ​ยืนหยัด​ต่อไป​ได้​

ยาม​นี้​เมือง​ทางใต้​มีการป้องกัน​ที่​อ่อนแอ​มาก​ที่สุด​ ใน​สถานการณ์​นี้​เว่ยเยวียน​ก็​จงใจทำ​ท่าที​ใจดี​มีเมตตา​ ทั้งที่​เสีย​การป้องกัน​ไปแล้ว​

เว่ยเยวียน​ได้​ฝังทุ่นระเบิด​ไว้​ที่​เมือง​ทางใต้​จำนวนมาก​ ทั้ง​ยังมี​เหล่า​ทหาร​สอง​พัน​นาย​ซึ่งซ่อนตัว​อยู่​ใน​บ้านเรือน​ต่างๆ​ และ​ปืนใหญ่​สิบ​หก​กระบอก​ที่​เพิ่ม​ไว้​ตาม​บน​ท้อง​ถนนสายหลัก​ ใน​บริเวณ​ดังกล่าว​ไม่มีประชาชน​หลง​เหลืออยู่​นาน​แล้ว​

เมื่อใด​ที่​ทหาร​ขอ​งอ​วิ๋น​โจว​บุก​เข้ามา​ ทหาร​จาก​ฝ่าย​ต้าฟ่ง​ก็​จะทำการ​ปิดประตูตีแมว​ และ​มอบ​ความเจ็บปวด​ให้​อย่าง​สาสม

ทว่า​ชีก่วง​ป๋อ​บัญชาการ​กองทัพ​ด้วย​ความสุขุม​มั่นใจ​เสมอ​ เขา​ส่งกองกำลัง​ส่วนหนึ่ง​ที่​มิได้​มาก​หรือ​น้อย​เกินไป​เข้า​บุก​ทลาย​เมือง​ทางใต้​ ระหว่าง​ที่​ทหาร​อารักขา​กำลัง​ต่อสู้​อย่าง​ดุเดือด​นั้น​ เขา​ก็​ตรวจตรา​สภาพ​ท้องถนน​ไปด้วย​

เนื่องด้วย​ถนน​ของ​เมืองหลวง​มีความ​สลับซับซ้อน​ หาก​ไม่สำรวจ​สภาพ​ท้องถนน​ให้​ดีแล้ว​พรวดพราด​บุกเข้าไป​โดยประมาท​ ก็​คง​ถูก​ทหาร​ฝ่าย​ต้าฟ่ง​ที่​ได้เปรียบ​ด้าน​ภูมิประเทศ​จัดการ​อย่าง​ง่ายดาย​

“พ่อ​รูปหล่อ​นี่​ไม่เลว​เลย​”

เว่ยเยวียน​สั่งการ​อย่าง​ใจเย็น​และ​ปรับ​กำลัง​พล​ตาม​สถานการณ์​ พลาง​สังเกต​ภาพ​ฉาก​ใน​กระจก​เทพ​ฮุ่น​เทียน​ไปด้วย​

“จงสะท้อน​ภาพ​ของ​โค่ว​หยาง​โจว​!”

เว่ยเยวียน​กล่าว​เสียง​เข้ม​

จากนั้น​กระจก​เทพ​ฮุ่น​เทียน​ก็​พร่ำบ่น​ พร้อมกับ​ฉาย​ภาพสะท้อน​สถานการณ์​ของ​โค่ว​หยาง​โจว​

ส่วน​สาเหตุ​ที่​มัน​ไม่สะท้อน​ภาพ​ของ​สวี่​ผิง​เฟิงนั้น​ ก็​เป็น​เพราะว่า​มัน​เกินขอบเขต​ความสามารถ​ของ​กระจก​เทพ​ฮุ่น​เทียน​ และ​อาจ​ประสบ​เจอ​การ​สะท้อน​กลับ​ได้​

ทว่า​โค่ว​หยาง​โจว​เป็น​ฝ่ายพันธมิตร​ จึงไม่อาจ​ปฏิเสธการ​สะท้อน​ภาพ​ของ​เว่ยเยวียน​ได้​

เว่ยเยวียน​กวาดสายตา​มอง​ ก่อน​จะส่ายหน้า​เบา​ๆ เนื่องจาก​ไม่พบ​ว่า​พฤติกรรม​ของ​โค่ว​หยาง​โจว​และ​สวี่​ผิง​เฟิงมีปัญหา​อัน​ใด​ อันที่จริง​ สอง​คน​นี้​ต่าง​ก็​เป็นยอด​ฝีมือ​ ครั้น​เจอ​ปัญหา​ก็​ย่อม​พลิกแพลง​ตาม​สถานการณ์​ ช่างเยี่ยมยอด​เสีย​จริง​

เพียงแต่​ก็​ยัง​ยาก​ที่จะ​หลีกเลี่ยง​การต่อสู้​กับ​ทหาร​หรือ​แนว​ทางการ​รบ​อื่นๆ​ ซึ่งเป็น​รูปแบบ​ตายตัว​อยู่แล้ว​ ดังนั้น​เลย​ไม่น่าแปลกใจ​นัก​

ก็​ประหนึ่งว่า​มีเพียง​วิธีการ​ที่​ทำซ้ำ​ไปมาของ​จอม​ยุทธ์​อย่าง​สวี่​ชีอัน​ จะสามารถ​เอาชนะ​ทหาร​และ​แนวการรบ​อื่นๆ​ ได้​ ฉะนั้น​ตอนนี้​จึงไม่มีใคร​สามารถ​จัดการ​กับ​สถานการณ์​กลืนไม่เข้าคายไม่ออก​นี้​

ทว่า​เว่ยเยวียน​สังเกต​ได้​ถึงสิ่งหนึ่ง​ สอง​คน​นั้น​ยิ่ง​บุก​โจมตี​มาก​เท่าไร​ก็​ยิ่ง​เข้าไป​ลึก​เท่านั้น​ ซึ่งตอนนี้​พวกเขา​กำลัง​มุ่งหน้า​ไปยัง​ทิศ​ของ​พระราชวัง​

“จงสะท้อน​ภาพ​ของ​จีเสวียน​!”

ทันทีที่​เว่ยเยวียน​ออกคำสั่ง​ มุมมอง​ของ​กระจก​เทพ​ฮุ่น​เทียน​ก็​เปลี่ยนไป​ใน​บัดดล​

จากนั้น​ร่าง​เงาสีดำ​ก็​ปรากฏ​ขึ้น​กลาง​ภาพ​ฉาก​ เขา​มีสภาพ​ผม​ยุ่ง​กระเซิง​ ร่าง​สวม​ชุด​เกราะ​แตกหัก​ โดย​เผย​ครึ่ง​ท่อน​บน​ที่​ดู​กำยำ​ เลย​ดูเหมือน​เทพี​แห่ง​สงคราม​ที่​มีนิสัย​ดื้อรั้น​และ​ขาด​การยับยั้งชั่งใจ​แทน​

เขา​พลัน​กำมือ​ที่​ถือ​ยันต์​หยก​แน่น​ จากนั้น​แสงสว่าง​หนึ่ง​ก็​ลอย​ออกมา​ก่อน​จะหาย​ลับสายตา​ไป

เวลานี้​บน​กลางอากาศ​ได้​มีผู้​สวม​ชุด​ขาว​คน​หนึ่ง​ปรากฏตัว​ขึ้น​ ซุน​เสวียน​จีมอง​ซ้าย​มอง​ขวา​ไปสักพัก​หนึ่ง​ จู่ๆ ก็​หัน​กลับมา​กะทันหัน​ ก่อน​จะมอง​ไปทาง​ทิศ​ที่ตั้ง​ของ​พระราชวัง​

“ตั้งใจ​จะอยู่​ที่​พระราชวัง​ใช่หรือไม่​เล่า​”

เว่ยเยวียน​เลิกคิ้ว​

ด้าน​ทิศ​ของ​พระราชวัง​

ทันใดนั้น​เอง​สวี่​ผิง​เฟิงก็​เหาะ​เหิน​ออก​มาจาก​แท่น​สี่เหลี่ยม​เล็ก​ๆ ด้วย​เพียง​แรงผลัก​แผ่วเบา​ ทว่า​ยาม​ที่​เหาะ​ออก​มาจาก​แท่น​สี่เหลี่ยม​นั่น​ ก็​เข้าไป​เจอ​กับ​ค่าย​กล​ส่งตัวอย่าง​พอดิบพอดี​

ชั่วพริบตา​ต่อมา​ ภายใน​พระราชวัง​ก็​พลัน​เกิด​เสียง​ตูม​ขึ้น​มา กลายเป็น​แท่น​ที่สูง​ถึงเจ็ด​ฉื่อ​ แท่น​สูงนี้​มีความ​ยาว​และ​กว้าง​ราวๆ​ หนึ่ง​จั้ง

แท่น​สูงส่อง​ประกาย​แสงทันใด​ ก่อน​จะปรากฏ​เงาร่าง​จีเสวียน​ที่​ผมเผ้า​ยุ่งเหยิง​

จากนั้น​เขา​ก็​ส่งยันต์​หยก​ออก​ไปยัง​พระราชวัง​ด้วย​ความช่วยเหลือ​จาก​แท่น​เคลื่อนย้าย​ของ​สวี่​ผิง​เฟิง

ขณะเดียวกัน​นั้น​ ชิ้นส่วน​อาวุธ​เวทมนตร์​ทองสัมฤทธิ์​ที่อยู่​ใน​ถุงปัก​ดิ้น​ตรง​เอว​ของ​เขา​ก็​ลอย​ออกมา​อย่าง​ต่อเนื่อง​

อาวุธ​เวทมนตร์​ทองสัมฤทธิ์​แต่ละ​ชิ้น​นั้น​ประกอบ​กันเอง​บน​กลางอากาศ​ และ​ก่อ​กลายเป็น​แผ่น​โลหะ​ทรงกลม​ขนาด​ยักษ์​ขึ้น​มา

จิต​ดาบ​ของ​โค่ว​หยาง​โจว​เฉือน​ตัด​อาวุธ​เวทมนตร์​ทองสัมฤทธิ์​ซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ จน​เกิด​แสงวูบวาบ​ แต่กลับ​ไม่สามารถ​ทำลาย​อาวุธ​เวทมนตร์​ของ​ปรมาจารย์​ลิขิต​ฟ้าได้​เลย​

ระหว่าง​ขั้น​ตอนนี้​ สวี่​ผิง​เฟิงสำแดง​วิชา​เคลื่อนย้าย​ ค่าย​กล​ป้องกัน​ และ​ค่าย​กล​อื่นๆ​ เพื่อ​สกัดกั้น​การ​โจมตี​อัน​แสน​รุนแรง​ของ​โค่ว​หยาง​โจว​ ซึ่งการผสาน​ประกอบ​กัน​ของ​อาวุธ​เวทมนตร์​ทองสัมฤทธิ์​มิได้​ยาวนาน​ หลัง​ผ่าน​ไปเพียง​สี่ถึงห้า​อึดใจ​ ก็​ประกอบ​กัน​เสร็จ​แล้ว​

ครั้น​สวี่​ผิง​เฟิงยก​เท้า​ขึ้น​ แผ่น​อาวุธ​เวทมนตร์​ทรงกลม​ก็​กระจัดกระจาย​ออก​ไปกลายเป็น​เขตแดน​ ทำให้​พระราชวัง​ไปอยู่​อีก​โลก​ใบ​หนึ่ง​ที่​ถูก​ตัดขาด​

นี่​คือ​แผนการ​ล่วง​หน้าที่​ถูกวาง​มาไว้​อย่าง​ดี​ เมื่อ​คำนึงถึง​การ​มีอยู่​ของ​ยันต์​หยก​ส่งตัว​ ก็​จะพบ​ว่า​ด้าน​สวี่​ผิง​เฟิงคอย​เฝ้าดู​ชะตากรรม​ของ​พระราชวัง​มาโดยตลอด​ และ​ต้องการ​ตำแหน่ง​จักรพรรดินี​

ด้วย​สถานะ​ของ​เขา​ เดิมที​วิชา​ลมปราณ​ทั่วไป​เช่นนี้​ ย่อม​ไม่เข้าตา​ของ​เขา​อยู่แล้ว​ เว้นเสียแต่ว่า​เป็น​อาวุธ​เวทมนตร์​ของ​ท่าน​โหราจารย์​รุ่น​ที่หนึ่ง​ทิ้ง​ไว้​ให้​ หรือไม่​ก็​เป็น​วิชา​ดวง​ดารา​ผัน​เปลี่ยน​ของ​เผ่า​เทียน​กู่​ระดับ​เขตแดน​เหนือ​มนุษย์​

“ถอย​ออก​ไปร้อย​จั้ง!”

จางเซิ่น​โบกมือ​ใหญ่​ของ​ตน​ เขา​เพิ่งจะ​พุ่ง​ขึ้นไป​บน​กำแพงเมือง​ได้​ เหล่า​ทหาร​สิบ​กว่า​คน​ที่​พุ่ง​เข้ามา​พร้อม​ถือ​ดาบ​ง้าว​ใน​มือ​หมาย​จะเปิดฉาก​สังหาร​ จู่ๆ ก็​หายตัว​ไปอย่าง​กะทันหัน​

“กลับ​ไป!”

ยาม​ห​ลี่​มู่ไป๋สะบัด​แขน​เสื้อ​ ลูกศร​และ​ปืนใหญ่​ที่​ยิง​โจมตี​มาก็​ถูก​ตีกลับ​ไป

เมื่อ​เปรียบเทียบ​กับ​ประตูเมือง​ทิศ​อื่นๆ​ แล้ว​ ประตู​ทิศเหนือ​ที่​ถูก​ปกป้อง​โดย​ปราชญ์​ผู้ยิ่งใหญ่​แห่ง​สำนัก​อวิ๋น​ลู่​ซึ่งนั่ง​บัญชาการ​ด้วย​ตัน​เอง​นั้น​มั่นคง​ที่สุด​ และ​รักษา​กำแพงเมือง​ไว้​ได้​คง​สมบูรณ์​ที่สุด​

เนื่องด้วย​เหล่า​ปราชญ์​ผู้ยิ่งใหญ่​ได้​ร่วมมือ​กับ​ทหาร​อารักขา​พลัง​ขั้น​สี่ จึงปกป้อง​ประตูเมือง​ทิศเหนือ​เอาไว้​ได้​เป็น​อย่าง​ดี​

และ​เพราะ​มีการ​ใช้ ‘ลั่น​ประกาศิต​’ ที่​มากเกินไป​ ชั้น​แสงเบาบาง​ที่​ห่อหุ้ม​ร่าง​ของ​ปราชญ์​ผู้ยิ่งใหญ่​สอง​คน​ก็​ลดน้อยลง​จน​แทบจะ​ไม่หลง​เหลืออยู่​

พละกำลัง​ทางกาย​และ​จิตใจ​จึงแห้งเหือด​จวน​ใกล้​ขีดจำกัด​แล้ว​ ถ้ายัง​ดื้อรั้น​ฝืน​ต่อไป​ ก็​จะไร้​ซึ่งการ​คุ้มครอง​จากร่าง​แห่ง​ปราณ​เที่ยงธรรม​ ทำให้​วิชา​ที่​ใช้นั้น​จะย้อนกลับ​และ​ส่งผลกระทบ​ต่อ​ร่างกาย​โดยตรง​

‘ฟิ้ว…’​

ทันใดนั้น​เอง​ก็​มีเสียง​หวีด​แหลม​ทะลุ​ผ่าน​อากาศ​ไป ลูกศร​อัน​น่าเกรงขาม​เปี่ยม​ไปด้วย​กลิ่นอาย​เย็นยะเยือก​ ได้​พุ่ง​เข้า​มายัง​กลา​งอก​ของ​จางเซิ่น​

หัวใจ​ของ​จางเซิ่น​เริ่ม​เหนื่อยล้า​อ่อนแรง​มาทันใด​ เวลา​นั้น​เอง​ ที่​ข้าง​หู​เขา​ก็​ได้ยิน​เสียง​ของ​สวี่เอ้อร์​หลา​งเอ่ย​ตาม​จังหวะ​อย่าง​เย็นชา​ว่า​

“เคลื่อน​ไปทางซ้าย​สามฉื่อ!”​

ด้วย​วาจา​ที่​ชวน​ให้​รู้สึก​ฮึกเหิม​และ​วิชา​ที่​รุนแรง​ประหนึ่ง​กระแสน้ำ​ที่​ไหล​เชี่ยวกราก​ ลูกศร​นั้น​ก็​เคลื่อน​ไปทางซ้าย​สามฉื่อ​ทันที​ มัน​เฉียด​ผ่าน​แขน​ของ​จางเซิ่นจน​เป็นแผล​ถลอก​ ก่อนที่จะ​ไปปัก​บน​กำแพง​ด้านหลัง​แล้ว​เกิด​ระเบิด​ขึ้น​เป็น​หลุม​ลึก​ พร้อมกับ​เศษหิน​ที่​ร่วงหล่น​ลงมา​

สวี่เอ้อร์​หลา​งเขย่า​ขี้เถ้า​ภายใน​มือ​ เสมือน​ยกภูเขาออกจากอก​

หลังจาก​ศึกสงคราม​ที่​เมือง​สวิน​โจว​ เขา​ก็​เลื่อนขั้น​ได้​สำเร็จ​ ตอนนี้​เลย​เข้าสู่​ระดับ​กำเนิด​ปราชญ์​ขั้น​หก​แล้ว​ ซึ่งระดับ​กำเนิด​ปราชญ์​นี้​สามารถ​หยิบยืม​ทักษะ​ของ​คนอื่น​ได้​ สิ่งใด​ที่​เห็น​ก็​สามารถ​ใช้ปลาย​ปากกา​จด​ใส่บน​กระดาษ​นำมา​ใช้ได้​ทั้งสิ้น​

ช่างเป็น​พลัง​ต่อสู้​ที่​แสนวิเศษ​จริงๆ​

ด้วย​อายุ​เช่นนี้​ของ​สวี่เอ้อร์​หลา​ง นี่​ก็​นับว่า​เป็น​พรสวรรค์​อย่างยิ่ง​แล้ว​

ตอนนี้​ใน​ตระกูล​สวี่​ จึงมีเพียง​พี่ใหญ่​จอม​เจ้าเล่ห์​ที่​สามารถ​จัดการ​เขา​ได้​ ส่วน​สวี่​ผิง​จื้อ​ผู้​เป็น​บิดา​ ปัจจุบันนี้​ก็​เป็น​จอม​ยุทธ์​ระดับ​หลอม​วิญญาณ​ขั้น​เจ็ด​

เมื่อครู่นี้​เขา​ได้​คอย​จดบันทึก​วิชา​ของ​จางเซิ่น​และ​ห​ลี่​มู่ไป๋เอาไว้​ตลอด​ แม้สำเร็จ​ไปเพียง​หนึ่ง​ครั้ง​ ถึงกระนั้น​เขา​ที่​เพิ่งจะ​ได้รับ​วิชา​จาก​คนอื่น​มาอย่าง​ไม่ต้อง​แลกเปลี่ยน​อะไร​ แต่กลับ​ต้อง​มาใช้กับ​ร่าง​เจ้าของ​วิชา​นี่​สิ

เนื่องจาก​ระดับ​พลัง​ของ​สวี่เอ้อร์​หลา​งอ​ยู่​ใน​ขั้นต่ำ​ ผล​ของ​วิชา​จดบันทึก​เลย​ไม่ดี​เท่า​ดั่ง​ต้นฉบับ​ ดังนั้น​ตอนที่​โจมตี​จึงต้อง​ให้​เลย​จาก​เป้าหมาย​ไปสามฉื่อ​

สวี่เอ้อร์​หลา​งมอง​ออก​ไปที่​ด้านนอก​กำแพง​แล้ว​เหลือบมอง​สังเกต​ปราด​หนึ่ง​ คน​ที่​ยิง​ลูกศร​ก่อนหน้านี้​คือ​หยาง​ชวน​หนาน​ที่​เป็นอดีต​ผู้บัญชา​การแห่​งอ​วิ๋น​โจว​

อดีต​ผู้บัญชา​การแห่​งอ​วิ๋น​โจว​ผู้​นี้​ เมื่อ​ครั้ง​ยาม​ศึกสงคราม​เมือง​ชิงโจว​ เขา​ได้​แสดงให้เห็น​ถึงความสามารถ​ใน​ด้าน​การ​บัญชาการ​กองทัพ​ที่​ไม่ธรรมดา​ ดู​เชี่ยวชาญ​ด้าน​การ​รบ​และ​บุก​โจมตี​ทลาย​เมือง​เป็น​อย่างยิ่ง​

‘ไอ้​สุนัข​รับใช้​…’ สวี่​ซินเหนียน​ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน​ แล้ว​กล่าว​อย่าง​จริงจัง​ว่า​

“ท่าน​อาจารย์​ ท่าน​มู่ไป๋ พวก​ท่าน​พักผ่อน​สักหน่อย​ก่อน​เถิด​ ส่วน​ที่นี่​ปล่อย​ให้​พวก​ทหาร​รักษา​วัง​จัดการ​ต่อ​”

หาก​ให้​เปรียบเทียบ​เรื่อง​พละกำลัง​ทางกาย​เขา​ไม่อาจ​สู้พวก​จอม​ยุทธ์​ได้​ ทว่า​ตอนนี้​ เหล่า​จอม​ยุทธ์​ก็​ยัง​มีชีวิต​และ​กระปรี้กระเปร่า​อยู่​ ถึงขั้น​ยัง​สามารถ​วิ่ง​ขึ้น​ลง​ไปกลับ​ใน​เมือง​ได้​อย่าง​สบาย​

จางเซิ่น​และ​ห​ลี่​มู่ไป๋เพิ่งจะ​ผงกศีรษะ​ได้​ไม่นาน​ ก็​พลัน​สัมผัส​ได้​ถึงอะไร​บางอย่าง​ จึงรีบ​มองออก​ไปยัง​ทิศ​ที่​เป็นที่ตั้ง​ของ​พระราชวัง​ทันที​ ที่​แห่ง​นั้น​มีชิ้นส่วน​บางสิ่ง​ที่​เป็น​ขนาดใหญ่​ และ​แผ่น​ทรงกลม​ที่​แผ่​กลิ่นอาย​อัน​น่าเกรงขาม​กำลัง​กระจัดกระจาย​ปกคลุม​ทั่ว​ทั้ง​พระราชวัง​

ด้าน​ยอด​ฝีมือ​ผู้​มีพลัง​ระดับ​สี่ถึงห้า​ที่อยู่​บริเวณ​นั้น​ ก็​รู้สึก​ได้​ถึงพลัง​อัน​ยิ่งใหญ่​ที่​แผ่ออก​มาจาก​อาวุธ​เวทมนตร์​ของ​ปรมาจารย์​ลิขิต​ฟ้าด้วย​เช่นกัน​

ถึงพวกเขา​จะไม่รู้​ว่า​กำลัง​เกิด​อะไร​ขึ้น​ แต่​ต่าง​ก็​สัมผัส​ถึงสิ่งผิดปกติ​ได้​จาก​ทาง​ด้าน​พระราชวัง​

“ฝ่าบาท​…”

สวี่​ซินเหนียน​สีหน้า​เปลี่ยนไป​ทันใด​

ส่วน​ด้าน​หยาง​ชวน​หนาน​กลับ​โล่งใจ​เสมือน​ยกภูเขาออกจากอก​ มุมปาก​ค่อยๆ​ ยกขึ้น​ ใน​เมื่อ​มาบุก​โจมตี​ถึงเมืองหลวง​แล้ว​ ศีรษะ​ของ​จักรพรรดิ​ต้าฟ่ง​ก็​ต้อง​ถูก​เก็บ​ใส่ถุงผ้า​สิ เช่นนั้น​ถึงจะค่อย​คุ้มค่า​หน่อย​

เมื่อ​ตัด​ศีรษะ​จักรพรรดินี​ได้​แล้ว​ จิตใจ​ของ​ทหาร​ต้าฟ่ง​จะยังคง​แน่วแน่​มั่งคง​ได้​อยู่​หรือ​? เหล่า​ขุนนาง​ยัง​จะใจเย็น​นิ่งเฉย​ได้​อยู่​หรือไม่​? แล้ว​ประชาชน​ยัง​จะสามารถ​ระงับ​ความหวาดกลัว​ใน​ใจได้​หรือเปล่า​?

ดัง​สำนวน​ที่ว่า​จะยิง​ธนู​ใส่คน​ก็​ต้อง​ยิง​ที่​ม้าเสีย​ก่อน​[3] หรือ​ที่ว่า​กัน​ว่า​จับ​โจร​เอา​หัวโจก​ นี่​เป็น​หลักการ​ที่​ไม่อาจ​ทำลาย​ได้มา​ตั้งแต่​สมัยโบราณ​จนถึง​ปัจจุบัน​

‘เกิด​อะไร​ขึ้น​…’ ฉู่หยวน​เจิ่น​ควบคุม​ลม​ให้​ขึ้น​ที่สูง​ก่อน​จะมุ่งสู่ท้อง​นภา​

ไต้​ซือเหิงหย่วน​ผู้​มีร่าง​ทอง​อัน​สว่างไสว​พลัน​กระโดด​ขึ้น​เหยียบ​กระบี่​บิน​ ใน​ระหว่าง​นี้​เอง​ ฉู่หยวน​เจิ่น​ก็​สกัดกั้น​ปืนใหญ่​แทน​อีก​ฝ่าย​

“นี่​มัน​อาวุธ​เวทมนตร์​อะไร​กัน​?”

ไต้​ซือเหิงหย่วน​มอง​ไกล​ออก​ไปด้วย​สีหน้า​ขึงขัง​ ก็​เห็น​แท่น​ทองสัมฤทธิ์​ทรงกลม​กำลัง​ปกคลุม​พระราชวัง​อยู่​

ช่วง​ที่เกิด​สงคราม​เมือง​สวิน​โจว​ เหล่า​สมาชิก​พรรค​ฟ้าดิน​มีหน้าที่​ล่า​เต๋า​มาร​แห่ง​นิกาย​ปฐพี​ ดังนั้น​พวกเขา​เลย​ไม่เคย​เห็น​อาวุธ​เวทมนตร์​เช่นนี้​มาก่อน​

“ฝ่าบาท​กำลัง​มีภัยอันตราย​”

ฉู่หยวน​เจิ่น​สีหน้า​เคร่งเครียด​โดยพลัน​ เขา​รู้ดี​ว่า​ด้าน​ฮว๋าย​ชิ่งน่าจะ​มีวิธี​การป้องกัน​อยู่​ แต่​สัญชาตญาณ​ก็​บอก​เขา​ว่า​ฮว๋าย​ชิ่งกำลัง​เป็นอันตราย​

ตอนนั้น​เอง​ก่อนที่​กองกำลัง​อวิ๋น​โจว​จะบุก​โจมตี​ ชีก่วง​ป๋อ​ก็​สูด​ลม​หายใจเข้า​ลึก​ แล้ว​กล่าว​เสียงดัง​ว่า​

“โจมตี​!”

ด้านหลัง​ของ​เขา​มีทหารม้า​ห้า​พัน​นาย​ ซึ่งเป็น​กองกำลัง​ที่​แข็งแกร่ง​มีคุณภาพ​กอง​สุดท้าย​แล้ว​

บัดนี้​ภายใน​เสียง​ตี​กลอง​ที่​ดัง​กระหึ่ม​ก็​มีเสียง​กู่​ร้อง​อัน​ทรงพลัง​แทรก​ออกมา​ด้วย​

ใน​เสี้ยว​วินาที​ที่​แท่น​ทองสัมฤทธิ์​ทรงกลม​ปรากฏ​ออกมา​ เหล่า​ผู้​บำเพ็ญ​ระดับสูง​ใน​เมืองหลวง​ ก็​แทบจะ​ทุกคน​ที่​สัมผัส​ถึงการ​มีอยู่​มัน​ได้​

ปกติ​แล้ว​ของ​วิเศษ​ระดับสูง​เช่นนี้​ ทุกๆ​ ชิ้น​ย่อม​มีลักษณะพิเศษ​ของ​ตัว​มัน​เอง​ทั้งนั้น​ จึงไม่มีทาง​ที่จะ​มีดู​ธรรมดา​เรียบง่าย​

จางเซิ่น​ ห​ลี่​มู่ไป๋ ฉู่หยวน​เจิ่น​ รวมถึง​ฆ้อง​ทองคำ​และ​ยอด​ฝีมือ​ใน​หมู่​ทหาร​รักษา​วัง​คนอื่นๆ​ ต่าง​ก็​รู้สึก​หวั่นใจ​ทั้งสิ้น​

เมื่อ​แท่น​ทองสัมฤทธิ์​ทรงกลม​ปรากฏ​ขึ้น​ที่ทาง​ด้าน​พระราชวัง​ ไม่ว่า​แท่น​ทรงกลม​นี้​จะเป็นมิตร​หรือ​ศัตรู​ พระราชวัง​ย่อม​ถูก​โจมตี​อยู่ดี​

‘เหตุใด​เว่ยกง​ถึงยัง​ไม่ออกคำสั่ง​ให้​ไปช่วยกัน​นะ​…’ ยอด​ฝีมือ​ของ​จักรพรรดินี​บางส่วน​เริ่ม​รู้สึก​ร้อนใจ​ขึ้น​มาแล้ว​

ทว่า​เมื่อ​คำนึงถึง​สถานการณ์​โดยรวม​แล้ว​ หาก​ตอนนี้​กลับ​ไปช่วย​ที่​พระราชวัง​ ก็​เท่ากับ​ว่า​ต้อง​ละทิ้ง​กำแพงเมือง​ไป

ณ ห้อง​ลับ​ใต้ดิน​ที่​ซีหยวน​ จู่ๆ อา​สะใภ้ก็​รู้สึก​หวั่นใจ​กะทันหัน​ จึงเอ่ย​อย่าง​ตะกุกตะกัก​ว่า​

“ห​ลิง​เย​วี่ย​ แม่ไม่รู้​ว่า​เพราะเหตุใด​จู่ๆ ถึงรู้สึก​กลัว​ขึ้น​มา…”

นาง​พูด​ไปพลาง​มอง​บุตรสาว​ ก็​พบ​ว่า​สวี่ห​ลิง​เยวี่ย​มีสีหน้า​จริงจัง​ พยักหน้า​เบา​ๆ ส่วน​สายตา​ก็​จับจ้อง​ไปที่​ทิศตะวันออกเฉียงใต้​

ทันใดนั้น​เอง​พี่สาว​ผู้​แสน​ดี​อย่าง​มู่หนาน​จือ​ที่อยู่​ข้าง​กาย​ก็​หันไป​สบตา​กับ​สวี่​หมิง​เยวี่ย​ด้วย​

“เกิด​อะไร​ขึ้น​?” อา​สะใภ้เห็น​ดังนั้น​จึงรีบ​เอ่ย​ถาม

สวี่ห​ลิง​เยวี่ย​กระซิบ​ตอบ​

“มียอด​ฝีมือ​กำลัง​เข้ามา​เจ้าค่ะ​”

แต่​มีพลัง​ขั้นสูง​ระดับ​ไหน​นั้น​ นาง​ไม่แน่ใจ​ แต่​ที่​แน่ๆ​ ย่อม​เป็น​ผู้​ที่​สามารถ​เรียนรู้​แล้ว​บรรลุ​ได้​ด้วยตัวเอง​ เลย​น่าจะ​ยัง​ขาด​ประสบการณ์​และ​ความรู้​บางอย่าง​อยู่​

“เป็นยอด​ฝีมือ​ระดับ​เหนือ​มนุษย์​ มี…มีอยู่​สามคน​…”

มู่หนาน​จือ​กลืนน้ำลาย​ สุดท้าย​ก็​รู้สึก​กลัว​ขึ้น​มาอยู่​บ้าง​แล้ว​

แม้ว่า​นาง​จะเคย​ติดตาม​สวี่​ชีอัน​และ​ได้​ร่วม​ฝ่าอุปสรรค​มามากมาย​ ทว่า​ตอนนี้​บุรุษ​แซ่สวี่​ผู้​นั้น​ไม่ได้​อยู่​ด้วย​ ทั้ง​ยัง​ดูเหมือนว่า​ฝ่าย​ศัตรู​กำลัง​คืบคลาน​เข้ามา​ใกล้​อีก​ เทพ​ดอกไม้​ก็​สมควรจะ​รู้สึก​กลัว​ไม่ก็​ตื่นตระหนก​อยู่​บ้าง​

อา​สะใภ้กล่าว​เสียงสั่น​

“ชะ…ใช่สวี่​ผิง​เฟิงหรือไม่​?”

น้ำเสียง​ของ​นาง​สูงขึ้น​กว่า​ยาม​ปกติ​อยู่​หน่อย​ๆ

เมื่อ​เฉินไท่เฟย​ที่อยู่​อีก​ฝั่งหนึ่ง​ได้ยิน​ชื่อ​สวี่​ผิง​เฟิงสามคำ​นี้​ ก็​พลัน​หัน​ศีรษะ​มามอง​พร้อมกับ​สีหน้าที่​ซับซ้อน​

ทันใดนั้น​เอง​เหล่า​สตรี​ที่อยู่​ภายใน​ห้อง​ลับ​ใต้ดิน​แห่ง​นี้​ก็​เกิด​ความวุ่นวาย​ขึ้น​ บางคน​ถึงกับ​กล้า​ร้องไห้​เสียงดัง​ ‘ฮือ​ๆๆ’ ออกมา​

บางคน​ก็​กล้า​ถึงขั้น​ตะโกน​เสียงดัง​หมาย​ต้องการ​ให้​ทหาร​รักษา​วัง​คุ้มครอง​พวก​นาง​พา​หลบหนี​ออกจาก​พระราชวัง​ จังหวะ​นั้น​เอง​ก็​พลัน​เกิด​ความโกลาหล​ขึ้น​มา

ไม่ได้​มีแค่​อา​สะใภ้ที่​จู่ๆ รู้สึก​หวาดกลัว​ขึ้น​มาอย่าง​กะทันหัน​ พวก​นาง​เอง​ก็​รู้สึก​เช่นเดียวกัน​เมื่อ​สัมผัส​ถึงความ​น่าเกรงขาม​ของ​ยอด​ฝีมือ​ระดับ​เหนือ​มนุษย์​เหล่านั้น​ได้​ แต่ละคน​ต่าง​ก็​ตก​อยู่​ใน​อาการ​หวาดหวั่น​และ​เกรงกลัว​ทั้งสิ้น​

ตอนนั้น​เอง​ไทเฮา​ก็​สูด​ลม​หายใจเข้า​ลึก​ ก่อน​จะเอ่ย​ตำหนิ​ว่า​

“เงียบ​ซะ! โหวกเหวก​โวยวาย​เยี่ยง​นี้​ มัน​น่าอับอาย​!”

เสียง​เอะอะโวยวาย​ถึงหยุด​ลง​ชั่วขณะ​

ที่​แห่ง​นี้​นอกจาก​จะมีเหล่า​นางสนม​จาก​วังหลัง​อยู่​ด้วย​แล้ว​ ก็​ยังมี​สตรี​ที่​เป็น​ญาติ​บุตรหลาน​ของ​ขุนนาง​บุ๋น​และ​แม่ทัพ​บู๊​อีกด้วย​ ซึ่งเป็น​ฮว๋าย​ชิ่งที่​ให้​พวก​นาง​มารวม​อยู่​ด้วยกัน​ใน​พระราชวัง​ โดย​บอ​กว่า​เป็น​การป้องกัน​ แต่​แท้จริง​แล้ว​คือ​ตัวประกัน​ต่างหาก​

ถึงแม้ไทเฮา​จะไม่ชื่นชอบ​บุตรธิดา​อย่าง​ฮว๋าย​ชิ่ง แต่​ใน​เมื่อ​นาง​นำ​สตรี​เหล่านี้​มาอยู่​ร่วมกับ​ตน​ และ​ด้วย​ฐานะ​ผู้ปกครอง​แห่ง​วังหลัง​ของ​ตัวเอง​ ก็​ต้อง​จัดการ​ดูแล​พวก​นาง​

ไทเฮา​พูด​ต่อ​ “ฝ่าบาท​ยังอยู่​ที่​ข้างบน​ ใน​เมื่อ​พระองค์​ไม่ได้​เตรียมการ​ให้​พวกเรา​อพยพ​ ดังนั้น​ก็​ย่อม​ต้อง​อาศัย​อยู่​ที่นี่​ อย่า​ตื่นตกใจ​ไปเลย​”

จากนั้น​สวี่ห​ลิง​เยวี่ย​ก็​พูด​ขึ้น​มาทันใด​

“พะ​…พี่ใหญ่​ของ​ข้า​ไม่มีทาง​ทิ้ง​ข้า​กับ​ท่าน​แม่หรอก​”

เหมือนว่า​คำพูด​ของ​นาง​จะปลอบใจ​ได้​ดีกว่า​ของ​ไทเฮา​ เพราะ​เหล่า​นางสนม​และ​สตรี​สูงศักดิ์​ก็​สงบใจ​ลง​ได้​ในที่สุด​ พวก​นาง​แอบ​เช็ด​น้ำตา​อย่าง​เงียบๆ​

หลังจาก​พวก​นาง​โวยวาย​ไปไม่กี่​ประโยค​ ก็​ไม่อยาก​หลบหนี​ออก​ไปแล้ว​

ไทเฮา​เหลือบมอง​สวี่ห​ลิง​เยวี่ย​อย่าง​ประหลาดใจ​เล็กน้อย​

ด้าน​สวี่ห​ลิง​เยวี่ย​ก็​มอง​กลับ​ไปด้วย​ท่าที​อ่อนโยน​ที่​สามารถ​ทำให้​คน​ประทับใจ​ได้​

จีเสวียน​ทำลาย​กองกำลัง​ทหาร​รักษา​วัง​ที่​รุมล้อม​เข้ามา​โจมตี​ด้วย​ดาบ​เดียว​ ระหว่าง​นั้น​เอง​ก็​ได้ยิน​เสียง​สวี่​ผิง​เฟิงเอ่ย​ว่า​

“ตำหนัก​กระดิ่งทอง​!”

เขา​อาศัย​ช่วง​จังหวะ​ที่​สวี่​ผิง​เฟิงกำลัง​ติดพัน​ต่อสู้​กับ​โค่ว​หยาง​โจว​ ก้าว​เข้าไป​ยัง​ชั้น​ต่างๆ​ ของ​กำแพง​วัง​โดย​ไม่สนใจ​ทหาร​รักษา​วัง​แต่อย่างใด​ ครั้น​ผ่าน​ทะลุ​ประตู​อู่​แล้ว​ ก็​มาถึงลาน​กว้าง​ที่อยู่​ด้านนอก​ของ​ตำหนัก​กระดิ่งทอง​

ใต้​มุมชายคา​ตำหนัก​กระดิ่งทอง​ที่อยู่​เบื้องหน้า​ บริเวณ​ทางเดิน​ลาย​มังกร​มีจักรพรรดินี​ที่​กำลัง​ยืน​โดย​สวม​ชุด​ฉลองพระองค์​ปัก​ลาย​มังกร​อยู่​

เมื่อ​เห็น​จักรพรรดินี​แห่ง​ยุค​ นัยน์ตา​ของ​จีเสวียน​ก็​ฉายแวว​ความเกลียดชัง​ขึ้น​มา เพราะ​สตรี​ชั่ว​ผู้​นี้​สมคบคิด​วางแผน​กับ​สวี่​ชีอัน​ ทำร้าย​จีหย่วน​ผู้​เป็น​น้องชาย​ของ​เขา​จน​ถึงแก่ชีวิต​

อีก​ทั้ง​เขา​ยัง​ต้อง​อับอาย​ขาย​ขี้หน้า​ก่อน​ตาย​อีก​

ส่วน​เว่ยเยวียน​ก็​เป็น​คน​ที่​กล้า​บังอาจ​โจมตี​อวิ๋น​โจว​และ​สังหาร​คนใน​เผ่า​ของ​เขา​ สิ่งนี้​จีเสวียน​รู้​มาจาก​สวี่​ผิง​เฟิง

ใน​ฐานะ​ ‘พระราชโอรส​ลำดับ​ที่​เจ็ด​’ เขา​ย่อม​ต้องการ​ล้างแค้น​เพื่อ​คนใน​เผ่า​อยู่แล้ว​ หาก​สังหาร​คนใน​ราชวงศ์​ต้าฟ่ง​ ไม่ว่า​จะชาย​หญิง​หรือ​แม้แต่​เด็ก​และ​คนชรา​จะต้อง​ถูก​ประหารชีวิต​ชั่วโคตร​เป็นแน่​

ทว่า​ใน​ใจเขา​ไม่ได้​อยาก​ล้างแค้น​ มีเพียงแค่​ความคับแค้นใจ​ที่​ค่าย​ถูก​ทำลาย​ โดน​คน​ชน​เผ่า​จากอ​วิ๋น​โจว​นั่น​เข่นฆ่า​ซ้ำแล้วซ้ำเล่า​ ถึงขั้น​ร่วม​สังหาร​ผู้​เป็น​บิดา​ของ​เขา​ร่วมกัน​ด้วยซ้ำ​

จีเสวียน​ไม่เพียงแต่​ไม่โกรธ​เท่านั้น​ แต่​ถึงขั้น​อยาก​จะตบมือ​หัวเราะ​ด้วยซ้ำ​

ผู้​เป็น​พ่อ​ยัง​มีชีวิต​อยู่​ แล้ว​ไฉน​ลูกชาย​ยัง​ออกมา​เสนอหน้า​อยู่​ได้​เล่า​?

ส่วน​สำหรับ​ราชครู​นั้น​ ตราบใดที่​เป็น​สายเลือด​ของ​ราชวงศ์​ ก็​ยัง​จะให้การ​สนับสนุน​อยู่​เช่นกัน​

จีเสวียน​กวาดสายตา​มอง​ยันต์​หยก​ส่งตัว​ที่อยู่​ใน​มือ​ของ​จักรพรรดินี​ ก็​แค่น​หัวเราะ​ว่า​

“ก็​ลอง​ใช้มัน​ดู​สิ”

จักรพรรดินี​ไม่แสดง​อารมณ์​ใดๆ​ นาง​มอง​อีก​ฝ่าย​ด้วย​สายตา​เย็นชา​ แล้ว​กล่าว​อย่าง​เยือกเย็น​ว่า​

“มิจำเป็น​!”

จีเสวียน​พยักหน้า​เอ่ย​

“เหล่า​ทหาร​ของ​ต้าฟ่ง​กำลัง​ต่อสู้​กัน​อยู่​ที่​ด้าน​นอกนั้น​ ใน​ฐานะ​ที่​เป็น​ผู้ปกครอง​ของ​ชาติ​ สมควร​แล้ว​หรือ​ที่​เอาแต่​หัวหด​หลบซ่อน​อยู่​ภายใน​วัง​?

“ข้า​จะพา​เจ้าไปดู​เหล่า​ทหาร​ต้าฟ่ง​ก็แล้วกัน​”

เขา​ต้องการ​จะสังหาร​จักรพรรดินี​ต่อหน้า​เหล่า​ทหาร​อารักขา​แห่ง​ต้าฟ่ง​

จากนั้น​จีเสวียน​ก็​ไม่ได้​พูด​พร่ำเพรื่อ​ไร้สาระ​อัน​ใด​อีก​ ผลักดัน​พลัง​ปราณ​ แล้ว​เข้า​ไปหา​ฮว๋าย​ชิ่งทันที​

ฮว๋าย​ชิ่งยังคง​นิ่ง​ไม่ขยับ​ นาง​เพียง​ยก​มือซ้าย​ที่​กำลัง​ถือ​เศษชิ้นส่วน​หนังสือ​ปฐพี​ นาง​ใช้มัน​แล้ว​ชี้ไปที่​ศีรษะ​ของ​จีเสวียน​

ใน​เวลา​ต่อมา​ ก็​มีเงาดำ​ตกลง​มาจาก​ท้องฟ้า​ หล่น​กระแทก​อย่าง​แรง​ต่อหน้า​จีเสวียน​และ​จักรพรรดินี​ การ​ตก​กระแทก​ครั้งนี้​ทำให้​ลาน​กว้าง​หน้า​ตำหนัก​กระดิ่งทอง​ถึงกับ​ต้อง​สั่นสะเทือน​ ทั้ง​หิน​และ​เศษฝุ่น​ต่าง​ก็​ปลิว​ว่อน​ไปทั่ว​อาณาบริเวณ​

ซึ่งก็​คือ​พระโพธิสัตว์​เจีย​หลัว​ซู่ที่​ได้​ร่วงหล่น​จาก​ฟากฟ้า​สู่พสุธา​ ยาม​นี้​เขา​กำลัง​พนมมือ​ โดยที่​ทั่ว​ร่าง​กำลัง​เปรอะเปื้อน​ไปด้วย​โลหิต​สีทอง​

จีเสวียน​เงยหน้า​มอง​ไปบน​ท้องฟ้า​

เห็น​อาวุธ​เวทมนตร์​ทองสัมฤทธิ์​แต่ละ​ชิ้น​พัง​เสียหาย​ และ​ยัง​พบ​ว่า​ ‘ม่าน​’ ที่​กั้น​ระหว่าง​โลก​ภายนอก​กับ​พระราชวัง​ได้​แตก​กระจาย​ไปแล้ว​

และ​ยัง​เห็น​สวี่​ชีอัน​ที่​ทั่ว​ตัว​ขาว​ประดุจ​นวล​หยก​กำลัง​ยืน​อยู่​กลางอากาศ​อีกด้วย​

อาวุธ​เวทมนตร์​ที่​ท่าน​โหราจารย์​รุ่น​ที่หนึ่ง​ได้​ทิ้ง​เอาไว้​ให้​ บัดนี้​ได้​ถูก​ทำลาย​ลง​อย่าง​โหดเหี้ยม​โดย​จอม​ยุทธ์​ขั้น​หนึ่ง​เสียแล้ว​

จาก​เมืองหลวง​สู่ภายใน​เมือง​ จาก​ภายใน​เมือง​สู่ด้าน​นอกเมือง​ ยอด​ฝีมือ​ที่​คอย​เฝ้าดู​ที่​แห่ง​นี้​ ไม่ว่า​จะเป็น​ฝ่าย​ต้าฟ่ง​หรือ​ฝ่าย​อวิ๋น​โจว​ต่าง​ก็​เห็น​อาวุธ​เวทมนตร์​ทองสัมฤทธิ์​พังทลาย​ลง​ทั้งสิ้น​

……………………………………………….

[1] ลูกธนู​ที่​สิ้นแรง​บิน​ เป็น​สำนวน​จีน​ที่​หมายถึง​พละกำลัง​ที่​เคย​แข็งแกร่ง​ ตอนนี้​ได้​มาถึงจุด​เสื่อมโทรม​แล้ว​

[2] แสงสะท้อน​ของ​อาทิตย์​อัสดง​อัน​ใกล้​สิ้นสุดลง​ สำนวน​นี้​เปรียบเปรย​ถึงสถานการณ์​ที่​เคย​ย่ำแย่​กลับ​ดีขึ้น​มา แต่​สุดท้าย​ทุกอย่าง​ก็​จบ​สิ้นสลาย​หาย​ไปหมด​

[3]จะยิง​ธนู​ใส่คน​ก็​ต้อง​ยิง​ที่​ม้าเสีย​ก่อน​ เป็น​สำนวน​ที่ว่า​ถึงวิธี​ใน​การ​รบ​ เปรียบกับ​การ​เอาชนะ​ข้าศึก​ได้​ต้อง​จับ​นายพล​หรือ​คนสำคัญ​ของ​ฝ่ายตรงข้าม​ให้ได้​ก่อน​

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท