ภายในเมือง
เวลานี้สวี่ผิงจื้อกำลังขี่ม้านำหน้าเหล่าทหารม้าสิบห้านาย และกองดาบเดินเท้าอีกห้าสิบนายออกลาดตระเวนบนท้องถนนอย่างไม่ได้รีบร้อนหรือเอื่อยเฉื่อยเกินไป
ด้านเหล่ากองดาบแต่ละคนต่างก็มีสีหน้าขึงขัง พวกเขาพกหน้าไม้ใส่หลัง ส่วนตรงเอวห้อยดาบคาดเอวเอาไว้
ยามนี้ในเมืองเกิดภาวะฉุกเฉิน ประชาชนจึงไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ส่วนผู้ที่ออกมาโดยไม่ได้รับอนุญาตจะโดนสังหารสถานเดียว สาเหตุที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้ประชาชนรู้สึกตื่นตกใจจนอาจเกิดความโกลาหลตามมา และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ข้าศึกลอบเข้ามาสร้างความวุ่นวายสับสนแก่ประชาชนอีกด้วย
หากจะบอกว่าเมืองหลวงไม่มีสายลับจากกบฏอวิ๋นโจว แม้แต่เด็กสามขวบยังไม่เชื่อด้วยซ้ำ
“หัวหน้า ท่านจะบอกว่าสามารถรักษาเมืองหลวงเอาไว้ได้หรือ? ท่านก็ได้ยินการเคลื่อนไหวนั่นแล้วนี่ เมืองทางใต้จวนจะเสียการป้องกันอยู่แล้วนะขอรับ”
ที่ด้านหลังฝั่งขวา มีทหารกองดาบหนุ่มคนหนึ่งขี่ม้าไล่ตามมา และกล่าวประโยคดังกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล
ทว่าตอนนั้นสวี่ผิงจื้อกำลังหนักอกหนักใจ จมดิ่งอยู่ภายในโลกของตัวเอง จึงไม่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย
“หัวหน้า?”
ทหารกองดาบหนุ่มคนนั้นจึงเอียงศีรษะ แล้วตะโกนเรียกเสียงดัง
สวี่ผิงจื่อถึงค่อยพลันได้สติ เอ่ยตอบด้วยขมวดคิ้วหน้ามุ่ย
“เพียงแค่ลาดตระเวนให้ดี ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เรื่องอื่นนอกเหนือของตนมีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปคิดมาก”
ทหารกองดาบหนุ่มคนนั้นฉีกยิ้ม
“ท่านจะบอกว่ามี ‘หลานชายของท่าน’ ให้การสนับสนุนอยู่ เลยรู้สึกอุ่นใจนิดๆ สินะขอรับ”
ปัจจุบันสวี่ผิงจื้อเป็นหัวหน้ากองพันแห่งกองทหารดาบ อีกทั้งด้วยอำนาจของระดับหัวหน้ากองพันนั้น ก็มากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นตำแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์ที่มีความสำคัญสูงยิ่ง
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับ ‘การสอนอบรม’ ที่แสนดีงามของเขา และในเมืองหลวงใครๆ ก็รู้กันดีว่า สวี่ผิงจื้อที่เป็นนายกองแห่งกองทหารดาบนั้นคือผู้สั่งสอนยอดวีรบุรุษอย่างฆ้องเงินสวี่ รวมถึงบัณฑิตขั้นสูงขั้นสองเช่นสวี่ซินเหนียนอีกด้วย
สำหรับคนแรกที่กล่าวถึงเป็นที่รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดให้มากความ
ทว่าคนที่กล่าวถึงต่อมานั้น เขามีความรู้ความสามารถสูงส่ง ไม่ว่าจะด้านบุ๋นที่เชี่ยวชาญอักษร หรือด้านบู๊ก็เก่งกาจระดับปกปักรักษาชาติไว้ได้ อีกทั้งเมื่อถึงยามออกรบก็ชนะศึกหลายต่อหลายครั้ง
ส่วนเรื่องที่สวี่ผิงจื้อปลูกฝังให้ฆ้องเงินสวี่ให้เป็นคนชื่นชอบในด้านการเรียนหนังสือไม่สำเร็จ จนปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีผู้ใดกล่าวโทษเขาว่าเป็นคนไม่เอาไหนสักคน
ถึงแม้จะปลูกฝังให้ฆ้องเงินสวี่ชอบในการเรียนหนังสือไม่ได้ แต่การที่ให้เขาฝึกฝนวรยุทธ์นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ผิดแน่นอน
ทหารกองดาบหนุ่มกระซิบถามกับอีกฝ่ายอย่างหยั่งเชิง
“หัวหน้า แต่ท่านรับปากไปแล้วนะ ตกลงฆ้องเงินสวี่จะปกป้องเมืองหลวงเอาไว้ได้จริงๆ หรือขอรับ?”
เมื่อเห็นว่าสวี่ผิงจื้อไม่ตอบ เขาก็กล่าววาจายั่วยุกับอีกฝ่าย
“ท่านทราบหรือไม่ว่าที่แนวกำลังป้องกันของเมืองหลวงไม่กี่วันมานี้ เหล่าพี่น้องทั้งหลายล้วนมองออกกันหมดว่ามีความเป็นไปได้เกินครึ่งที่ฝ่ายกบฏจะบุกเข้ามา อีกทั้งพวกเราทุกคนต่างก็พูดกันว่าฆ้องเงินสวี่ได้กลายเป็นดั่งลูกธนูที่สิ้นแรงบิน[1]แล้ว ส่วนชัยชนะครั้งใหญ่ที่ได้รับมาในศึกเมืองสวินโจวก็ประหนึ่งแสงสะท้อนของอาทิตย์อัสดงอันใกล้สิ้นสุดลง[2]
“บางทีเดิมทีอาจไม่ได้ชัยชนะเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นแค่การหลอกลวงประชาชนและสามัญชนอย่างพวกเราเท่านั้นเอง”
ตามปกติแล้ว สวี่ผิงจื้อจะโต้เถียงเพื่อปกป้องหลานชายของเขา ซึ่งการทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่งนัก
ทว่าตอนนี้ เขากลับนิ่งไม่พูดจา และลอบถอนหายใจอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
การที่พี่ชายคนโตของเขามาเยือนเมืองหลวง นี่ก็หมายความว่าวันนี้จะเป็นจุดจบของสองพ่อลูก
แต่อารองสวี่และอาสะใภ้นั้นไม่เหมือนกัน ด้านอาสะใภ้คงจะยืนหยัดเคียงข้างหลานชายผู้เคราะห์ร้ายคนนี้เป็นแน่ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นเด็กที่ตัวเองเลี้ยงดูมา
ทว่าสวี่ผิงเฟิงก็เป็นพี่ชายแท้ๆ ของอารองสวี่ แม้ว่าตอนนี้สองพี่น้องจะกลายเป็นคนแปลกหน้าไปแล้วก็ตาม แต่ในเมื่อเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงปัจจุบัน เมื่อคิดไปถึงขั้นว่าระหว่างหลานชายกับพี่ชายคนโตใครจะเป็นผู้รอดชีวิต ก็รู้สึกว่ามันเป็นการเข่นฆ่าในหมู่ญาติพี่น้องกันเองชัดๆ ทันใดนั้นเองความเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะซ่อนเร้นของสวี่ผิงจื้อก็ปะทุขึ้นมา
…
ภายในค่ายทหารใจกลางเมือง บัดนี้เว่ยเยวียนกำลังยืนอยู่หน้าแผนที่เมืองหลวง ทว่าสายตากลับมิได้สนใจแผนที่ แต่กำลังมองไปยังกระจกสำริดที่อยู่ในมือ
กระจกบานนี้มีรูปร่างดั่งเสี้ยวดวงจันทร์ มันยังไม่สมบูรณ์
ภายในกระจกกำลังสะท้อนภาพฉากสนามรบ ของวิเศษนี้เรียกว่า ‘กระจกเทพฮุ่นเทียน’ เป็นสิ่งที่สวี่ซินเหนียนมอบให้เขาไว้ ซึ่งช่วยเขาในการวางแผนการรบ และสอดส่องสถานการณ์ตามเวลาจริง
เนื่องจากตอนนี้เว่ยเยวียนกำลังอยู่ในร่างมนุษย์ จึงไม่สามารถเข้าร่วมแนวกำลังป้องกันเมืองได้
ในประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ฝั่งทิศเหนือถูกคนจากสำนักอวิ๋นลู่อย่างจางเซิ่น หลี่มู่ไป๋ สวี่ซินเหนียนและคนอื่นๆ ปกปักรักษาอยู่ ซึ่งรับมือกับหยางชวนหนานที่เป็นอดีตผู้บัญชาการแห่งอวิ๋นโจว
เว่ยเยวียนจำได้ว่า คนคนนี้มาจากตระกูลที่เป็นผู้นำทางการทหาร และเห็นได้ชัดว่าเป็นสมาชิกพรรคหวาง อีกทั้งยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการแห่งอวิ๋นโจวในวัยเพียงสามสิบต้นๆ เขาไม่ค่อยได้ติดต่อกับคนนี้มากนัก แต่เว่ยเยวียนก็จำหยางจ้าวผู้เป็นบิดาของหยางชวนหนานได้
และคนคนนี้เก่งกาจในด้านจัดการกองทัพและปิดล้อมโจมตีเมืองเป็นอย่างยิ่ง
ตระกูลหยางมีตำราอยู่เล่มหนึ่งชื่อว่า ‘สิบสองกลยุทธ์บุกตีเมือง’ ซึ่งเริ่มเขียนมาตั้งแต่รุ่นปู่ของหยางจ้าว และสืบทอดมาแล้วสามรุ่น จนได้มาอยู่ในมือหยางจ้าวถึงค่อยเขียนจบสมบูรณ์โดยแท้จริง
ว่ากันว่าตำรานี้ได้รวบรวมกลยุทธ์ในการปิดล้อมโจมตีเมืองเอาไว้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แบ่งออกเป็นสิบสองกลยุทธ์ หากได้นำตำรานี้ไปเผยแพร่สาธารณะ เท่านี้ก็เพียงพอต่อการทิ้งร่องรอยประวัติศาสตร์ด้านการรบแก่ตระกูลหยางแล้ว
ทว่าตำราเล่มนี้ก็ถูกกำหนดให้เป็น ‘ความรู้ประจำตระกูล’ ตั้งแต่ต้น จึงไม่อาจส่งมอบให้คนนอกได้
“ได้มาเห็นวันนี้ ก็สมตามที่ร่ำลือกันมาจริงๆ”
ครั้นเว่ยเยวียนมองไปที่รอยร้าวตามกำแพงทิศเหนือ ก็พบว่ามันไม่เหมาะที่จะป้องกันอีกต่อไปแล้ว จนผ่านไปหนึ่งก้านธูป จางเซิ่นและคนอื่นๆ ก็ล่าถอย ออกไปต่อสู้บนท้องถนนเช่นเดียวกับประตูทิศใต้แทน
ส่วนด้านประตูทิศตะวันตกก็จะเป็นเหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นที่นำทัพปกป้องเมืองหลวง ซึ่งร่วมกับนักรบจากเผ่าพันธุ์กู่ที่เหลืออยู่คอยรับผิดชอบรักษาความสงบ สถานการณ์การรบของที่นี่จึงมีความมั่นคงมากที่สุด เนื่องจากเผ่าซือกู่ดึงกองทัพศพที่ไม่กลัวตายขึ้นมา และผสานกับวิชาลอบสังหารที่แสนลึกลับของเผ่าอั้นกู่ จนสามารถทยอยเอาชนะกองกำลังของอวิ๋นโจวได้
ฉะนั้นด้านประตูทิศตะวันตก เว่ยเยวียนจึงทำแค่สนับสนุนกระสุนปืนใหญ่และท่อนซุงให้เพียงพอเท่านั้น
ส่วนประตูทิศตะวันออกก็ถูกปกป้องโดยเหล่าเจ้าพนักงานฆ้องทองคำของเมืองหลวงทั้งสิบสองคน รวมถึงทหารรักษาวังหน่วยที่ห้าของหน่วยกองทัพร้อยศึก
สถานการณ์การรบของที่นี่น่าเวทนาที่สุดแล้ว เนื่องจากต้องเผชิญกับทหารชุดเกราะหนาของกองทัพเต่าดำเซวี่ยนหวู่ พวกทหารนี้คงติดอาวุธไปถึงส่วนฟันด้วยซ้ำกระมัง เพราะไม่ว่าจะปืนไฟหรือลูกธนูก็ไม่อาจสร้างความเสียหายได้เลย
อีกฝ่ายอาศัยอาวุธเวทมนตร์อย่างชุดเกราะหนาหลายชั้นและดาบง้าว ซึ่งเป็นอาวุธที่ล้ำเลิศในล้ำเลิศ กระทั่งทหารรักษาวังแห่งเมืองหลวงก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาด้วยซ้ำ
กอปรกับทหารระดับพลังสี่ถึงห้าของฝ่ายอวิ๋นโจวที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานนั่นอีก
โชคดีที่ว่ายอดฝีมือระดับสี่มีไม่มากนัก กำแพงเมืองจึงยังถูกรักษาเอาไว้และยืนหยัดต่อไปได้
ยามนี้เมืองทางใต้มีการป้องกันที่อ่อนแอมากที่สุด ในสถานการณ์นี้เว่ยเยวียนก็จงใจทำท่าทีใจดีมีเมตตา ทั้งที่เสียการป้องกันไปแล้ว
เว่ยเยวียนได้ฝังทุ่นระเบิดไว้ที่เมืองทางใต้จำนวนมาก ทั้งยังมีเหล่าทหารสองพันนายซึ่งซ่อนตัวอยู่ในบ้านเรือนต่างๆ และปืนใหญ่สิบหกกระบอกที่เพิ่มไว้ตามบนท้องถนนสายหลัก ในบริเวณดังกล่าวไม่มีประชาชนหลงเหลืออยู่นานแล้ว
เมื่อใดที่ทหารของอวิ๋นโจวบุกเข้ามา ทหารจากฝ่ายต้าฟ่งก็จะทำการปิดประตูตีแมว และมอบความเจ็บปวดให้อย่างสาสม
ทว่าชีก่วงป๋อบัญชาการกองทัพด้วยความสุขุมมั่นใจเสมอ เขาส่งกองกำลังส่วนหนึ่งที่มิได้มากหรือน้อยเกินไปเข้าบุกทลายเมืองทางใต้ ระหว่างที่ทหารอารักขากำลังต่อสู้อย่างดุเดือดนั้น เขาก็ตรวจตราสภาพท้องถนนไปด้วย
เนื่องด้วยถนนของเมืองหลวงมีความสลับซับซ้อน หากไม่สำรวจสภาพท้องถนนให้ดีแล้วพรวดพราดบุกเข้าไปโดยประมาท ก็คงถูกทหารฝ่ายต้าฟ่งที่ได้เปรียบด้านภูมิประเทศจัดการอย่างง่ายดาย
“พ่อรูปหล่อนี่ไม่เลวเลย”
เว่ยเยวียนสั่งการอย่างใจเย็นและปรับกำลังพลตามสถานการณ์ พลางสังเกตภาพฉากในกระจกเทพฮุ่นเทียนไปด้วย
“จงสะท้อนภาพของโค่วหยางโจว!”
เว่ยเยวียนกล่าวเสียงเข้ม
จากนั้นกระจกเทพฮุ่นเทียนก็พร่ำบ่น พร้อมกับฉายภาพสะท้อนสถานการณ์ของโค่วหยางโจว
ส่วนสาเหตุที่มันไม่สะท้อนภาพของสวี่ผิงเฟิงนั้น ก็เป็นเพราะว่ามันเกินขอบเขตความสามารถของกระจกเทพฮุ่นเทียน และอาจประสบเจอการสะท้อนกลับได้
ทว่าโค่วหยางโจวเป็นฝ่ายพันธมิตร จึงไม่อาจปฏิเสธการสะท้อนภาพของเว่ยเยวียนได้
เว่ยเยวียนกวาดสายตามอง ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ เนื่องจากไม่พบว่าพฤติกรรมของโค่วหยางโจวและสวี่ผิงเฟิงมีปัญหาอันใด อันที่จริง สองคนนี้ต่างก็เป็นยอดฝีมือ ครั้นเจอปัญหาก็ย่อมพลิกแพลงตามสถานการณ์ ช่างเยี่ยมยอดเสียจริง
เพียงแต่ก็ยังยากที่จะหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับทหารหรือแนวทางการรบอื่นๆ ซึ่งเป็นรูปแบบตายตัวอยู่แล้ว ดังนั้นเลยไม่น่าแปลกใจนัก
ก็ประหนึ่งว่ามีเพียงวิธีการที่ทำซ้ำไปมาของจอมยุทธ์อย่างสวี่ชีอัน จะสามารถเอาชนะทหารและแนวการรบอื่นๆ ได้ ฉะนั้นตอนนี้จึงไม่มีใครสามารถจัดการกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้
ทว่าเว่ยเยวียนสังเกตได้ถึงสิ่งหนึ่ง สองคนนั้นยิ่งบุกโจมตีมากเท่าไรก็ยิ่งเข้าไปลึกเท่านั้น ซึ่งตอนนี้พวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังทิศของพระราชวัง
“จงสะท้อนภาพของจีเสวียน!”
ทันทีที่เว่ยเยวียนออกคำสั่ง มุมมองของกระจกเทพฮุ่นเทียนก็เปลี่ยนไปในบัดดล
จากนั้นร่างเงาสีดำก็ปรากฏขึ้นกลางภาพฉาก เขามีสภาพผมยุ่งกระเซิง ร่างสวมชุดเกราะแตกหัก โดยเผยครึ่งท่อนบนที่ดูกำยำ เลยดูเหมือนเทพีแห่งสงครามที่มีนิสัยดื้อรั้นและขาดการยับยั้งชั่งใจแทน
เขาพลันกำมือที่ถือยันต์หยกแน่น จากนั้นแสงสว่างหนึ่งก็ลอยออกมาก่อนจะหายลับสายตาไป
เวลานี้บนกลางอากาศได้มีผู้สวมชุดขาวคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น ซุนเสวียนจีมองซ้ายมองขวาไปสักพักหนึ่ง จู่ๆ ก็หันกลับมากะทันหัน ก่อนจะมองไปทางทิศที่ตั้งของพระราชวัง
“ตั้งใจจะอยู่ที่พระราชวังใช่หรือไม่เล่า”
เว่ยเยวียนเลิกคิ้ว
…
ด้านทิศของพระราชวัง
ทันใดนั้นเองสวี่ผิงเฟิงก็เหาะเหินออกมาจากแท่นสี่เหลี่ยมเล็กๆ ด้วยเพียงแรงผลักแผ่วเบา ทว่ายามที่เหาะออกมาจากแท่นสี่เหลี่ยมนั่น ก็เข้าไปเจอกับค่ายกลส่งตัวอย่างพอดิบพอดี
ชั่วพริบตาต่อมา ภายในพระราชวังก็พลันเกิดเสียงตูมขึ้นมา กลายเป็นแท่นที่สูงถึงเจ็ดฉื่อ แท่นสูงนี้มีความยาวและกว้างราวๆ หนึ่งจั้ง
แท่นสูงส่องประกายแสงทันใด ก่อนจะปรากฏเงาร่างจีเสวียนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิง
จากนั้นเขาก็ส่งยันต์หยกออกไปยังพระราชวังด้วยความช่วยเหลือจากแท่นเคลื่อนย้ายของสวี่ผิงเฟิง
ขณะเดียวกันนั้น ชิ้นส่วนอาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในถุงปักดิ้นตรงเอวของเขาก็ลอยออกมาอย่างต่อเนื่อง
อาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์แต่ละชิ้นนั้นประกอบกันเองบนกลางอากาศ และก่อกลายเป็นแผ่นโลหะทรงกลมขนาดยักษ์ขึ้นมา
จิตดาบของโค่วหยางโจวเฉือนตัดอาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเกิดแสงวูบวาบ แต่กลับไม่สามารถทำลายอาวุธเวทมนตร์ของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าได้เลย
ระหว่างขั้นตอนนี้ สวี่ผิงเฟิงสำแดงวิชาเคลื่อนย้าย ค่ายกลป้องกัน และค่ายกลอื่นๆ เพื่อสกัดกั้นการโจมตีอันแสนรุนแรงของโค่วหยางโจว ซึ่งการผสานประกอบกันของอาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์มิได้ยาวนาน หลังผ่านไปเพียงสี่ถึงห้าอึดใจ ก็ประกอบกันเสร็จแล้ว
ครั้นสวี่ผิงเฟิงยกเท้าขึ้น แผ่นอาวุธเวทมนตร์ทรงกลมก็กระจัดกระจายออกไปกลายเป็นเขตแดน ทำให้พระราชวังไปอยู่อีกโลกใบหนึ่งที่ถูกตัดขาด
นี่คือแผนการล่วงหน้าที่ถูกวางมาไว้อย่างดี เมื่อคำนึงถึงการมีอยู่ของยันต์หยกส่งตัว ก็จะพบว่าด้านสวี่ผิงเฟิงคอยเฝ้าดูชะตากรรมของพระราชวังมาโดยตลอด และต้องการตำแหน่งจักรพรรดินี
ด้วยสถานะของเขา เดิมทีวิชาลมปราณทั่วไปเช่นนี้ ย่อมไม่เข้าตาของเขาอยู่แล้ว เว้นเสียแต่ว่าเป็นอาวุธเวทมนตร์ของท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งทิ้งไว้ให้ หรือไม่ก็เป็นวิชาดวงดาราผันเปลี่ยนของเผ่าเทียนกู่ระดับเขตแดนเหนือมนุษย์
…
“ถอยออกไปร้อยจั้ง!”
จางเซิ่นโบกมือใหญ่ของตน เขาเพิ่งจะพุ่งขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้ เหล่าทหารสิบกว่าคนที่พุ่งเข้ามาพร้อมถือดาบง้าวในมือหมายจะเปิดฉากสังหาร จู่ๆ ก็หายตัวไปอย่างกะทันหัน
“กลับไป!”
ยามหลี่มู่ไป๋สะบัดแขนเสื้อ ลูกศรและปืนใหญ่ที่ยิงโจมตีมาก็ถูกตีกลับไป
เมื่อเปรียบเทียบกับประตูเมืองทิศอื่นๆ แล้ว ประตูทิศเหนือที่ถูกปกป้องโดยปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่ซึ่งนั่งบัญชาการด้วยตันเองนั้นมั่นคงที่สุด และรักษากำแพงเมืองไว้ได้คงสมบูรณ์ที่สุด
เนื่องด้วยเหล่าปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้ร่วมมือกับทหารอารักขาพลังขั้นสี่ จึงปกป้องประตูเมืองทิศเหนือเอาไว้ได้เป็นอย่างดี
และเพราะมีการใช้ ‘ลั่นประกาศิต’ ที่มากเกินไป ชั้นแสงเบาบางที่ห่อหุ้มร่างของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สองคนก็ลดน้อยลงจนแทบจะไม่หลงเหลืออยู่
พละกำลังทางกายและจิตใจจึงแห้งเหือดจวนใกล้ขีดจำกัดแล้ว ถ้ายังดื้อรั้นฝืนต่อไป ก็จะไร้ซึ่งการคุ้มครองจากร่างแห่งปราณเที่ยงธรรม ทำให้วิชาที่ใช้นั้นจะย้อนกลับและส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยตรง
‘ฟิ้ว…’
ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหวีดแหลมทะลุผ่านอากาศไป ลูกศรอันน่าเกรงขามเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเย็นยะเยือก ได้พุ่งเข้ามายังกลางอกของจางเซิ่น
หัวใจของจางเซิ่นเริ่มเหนื่อยล้าอ่อนแรงมาทันใด เวลานั้นเอง ที่ข้างหูเขาก็ได้ยินเสียงของสวี่เอ้อร์หลางเอ่ยตามจังหวะอย่างเย็นชาว่า
“เคลื่อนไปทางซ้ายสามฉื่อ!”
ด้วยวาจาที่ชวนให้รู้สึกฮึกเหิมและวิชาที่รุนแรงประหนึ่งกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก ลูกศรนั้นก็เคลื่อนไปทางซ้ายสามฉื่อทันที มันเฉียดผ่านแขนของจางเซิ่นจนเป็นแผลถลอก ก่อนที่จะไปปักบนกำแพงด้านหลังแล้วเกิดระเบิดขึ้นเป็นหลุมลึก พร้อมกับเศษหินที่ร่วงหล่นลงมา
สวี่เอ้อร์หลางเขย่าขี้เถ้าภายในมือ เสมือนยกภูเขาออกจากอก
หลังจากศึกสงครามที่เมืองสวินโจว เขาก็เลื่อนขั้นได้สำเร็จ ตอนนี้เลยเข้าสู่ระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหกแล้ว ซึ่งระดับกำเนิดปราชญ์นี้สามารถหยิบยืมทักษะของคนอื่นได้ สิ่งใดที่เห็นก็สามารถใช้ปลายปากกาจดใส่บนกระดาษนำมาใช้ได้ทั้งสิ้น
ช่างเป็นพลังต่อสู้ที่แสนวิเศษจริงๆ
ด้วยอายุเช่นนี้ของสวี่เอ้อร์หลาง นี่ก็นับว่าเป็นพรสวรรค์อย่างยิ่งแล้ว
ตอนนี้ในตระกูลสวี่ จึงมีเพียงพี่ใหญ่จอมเจ้าเล่ห์ที่สามารถจัดการเขาได้ ส่วนสวี่ผิงจื้อผู้เป็นบิดา ปัจจุบันนี้ก็เป็นจอมยุทธ์ระดับหลอมวิญญาณขั้นเจ็ด
เมื่อครู่นี้เขาได้คอยจดบันทึกวิชาของจางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋เอาไว้ตลอด แม้สำเร็จไปเพียงหนึ่งครั้ง ถึงกระนั้นเขาที่เพิ่งจะได้รับวิชาจากคนอื่นมาอย่างไม่ต้องแลกเปลี่ยนอะไร แต่กลับต้องมาใช้กับร่างเจ้าของวิชานี่สิ
เนื่องจากระดับพลังของสวี่เอ้อร์หลางอยู่ในขั้นต่ำ ผลของวิชาจดบันทึกเลยไม่ดีเท่าดั่งต้นฉบับ ดังนั้นตอนที่โจมตีจึงต้องให้เลยจากเป้าหมายไปสามฉื่อ
สวี่เอ้อร์หลางมองออกไปที่ด้านนอกกำแพงแล้วเหลือบมองสังเกตปราดหนึ่ง คนที่ยิงลูกศรก่อนหน้านี้คือหยางชวนหนานที่เป็นอดีตผู้บัญชาการแห่งอวิ๋นโจว
อดีตผู้บัญชาการแห่งอวิ๋นโจวผู้นี้ เมื่อครั้งยามศึกสงครามเมืองชิงโจว เขาได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในด้านการบัญชาการกองทัพที่ไม่ธรรมดา ดูเชี่ยวชาญด้านการรบและบุกโจมตีทลายเมืองเป็นอย่างยิ่ง
‘ไอ้สุนัขรับใช้…’ สวี่ซินเหนียนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า
“ท่านอาจารย์ ท่านมู่ไป๋ พวกท่านพักผ่อนสักหน่อยก่อนเถิด ส่วนที่นี่ปล่อยให้พวกทหารรักษาวังจัดการต่อ”
หากให้เปรียบเทียบเรื่องพละกำลังทางกายเขาไม่อาจสู้พวกจอมยุทธ์ได้ ทว่าตอนนี้ เหล่าจอมยุทธ์ก็ยังมีชีวิตและกระปรี้กระเปร่าอยู่ ถึงขั้นยังสามารถวิ่งขึ้นลงไปกลับในเมืองได้อย่างสบาย
จางเซิ่นและหลี่มู่ไป๋เพิ่งจะผงกศีรษะได้ไม่นาน ก็พลันสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จึงรีบมองออกไปยังทิศที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังทันที ที่แห่งนั้นมีชิ้นส่วนบางสิ่งที่เป็นขนาดใหญ่ และแผ่นทรงกลมที่แผ่กลิ่นอายอันน่าเกรงขามกำลังกระจัดกระจายปกคลุมทั่วทั้งพระราชวัง
ด้านยอดฝีมือผู้มีพลังระดับสี่ถึงห้าที่อยู่บริเวณนั้น ก็รู้สึกได้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ออกมาจากอาวุธเวทมนตร์ของปรมาจารย์ลิขิตฟ้าด้วยเช่นกัน
ถึงพวกเขาจะไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่ต่างก็สัมผัสถึงสิ่งผิดปกติได้จากทางด้านพระราชวัง
“ฝ่าบาท…”
สวี่ซินเหนียนสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด
ส่วนด้านหยางชวนหนานกลับโล่งใจเสมือนยกภูเขาออกจากอก มุมปากค่อยๆ ยกขึ้น ในเมื่อมาบุกโจมตีถึงเมืองหลวงแล้ว ศีรษะของจักรพรรดิต้าฟ่งก็ต้องถูกเก็บใส่ถุงผ้าสิ เช่นนั้นถึงจะค่อยคุ้มค่าหน่อย
เมื่อตัดศีรษะจักรพรรดินีได้แล้ว จิตใจของทหารต้าฟ่งจะยังคงแน่วแน่มั่งคงได้อยู่หรือ? เหล่าขุนนางยังจะใจเย็นนิ่งเฉยได้อยู่หรือไม่? แล้วประชาชนยังจะสามารถระงับความหวาดกลัวในใจได้หรือเปล่า?
ดังสำนวนที่ว่าจะยิงธนูใส่คนก็ต้องยิงที่ม้าเสียก่อน[3] หรือที่ว่ากันว่าจับโจรเอาหัวโจก นี่เป็นหลักการที่ไม่อาจทำลายได้มาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน
…
‘เกิดอะไรขึ้น…’ ฉู่หยวนเจิ่นควบคุมลมให้ขึ้นที่สูงก่อนจะมุ่งสู่ท้องนภา
ไต้ซือเหิงหย่วนผู้มีร่างทองอันสว่างไสวพลันกระโดดขึ้นเหยียบกระบี่บิน ในระหว่างนี้เอง ฉู่หยวนเจิ่นก็สกัดกั้นปืนใหญ่แทนอีกฝ่าย
“นี่มันอาวุธเวทมนตร์อะไรกัน?”
ไต้ซือเหิงหย่วนมองไกลออกไปด้วยสีหน้าขึงขัง ก็เห็นแท่นทองสัมฤทธิ์ทรงกลมกำลังปกคลุมพระราชวังอยู่
ช่วงที่เกิดสงครามเมืองสวินโจว เหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินมีหน้าที่ล่าเต๋ามารแห่งนิกายปฐพี ดังนั้นพวกเขาเลยไม่เคยเห็นอาวุธเวทมนตร์เช่นนี้มาก่อน
“ฝ่าบาทกำลังมีภัยอันตราย”
ฉู่หยวนเจิ่นสีหน้าเคร่งเครียดโดยพลัน เขารู้ดีว่าด้านฮว๋ายชิ่งน่าจะมีวิธีการป้องกันอยู่ แต่สัญชาตญาณก็บอกเขาว่าฮว๋ายชิ่งกำลังเป็นอันตราย
ตอนนั้นเองก่อนที่กองกำลังอวิ๋นโจวจะบุกโจมตี ชีก่วงป๋อก็สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วกล่าวเสียงดังว่า
“โจมตี!”
ด้านหลังของเขามีทหารม้าห้าพันนาย ซึ่งเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งมีคุณภาพกองสุดท้ายแล้ว
บัดนี้ภายในเสียงตีกลองที่ดังกระหึ่มก็มีเสียงกู่ร้องอันทรงพลังแทรกออกมาด้วย
ในเสี้ยววินาทีที่แท่นทองสัมฤทธิ์ทรงกลมปรากฏออกมา เหล่าผู้บำเพ็ญระดับสูงในเมืองหลวง ก็แทบจะทุกคนที่สัมผัสถึงการมีอยู่มันได้
ปกติแล้วของวิเศษระดับสูงเช่นนี้ ทุกๆ ชิ้นย่อมมีลักษณะพิเศษของตัวมันเองทั้งนั้น จึงไม่มีทางที่จะมีดูธรรมดาเรียบง่าย
จางเซิ่น หลี่มู่ไป๋ ฉู่หยวนเจิ่น รวมถึงฆ้องทองคำและยอดฝีมือในหมู่ทหารรักษาวังคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกหวั่นใจทั้งสิ้น
เมื่อแท่นทองสัมฤทธิ์ทรงกลมปรากฏขึ้นที่ทางด้านพระราชวัง ไม่ว่าแท่นทรงกลมนี้จะเป็นมิตรหรือศัตรู พระราชวังย่อมถูกโจมตีอยู่ดี
‘เหตุใดเว่ยกงถึงยังไม่ออกคำสั่งให้ไปช่วยกันนะ…’ ยอดฝีมือของจักรพรรดินีบางส่วนเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว
ทว่าเมื่อคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวมแล้ว หากตอนนี้กลับไปช่วยที่พระราชวัง ก็เท่ากับว่าต้องละทิ้งกำแพงเมืองไป
…
ณ ห้องลับใต้ดินที่ซีหยวน จู่ๆ อาสะใภ้ก็รู้สึกหวั่นใจกะทันหัน จึงเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า
“หลิงเยวี่ย แม่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจู่ๆ ถึงรู้สึกกลัวขึ้นมา…”
นางพูดไปพลางมองบุตรสาว ก็พบว่าสวี่หลิงเยวี่ยมีสีหน้าจริงจัง พยักหน้าเบาๆ ส่วนสายตาก็จับจ้องไปที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้
ทันใดนั้นเองพี่สาวผู้แสนดีอย่างมู่หนานจือที่อยู่ข้างกายก็หันไปสบตากับสวี่หมิงเยวี่ยด้วย
“เกิดอะไรขึ้น?” อาสะใภ้เห็นดังนั้นจึงรีบเอ่ยถาม
สวี่หลิงเยวี่ยกระซิบตอบ
“มียอดฝีมือกำลังเข้ามาเจ้าค่ะ”
แต่มีพลังขั้นสูงระดับไหนนั้น นางไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ย่อมเป็นผู้ที่สามารถเรียนรู้แล้วบรรลุได้ด้วยตัวเอง เลยน่าจะยังขาดประสบการณ์และความรู้บางอย่างอยู่
“เป็นยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์ มี…มีอยู่สามคน…”
มู่หนานจือกลืนน้ำลาย สุดท้ายก็รู้สึกกลัวขึ้นมาอยู่บ้างแล้ว
แม้ว่านางจะเคยติดตามสวี่ชีอันและได้ร่วมฝ่าอุปสรรคมามากมาย ทว่าตอนนี้บุรุษแซ่สวี่ผู้นั้นไม่ได้อยู่ด้วย ทั้งยังดูเหมือนว่าฝ่ายศัตรูกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้อีก เทพดอกไม้ก็สมควรจะรู้สึกกลัวไม่ก็ตื่นตระหนกอยู่บ้าง
อาสะใภ้กล่าวเสียงสั่น
“ชะ…ใช่สวี่ผิงเฟิงหรือไม่?”
น้ำเสียงของนางสูงขึ้นกว่ายามปกติอยู่หน่อยๆ
เมื่อเฉินไท่เฟยที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งได้ยินชื่อสวี่ผิงเฟิงสามคำนี้ ก็พลันหันศีรษะมามองพร้อมกับสีหน้าที่ซับซ้อน
ทันใดนั้นเองเหล่าสตรีที่อยู่ภายในห้องลับใต้ดินแห่งนี้ก็เกิดความวุ่นวายขึ้น บางคนถึงกับกล้าร้องไห้เสียงดัง ‘ฮือๆๆ’ ออกมา
บางคนก็กล้าถึงขั้นตะโกนเสียงดังหมายต้องการให้ทหารรักษาวังคุ้มครองพวกนางพาหลบหนีออกจากพระราชวัง จังหวะนั้นเองก็พลันเกิดความโกลาหลขึ้นมา
ไม่ได้มีแค่อาสะใภ้ที่จู่ๆ รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกนางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อสัมผัสถึงความน่าเกรงขามของยอดฝีมือระดับเหนือมนุษย์เหล่านั้นได้ แต่ละคนต่างก็ตกอยู่ในอาการหวาดหวั่นและเกรงกลัวทั้งสิ้น
ตอนนั้นเองไทเฮาก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเอ่ยตำหนิว่า
“เงียบซะ! โหวกเหวกโวยวายเยี่ยงนี้ มันน่าอับอาย!”
เสียงเอะอะโวยวายถึงหยุดลงชั่วขณะ
ที่แห่งนี้นอกจากจะมีเหล่านางสนมจากวังหลังอยู่ด้วยแล้ว ก็ยังมีสตรีที่เป็นญาติบุตรหลานของขุนนางบุ๋นและแม่ทัพบู๊อีกด้วย ซึ่งเป็นฮว๋ายชิ่งที่ให้พวกนางมารวมอยู่ด้วยกันในพระราชวัง โดยบอกว่าเป็นการป้องกัน แต่แท้จริงแล้วคือตัวประกันต่างหาก
ถึงแม้ไทเฮาจะไม่ชื่นชอบบุตรธิดาอย่างฮว๋ายชิ่ง แต่ในเมื่อนางนำสตรีเหล่านี้มาอยู่ร่วมกับตน และด้วยฐานะผู้ปกครองแห่งวังหลังของตัวเอง ก็ต้องจัดการดูแลพวกนาง
ไทเฮาพูดต่อ “ฝ่าบาทยังอยู่ที่ข้างบน ในเมื่อพระองค์ไม่ได้เตรียมการให้พวกเราอพยพ ดังนั้นก็ย่อมต้องอาศัยอยู่ที่นี่ อย่าตื่นตกใจไปเลย”
จากนั้นสวี่หลิงเยวี่ยก็พูดขึ้นมาทันใด
“พะ…พี่ใหญ่ของข้าไม่มีทางทิ้งข้ากับท่านแม่หรอก”
เหมือนว่าคำพูดของนางจะปลอบใจได้ดีกว่าของไทเฮา เพราะเหล่านางสนมและสตรีสูงศักดิ์ก็สงบใจลงได้ในที่สุด พวกนางแอบเช็ดน้ำตาอย่างเงียบๆ
หลังจากพวกนางโวยวายไปไม่กี่ประโยค ก็ไม่อยากหลบหนีออกไปแล้ว
ไทเฮาเหลือบมองสวี่หลิงเยวี่ยอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
ด้านสวี่หลิงเยวี่ยก็มองกลับไปด้วยท่าทีอ่อนโยนที่สามารถทำให้คนประทับใจได้
…
จีเสวียนทำลายกองกำลังทหารรักษาวังที่รุมล้อมเข้ามาโจมตีด้วยดาบเดียว ระหว่างนั้นเองก็ได้ยินเสียงสวี่ผิงเฟิงเอ่ยว่า
“ตำหนักกระดิ่งทอง!”
เขาอาศัยช่วงจังหวะที่สวี่ผิงเฟิงกำลังติดพันต่อสู้กับโค่วหยางโจว ก้าวเข้าไปยังชั้นต่างๆ ของกำแพงวังโดยไม่สนใจทหารรักษาวังแต่อย่างใด ครั้นผ่านทะลุประตูอู่แล้ว ก็มาถึงลานกว้างที่อยู่ด้านนอกของตำหนักกระดิ่งทอง
ใต้มุมชายคาตำหนักกระดิ่งทองที่อยู่เบื้องหน้า บริเวณทางเดินลายมังกรมีจักรพรรดินีที่กำลังยืนโดยสวมชุดฉลองพระองค์ปักลายมังกรอยู่
เมื่อเห็นจักรพรรดินีแห่งยุค นัยน์ตาของจีเสวียนก็ฉายแววความเกลียดชังขึ้นมา เพราะสตรีชั่วผู้นี้สมคบคิดวางแผนกับสวี่ชีอัน ทำร้ายจีหย่วนผู้เป็นน้องชายของเขาจนถึงแก่ชีวิต
อีกทั้งเขายังต้องอับอายขายขี้หน้าก่อนตายอีก
ส่วนเว่ยเยวียนก็เป็นคนที่กล้าบังอาจโจมตีอวิ๋นโจวและสังหารคนในเผ่าของเขา สิ่งนี้จีเสวียนรู้มาจากสวี่ผิงเฟิง
ในฐานะ ‘พระราชโอรสลำดับที่เจ็ด’ เขาย่อมต้องการล้างแค้นเพื่อคนในเผ่าอยู่แล้ว หากสังหารคนในราชวงศ์ต้าฟ่ง ไม่ว่าจะชายหญิงหรือแม้แต่เด็กและคนชราจะต้องถูกประหารชีวิตชั่วโคตรเป็นแน่
ทว่าในใจเขาไม่ได้อยากล้างแค้น มีเพียงแค่ความคับแค้นใจที่ค่ายถูกทำลาย โดนคนชนเผ่าจากอวิ๋นโจวนั่นเข่นฆ่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงขั้นร่วมสังหารผู้เป็นบิดาของเขาร่วมกันด้วยซ้ำ
จีเสวียนไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น แต่ถึงขั้นอยากจะตบมือหัวเราะด้วยซ้ำ
ผู้เป็นพ่อยังมีชีวิตอยู่ แล้วไฉนลูกชายยังออกมาเสนอหน้าอยู่ได้เล่า?
ส่วนสำหรับราชครูนั้น ตราบใดที่เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ก็ยังจะให้การสนับสนุนอยู่เช่นกัน
จีเสวียนกวาดสายตามองยันต์หยกส่งตัวที่อยู่ในมือของจักรพรรดินี ก็แค่นหัวเราะว่า
“ก็ลองใช้มันดูสิ”
จักรพรรดินีไม่แสดงอารมณ์ใดๆ นางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นชา แล้วกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า
“มิจำเป็น!”
จีเสวียนพยักหน้าเอ่ย
“เหล่าทหารของต้าฟ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ที่ด้านนอกนั้น ในฐานะที่เป็นผู้ปกครองของชาติ สมควรแล้วหรือที่เอาแต่หัวหดหลบซ่อนอยู่ภายในวัง?
“ข้าจะพาเจ้าไปดูเหล่าทหารต้าฟ่งก็แล้วกัน”
เขาต้องการจะสังหารจักรพรรดินีต่อหน้าเหล่าทหารอารักขาแห่งต้าฟ่ง
จากนั้นจีเสวียนก็ไม่ได้พูดพร่ำเพรื่อไร้สาระอันใดอีก ผลักดันพลังปราณ แล้วเข้าไปหาฮว๋ายชิ่งทันที
ฮว๋ายชิ่งยังคงนิ่งไม่ขยับ นางเพียงยกมือซ้ายที่กำลังถือเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี นางใช้มันแล้วชี้ไปที่ศีรษะของจีเสวียน
ในเวลาต่อมา ก็มีเงาดำตกลงมาจากท้องฟ้า หล่นกระแทกอย่างแรงต่อหน้าจีเสวียนและจักรพรรดินี การตกกระแทกครั้งนี้ทำให้ลานกว้างหน้าตำหนักกระดิ่งทองถึงกับต้องสั่นสะเทือน ทั้งหินและเศษฝุ่นต่างก็ปลิวว่อนไปทั่วอาณาบริเวณ
ซึ่งก็คือพระโพธิสัตว์เจียหลัวซู่ที่ได้ร่วงหล่นจากฟากฟ้าสู่พสุธา ยามนี้เขากำลังพนมมือ โดยที่ทั่วร่างกำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิตสีทอง
จีเสวียนเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า
เห็นอาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์แต่ละชิ้นพังเสียหาย และยังพบว่า ‘ม่าน’ ที่กั้นระหว่างโลกภายนอกกับพระราชวังได้แตกกระจายไปแล้ว
และยังเห็นสวี่ชีอันที่ทั่วตัวขาวประดุจนวลหยกกำลังยืนอยู่กลางอากาศอีกด้วย
อาวุธเวทมนตร์ที่ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งได้ทิ้งเอาไว้ให้ บัดนี้ได้ถูกทำลายลงอย่างโหดเหี้ยมโดยจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งเสียแล้ว
…
จากเมืองหลวงสู่ภายในเมือง จากภายในเมืองสู่ด้านนอกเมือง ยอดฝีมือที่คอยเฝ้าดูที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายต้าฟ่งหรือฝ่ายอวิ๋นโจวต่างก็เห็นอาวุธเวทมนตร์ทองสัมฤทธิ์พังทลายลงทั้งสิ้น
……………………………………………….
[1] ลูกธนูที่สิ้นแรงบิน เป็นสำนวนจีนที่หมายถึงพละกำลังที่เคยแข็งแกร่ง ตอนนี้ได้มาถึงจุดเสื่อมโทรมแล้ว
[2] แสงสะท้อนของอาทิตย์อัสดงอันใกล้สิ้นสุดลง สำนวนนี้เปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่เคยย่ำแย่กลับดีขึ้นมา แต่สุดท้ายทุกอย่างก็จบสิ้นสลายหายไปหมด
[3]จะยิงธนูใส่คนก็ต้องยิงที่ม้าเสียก่อน เป็นสำนวนที่ว่าถึงวิธีในการรบ เปรียบกับการเอาชนะข้าศึกได้ต้องจับนายพลหรือคนสำคัญของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ก่อน