บทที่ 1014 ตีแผ่ย้อนกลับ ข้าแทบจะไร้เทียมทาน!
บ่วงกรรมกำเนิดรูปร่าง สยดสยองอย่างยิ่งยวด บรรพจารย์ฝูนอนใคร่ครวญชีวิตของเขาในโลงศพ
เขาข้องแวะกับบ่วงกรรมใหญ่หลวงเช่นนี้จากที่ใดกัน น่าประหวั่นพรั่นพรึงเหลือเกิน กระทั่งบ่วงกรรมไร้ลักษณ์ยังกำเนิดรูปร่าง ต้นเหตุทั้งปวงนี้มาจากที่ใด?
“หลี่…หลี่จิ่วเต้าหรือ”
เขาพึมพำกับตนเอง ย้อนความกลับไป หากให้เอ่ยว่าบุคคลและเรื่องราวใดน่ากลัวที่สุดที่เขาเคยประสบ แน่นอนว่าต้องเป็นหลี่จิ่วเต้า
นอกจากหลี่จิ่วเต้า เขานึกเรื่องอื่นและบุคคลอื่นไม่ออกจริง ๆ
“ต้องตายทั้งอย่างนี้หรือ”
เขาเจ็บใจเป็นนักหนา แต่ก็อับจนหนทาง บ่วงกรรมที่มีรูปร่างไฉนเลยจะเป็นสิ่งที่เขารับไหว จุดจบของเขามีเพียงความตายเท่านั้น รอเพียงว่าบ่วงกรรมนี้จักปะทุเมื่อใด
ฟึ่บ!
สองตนนี้คือยอดฝีมือหลังฉาก ค้นพบเกาะเล็ก ๆ อันโดดเดี่ยวนี้ท่ามกลางมหาสมุทรกว้างไกล จึงคิดใช้ที่นี่เป็นลานเต๋าพวกเขา
“ข้างนอกนั่นโกลาหลเกินไป สถานการณ์ไม่แน่นอน ยอดฝีมือปรากฏตัวไม่ขาดสาย น่ากลัวยิ่งกว่าโลกหลังฉาก! พวกเราตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่นี่ดีกว่า”
สิ่งมีชีวิตตนหนึ่งเอ่ยท่าทางผวา
พวกเขามาจากโลกหลังฉากยังดินแดนนี้ เดิมอยากหาสถานที่ดี ๆ เพื่อตั้งรกราก ทว่าสสารระดับสูงพวยพุ่งอยู่ในอาณาจักรนี้ไม่หยุด สิ่งแวดล้อมพลิกผัน ยอดฝีมือเกลื่อนกลาด ระดับนิรันดร์มีอยู่คับคั่ง
และพวกเขาอยู่เพียงขอบเขตผู้บงการเท่านั้น ยังไม่ถึงขอบเขตนิรันดร์ด้วยซ้ำ ไฉนเลยจะได้ที่ดี ๆ จำต้องตั้งรกรากในพื้นที่แรมร้างห่างไกล
ที่นี่ห่างไกลมากพอ เกือบสุดขอบของอาณาจักรนี้แล้ว แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในอาณาจักรนี้ สสารระดับสูงมีอยู่ไม่น้อย พอให้พวกเขาฝึกฝนแล้ว
“ห่างไกลไปหน่อย ทว่าปลอดภัยมากพอ ไม่มีผู้ใดจะมาแย่งชิงสถานที่แรมร้างเช่นนี้ อีกอย่าง อาณาจักรนี้ขยายใหญ่เรื่อย ๆ ยิ่งไม่มีผู้ใดมารบกวนพวกเรา”
สิ่งมีชีวิตอีกตนกล่าว
เขากวาดสายตามองไปรอบ ๆ เหลือบเห็นหลุมศพที่บรรพจารย์ฝูฝังร่างตนเอง รู้สึกไม่เป็นมงคลเท่าใดจึงเข้าไปเตะป้ายหลุมศพจนแหลกเหลว
ขณะเดียวกัน มันยังคิดจะกระทืบหลุมศพให้ราบคาบ
บรรพจารย์ฝูในหลุมร้อนใจ เขารู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งของสิ่งมีชีวิตสองตนนี้ หากกระทืบลงมาแล้วเขาต้องตายอย่างแน่นอน!
“อย่า! อย่าเพิ่งลงมือ! ในนี้มีคนอยู่!”
เขารีบตะโกนบอก แล้วพุ่งออกจากโลงศพโดยไม่ลังเล
ทว่าสิ่งมีชีวิตทั้งสองตนไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ราวกับรู้อยู่แล้วว่าในหลุมศพนี้มีคน
อันที่จริง พวกเขารู้แต่แรก
พวกเขาคือผู้บงการสองคน ทันทีที่มาถึงเกาะเล็ก ๆ นี้ก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของบรรพจารย์ฝูซึ่งเป็นเพียงจักรพรรดิเซียนเท่านั้น
เป็นเพียงจักรพรรดิเซียนกระจอกงอกง่อย ต้อยต่ำยิ่งกว่ามดปลวกเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา แน่นอนว่าไม่อาจตบตาพวกเขาได้
ที่เมื่อครู่เตะป้ายหลุมศพกระจายทั้งยังต้องการกระทืบสิ่งมีชีวิตในหลุมศพให้ราบคาบเพียงแต่แกล้งหยอกบรรพจารย์ฝูไปอย่างนั้น หมายใจบีบคั้นให้เขาออกมา
“เจ้าชื่ออะไร”
เขาหันมองบรรพจารย์ฝู ถามด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
“ฝูไห่!”
บรรพจารย์ฝูตัวสั่นเทา ตอบอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางอกสั่นขวัญผวา เอ่ยบอกชื่อเสียงเรียงนามของตน
เมื่ออยู่เบื้องหน้าสิ่งมีชีวิตสุดกล้าแกร่งสยดสยองสองตน เขาไม่กล้าเรียกขานตนว่าบรรพจารย์
“ก่อนหน้านี้เจ้าซ่อนตัวอยู่ที่นี่ หลบอยู่ในหลุมศพตลอดเลยหรือ”
สิ่งมีชีวิตตนนั้นปรายตามองหลุมศพพลางถาม
“ใช่แล้ว!”
บรรพจารย์ฝูตอบเสียงสั่นเครือ กลัวจับใจว่าจะยั่วโมโหสิ่งมีชีวิตสองตนนี้เข้า
เขารู้ดีกว่าต่อหน้าสิ่งมีชีวิตสองตนนี้ เขาไร้น้ำยาสิ้นดี หากสิ่งมีชีวิตสองตนนี้คิดเอาชีวิตเขา ย่อมง่ายดายเสียยิ่งกว่าบี้มดตัวหนึ่ง
“ดูท่าคงเป็นพวกตาขาว กลัวจะเกิดเรื่องที่ข้างนอกนั่น ถึงได้ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ มิหนำซ้ำยังหลบอยู่ในหลุมศพ”
สิ่งมีชีวิตอีกตนหัวเราะเย้ยหยัน
เวลานี้ จักรพรรดิเซียนไม่นับว่าเก่งกาจแต่อย่างใด ยามอยู่ข้างนอกนั่น หากไม่ทันระวังตัวจักถูกผู้อื่นสังหารได้ง่ายดาย ไม่มีที่ให้ร้องไห้ด้วยซ้ำ
“เอาเถิด ไสหัวไปเสีย จากนี้ไปสถานที่นี้เป็นของเรา”
เขาโบกมือหมายจะให้บรรพจารย์ฝูไสหัวไป
“ได้ ได้เลย!”
บรรพจารย์ฝูตอบ ทำท่าจะไปจากที่นี่
“ช้าก่อน”
เวลานั้นเอง สิ่งมีชีวิตอีกตนเรียกบรรพจารย์ฝูไว้
เขาหันมองสิ่งมีชีวิตข้างกาย “เก็บเขาไว้ดีกว่า ให้เป็นข้ารับใช้คอยปรนนิบัติเจ้ากับข้า ทำงานจิปาถะไปนับว่าสะดวก”
ใบหน้าบรรพจารย์ฝูเป็นสีเขียว เขาไม่อยากเป็นข้ารับใช้!
ทว่าก็ไม่กล้าท้วงติง เพราะพลังห่างชั้นกันเกินไป
“ก็จริง”
สิ่งมีชีวิตอีกด้านพยักหน้า “มีข้ารับใช้คอยปรนนิบัติท่านกับข้าสะดวกขึ้นไม่น้อยจริง ๆ เพียงแต่ สารรูปตาแก่เช่นนี้เห็นแล้วมิสู้จะจรรโลงใจเท่าใด”
“นั่นก็จริงอยู่ แต่หาใช่ปัญหา ให้เขาจำแลงกายเป็นเด็กสาววัยแรกแย้มก็พอ”
สิ่งมีชีวิตอีกตนพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย สารรูปตาเฒ่าอย่างบรรพจารย์ฝูเห็นแล้วไม่กระชุ่มกระชวยจริง ๆ
อะไรนะ?
หลังบรรพจารย์ฝูได้ยินคำกล่าวของสิ่งมีชีวิตตนนี้ก็เกือบเด้งตัวขึ้น
บัดซบ!
ให้เขาเป็นข้ารับใช้ไม่พอ ยังจะให้เขาจำแลงกายเป็น…เด็กสาววัยแรกแย้ม?!
สวรรค์ เขานึกอยากแทงสิ่งมีชีวิตตนนี้นัก ช่างระยำจริง ๆ!
แต่เมื่อลองคิดดูแล้ว หากเขาแทงสิ่งมีชีวิตตนนี้คงเป็นตัวมันเองที่โดนแทงมากกว่า เขาจึงอดกลั้นไว้ ถึงอย่างไร…ตายสงบมิสู้อยู่อย่างทนทุกข์
“นี่ ไม่ได้ยินที่ข้าบอกหรือ รีบแปลงกายเข้าสิ รออะไรอยู่!”
สิ่งมีชีวิตสองตนนั้นตนหนึ่งสูง ตนหนึ่งเตี้ย สิ่งมีชีวิตตัวสูงตวาด
เขาเองที่เสนอให้บรรพจารย์ฝูแปลงกายเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม
อด…ทน!
บรรพจารย์ฝูลอบกัดฟัน ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตแล้ว เขาทำตามข้อเรียกร้องของสิ่งมีชีวิตตัวสูง จำแลงกายเป็นเด็กสาววัยแรกแย้ม
ในฐานะจักรพรรดิเซียน ทักษะแปลงกายยังพอมีอยู่
ทว่าดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
บรรพจารย์ฝูเห็นสายตาที่สิ่งมีชีวิตทั้งสองมองเขาเปลี่ยนไป!
ไม่ใช่กระมัง!
เขาตกใจจนเกือบทรุดตัวกับพื้น ดูเหมือนเขาจำแลงเกินไปหน่อย รูปลักษณ์เด็กสาววัยแรกแย้มงดงามเกินไป สายตาที่สิ่งมีชีวิตทั้งสองมองเขา…ผิดปกติอย่างยิ่ง!
ชั่วขณะนั้น อย่าให้เอ่ยเลยว่าเขาหวาดกลัวปานใด!
สองคนนี้คงไม่ได้คิดขืนใจเขาใช่หรือไม่?!
“ทั้ง ทั้งสองท่าน ข้าแปลงกายผิดไป ขอข้าแปลงกายอีกครั้งเถิด!”
เขารีบบอก ทำท่าจะจำแลงกายอีกครั้งให้ขี้เหร่ลงหน่อย สองคนนี้จะได้ไม่ต้องหมายตา!
“ไม่ต้อง แบบนี้ดีแล้ว!”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงตะโกนห้ามไม่ให้บรรพจารย์ฝูจำแลงกาย
รอยยิ้มของเขาสดใส โบกมือใส่บรรพจารย์ฝู “มานี่ ขอข้าเพ่งพินิจหน่อย”
ไม่หรอกกระมัง!
ใบหน้าบรรพจารย์ฝูซีดเผือด เหงื่อเย็นไหลโซม นี่เขาเจอกับโรคจิตหรือ?
หากเขาเข้าไปหา จะยังอยู่รอดปลอดภัยหรือ?
เขาตัวสั่นเทิ้ม ไม่อาจเยื้องย่างออกไป และไม่อยากเข้าไปหา
เพียะ!
เวลานั้นเอง สิ่งมีชีวิตตัวสูงมีแส้หนังปรากฏในมือกะทันหัน พร้อมเหวี่ยงฟาดพื้นอย่างแรง
“ไม่เชื่อฟังหรือ เจ้าอยากถูกแส้ฟาดหรือไร?!”
เขาเอ่ยเสียงเย็น
“พี่ คงไม่ใช่กระมัง? ท่านคิดจะ…เล่นสนุกกับเขาจริงหรือ”
สิ่งมีชีวิตตัวเตี้ยเอ่ยกับสิ่งมีชีวิตตัวสูงด้วยสีหน้าชอบกล
สภาพจิตใจของเขาปกติ เมื่อครู่เพียงแค่คาดไม่ถึงว่าสตรีที่บรรพจารย์ฝูจำแลงออกมาจะงดงามปานนั้น แต่ก็แค่เท่านั้นเอง
กับบรรพจารย์ฝู เขาหาได้คิดเป็นอื่นไม่ เขาเป็นบุรุษทั่วไปที่พิสมัยสตรีเพศ ไม่ได้ชื่นชอบไม้ป่าเดียวกัน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตาเฒ่าหงำหงอกอย่างบรรพจารย์ฝู
ทว่าเขาเห็นว่าพี่ชายของเขาคิดเป็นอื่นจริง ๆ ตั้งใจจะขืนใจบรรพจารย์ฝู นี่ทำให้เขาอดคลื่นเหียนในใจไม่ได้
ปัญหาคือ ก่อนนี้เขาไม่รู้เรื่องเลยว่าพี่ชายของเขามีรสนิยมเช่นนี้ ที่ผ่านมาก็ปกติดีนี่!
หรือเพราะสตรีที่บรรพจารย์ฝูจำแลงงดงามเกินไป?
ไม่เอาน่า ต้องไม่ใช่เหตุผลนี้แน่ ต่อให้งดงามเพียงใดแต่สำหรับพวกเขาก็เท่านั้น ไม่อาจทำให้หทัยเต๋าของพวกเขาสั่นคลอน
“น้องชาย เจ้ากับข้าฝึกฝนกันมาตั้งนานเท่าไหร่ แต่แล้วขอบเขตนิรันดร์ยังคงไกลเกินเอื้อมสำหรับเรา บัดนี้ แม้ว่าอาณาจักรนี้เต็มไปด้วยสสารระดับสูง พอให้พวกเขาฝึกฝนจนถึงขอบเขตนิรันดร์ ทว่าเจ้ากับข้าสามารถก้าวสู่ขอบเขตนิรันดร์ได้จริงหรือ”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงกล่าว “ขอบเขตนิรันดร์หาใช่ระดับที่พลังถึงก็บรรลุได้ มีด้านอื่น ๆ ที่สำคัญกว่านั้น อย่างเช่นหทัยเต๋า”
“การฝึกฝนนั้นคือการพิชิตความลำบากทั้งปวง สำเร็จซึ่งสิ่งที่ไม่น่าสำเร็จ ทำให้ตัวเองอยู่เหนือทุกสิ่ง!”
“บัดนี้ มีสสารระดับสูงซึ่งพอให้พวกเราฝึกฝนจนถึงขอบเขตนิรันดร์แล้ว พวกเราในยามนี้ขาดเพียงก้าวเล็ก ๆ เท่านั้น!”
เขากล่าวต่อ “ข้าคิดว่าพวกเราควรเปลี่ยนแปลงตนเองจากด้านอื่น สำเร็จซึ่งสิ่งที่พวกเราในอดีตทำไม่ได้ ช่วยให้หทัยเต๋าของเราทวีความแข็งแกร่ง จวบจนบรรลุ!”
“พี่ ท่านคงไม่…”
สิ่งมีชีวิตตัวเตี้ยสีหน้าเปลี่ยนไป เขาพอเข้าใจความคิดพี่ชายของเขาแล้ว
“ถูกต้อง!”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงพยักหน้า “เป็นดั่งที่เจ้าคิด บรรลุด้วยเขา ไม่ใช่แค่ข้า เจ้าเองก็ต้องทำด้วย”
เขาอธิบายอย่างชัดเจนแล้วว่าต้องการขืนใจบรรพจารย์ฝู ซ้ำยังต้องการให้สิ่งมีชีวิตตัวเตี้ยร่วมด้วย
“ข้าผุดความคิดนี้หลังเห็นเขาจำแลงกายเป็นสตรี ลองตรองดูแล้วคงเป็นประโยชน์ต่อการเคี่ยวกรำหทัยเต๋าของเรา”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงเอ่ย “ขอบเขตของเจ้ากับข้าไม่นับว่าต่ำนัก ทว่ายามคิดจะทำเรื่องนี้พวกเรายังอดต่อต้านขึ้นมาในใจไม่ได้ นั่นบ่งบอกว่าหทัยเต๋าของเรายังมั่นคงไม่พอ ต้องเคี่ยวกรำมากกว่านี้ แล้วจึงจะบรรลุสู่ขอบเขตนิรันดร์ได้!”
“แต่ แต่ว่า…”
สิ่งมีชีวิตตัวเตี้ยหน้าซีด แม้ว่าสิ่งมีชีวิตตัวสูงกล่าวได้มีเหตุมีผล กระนั้นเขายังไม่อยากทำ ต่อต้านเหลือแสน
“สิ่งใดที่ใจต่อต้าน เราต้องทำสิ่งนั้น เช่นนี้พวกเราถึงแข็งแกร่งขึ้นกว่านี้จนปราศจากจุดบอด!”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงแผดเสียง “นอกจากนี้ ข้าไม่ได้เรียกร้องให้เจ้าทำได้ในคราเดียว นี่อย่างไร ข้าให้โอกาสเจ้าเตรียมใจ เขาในยามนี้อยู่ในรูปลักษณ์สตรี ไม่ต่างกับสตรีตัวจริงแม้แต่น้อย สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงทลายด่านในใจเจ้าเท่านั้น”
“หา!”
สีหน้าสิ่งมีชีวิตตัวเตี้ยเปลี่ยนไปอีกครั้ง ย่ำแย่ลงกว่าเดิม
จากที่สิ่งมีชีวิตตัวสูงกล่าวมา หลังขืนใจบรรพจารย์ฝูในร่างสตรีแล้ว ยังต้องขืนใจร่างเดิมอันเป็นตาเฒ่าหงำเหงือกของบรรพจารย์ฝูด้วยหรือ
“ใช่แล้ว เป็นดั่งที่เจ้าคิด”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงมองปราดเดียวก็รู้ว่าสิ่งมีชีวิตตัวเตี้ยคิดอันใดอยู่ “รอให้เจ้าทลายด่านในใจตนได้จนมั่นคงแล้ว พวกเราค่อยขืนใจร่างเดิมของเขา”
บัด…ซบ!
คนวิปลาสชัด ๆ!
บรรพจารย์ฝูด่ากราดในใจ โรคจิตจริงเชียว ความคิดแตกต่างจากผู้อื่นเกินไปแล้ว คิดใช้เขาในการเคี่ยวกรำหทัยเต๋าเชียวหรือ!
เขาอยากบอกเหลือเกินว่า พวกเจ้าสองคนขืนใจกันเองก็พอแล้วไม่ใช่หรือ มิใช่ว่านี่จะยิ่งเคี่ยวกรำหทัยเต๋าได้ดีขึ้นหรือ ไยต้องใช้เขาด้วย!
“ไม่ใช่ว่าไม่ได้ แต่ต้องไว้ท้ายสุด เราสองคนสนิทกันเกินไป ทลายด่านในใจได้ยากกว่า จำต้องมีการปูทางมาก่อน”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงเหลือบมองบรรพจารย์ฝู ราวกับรู้ว่าบรรพจารย์ฝูคิดสิ่งใดอยู่ จึงปริปากเอ่ยขึ้น
เป็นลม!
สิ่งมีชีวิตตัวเตี้ยแทบล้มตึงกับพื้น ท้ายที่สุดพวกเขาสองคนยังต้องกระทำการกันเองด้วยหรือ
สวรรค์ อย่าว่าแต่ลงมือเลย ลำพังคิดเขาก็ขยะแขยงจนทนไม่ไหว!
“แค่คิดเจ้าก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ เจ้าที่เป็นเช่นนี้จะก้าวสู่ระดับสูงกว่านี้ แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ได้อย่างไร น้องชาย การเคี่ยวกรำครานี้อย่างไรเจ้าก็ต้องเข้าร่วม!”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงตวาด ก่อนจะกล่าวต่อ “ไม่เป็นไร พี่ชายสาธิตเป็นตัวอย่าง เจ้าศึกษาอยู่ด้านข้างไปก่อน”
จากนั้นเขาก็สบัดแส้หนังในมือ เสียงเพียะดังไม่หยุด
“รีบมานี่เข้า! หรือเจ้าอยากโดนแส้ฟาดจริง ๆ?!”
เขาหันมองบรรพจารย์ฝูพลางดุด่า
“!!!”
อย่าให้เอ่ยเลยว่าสีหน้าบรรพจารย์ฝูย่ำแย่ปานใด นี่จะเอาจริงหรือ
“ไสหัวไปไกล ๆ เลย! ท่านผู้นี้ไม่เล่นกับพวกเจ้าแล้ว อยากจะฆ่าจะแกงก็เชิญตามสะดวก อย่างไรข้าก็ไม่ยอม!”
เขาก่นด่าไม่หยุด รีบคืนสภาพร่างเดิมอย่างรวดเร็ว
ต่อให้ฆ่าเขา เขาก็ไม่ยอมทำเรื่องเช่นนั้น ต้องถูกขืนใจในสภาพเด็กสาววัยแรกแย้ม!
มิหนำซ้ำเขายังมีบ่วงกรรมอันมีรูปร่างติดตัว ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องตาย เขาไม่สนอะไรแล้ว ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมจำนน
“เรื่องนั้นเจ้าไม่มีสิทธิ์ตัดสิน!”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงแค่นยิ้ม “เป็นเพียงจักรพรรดิเซียนกระจอก ๆ ต่อหน้าข้าเจ้าไม่มีสิทธิ์ตายด้วยซ้ำ มีแต่ต้องยอมเชื่อฟังเท่านั้น!”
พูดจบ เขาหวดแส้ไปทางบรรพจารย์ฝู
“ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”
บรรพจารย์ฝูบุกไปข้างหน้าทันที
“น่าขัน!”
สิ่งมีชีวิตตัวสูงขำพรืด จักรพรรดิเซียนตนหนึ่งเท่านั้นบังอาจแข็งข้อกับเขา ช่างไม่ประเมินตนเองเอาเสียเลย
เขาสะบัดแส้หนัง แส้หนังตวัดไปหาบรรพจารย์ฝูอย่างรวดเร็วประหนึ่งงูพิษ
ความห่างชั้นมีมากเกินไป แส้นี้ไม่ใช่สิ่งที่บรรพจารย์ฝูต้านทานไหว สิ่งมีชีวิตตัวสูงแทบมองเห็นภาพบรรพจารย์ฝูถูกหวดจนหนังเปิดเนื้อปลิ้นอยู่แล้ว มุมปากเผยอยิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่
ทว่าเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงเกิดขึ้น!
ขณะที่แส้หนังกำลังจะฟาดโดนตัวบรรพจารย์ฝู จู่ ๆ ก็มีพลังอันมองไม่เห็นถล่มใส่แส้หนังจนแหลกลาญในบัดดล!
“เกิดอะไรขึ้น พลังจากไหนกัน!?”
เขาตกตะลึง สายตากวาดไปรอบ ๆ ไม่หยุด ทั้งยังคลี่แผ่ญาณสัมผัสออกไปค้นหาที่มาของพลังอันมองไม่เห็นนี้
ทว่าไม่ว่าเขาค้นหาอย่างไรก็ไม่พบที่มา!
สิ่งมีชีวิตตัวเตี้ยตระหนกไปด้วย เรียกดาบยาวเล่มหนึ่งออกมาทันทีด้วยความระแวง
ขณะเดียวกัน บรรพจารย์ฝูก็มีสีหน้ามึนงง ไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น
ทว่าต่อมาเขาเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นได้ รอยยิ้มเหยียดออก
“บนตัวข้ามีบ่วงกรรมอันมีรูปร่าง วันหน้าย่อมต้องแบกรับแรงปะทุจากบ่วงกรรมอันมีรูปร่างนี้ หรือก็คือ ผู้อื่นฆ่าข้าไม่ได้ แตะต้องข้าก็ไม่ได้ หากฆ่าข้าหรือแตะต้องข้า วันหน้าข้าย่อมไม่อาจอยู่รับแรงปะทุจากบ่วงกรรมอันมีรูปร่างนี้!”
เขาคลี่ยิ้มกว้าง “ในมุมหนึ่ง ข้าแทบไร้เทียมทาน ไม่มีผู้ใดฆ่าข้าได้ และไม่มีผู้ใดแตะต้องข้าได้ นอกเสียจากคนผู้นั้นอยู่เหนือกว่าพลังบ่วงกรรมอันมีรูปร่างนี้!”
เขาผู้ตีแผ่ย้อนกลับไปค้นพบข้อนี้ อย่าให้เอ่ยเลยว่าปลื้มปีติปานใด ไม่รู้สึกโศกเศร้าเพราะมีบ่วงกรรมอันมีรูปร่างเช่นนี้ติดตัวอีก
มิหนำซ้ำยังตรงกันข้าม เขารู้สึกโชคดีที่มีบ่วงกรรมอันมีรูปร่างเช่นนี้ติดตัว!