ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 399 ส่งต่อผ่านวันเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 399 ส่งต่อผ่านวันเวลา

ตอนนี้เลยเที่ยงวันไปแล้ว ดวงอาทิตย์คล้อยเคลื่อน แสงตะวันไม่สาดส่องอยู่เหนือตำหนักคำสัตย์อีกต่อไป แต่สาดมาจากข้างหลังสวี่ชิง

ดังนั้นท่ามกลางผู้ครองกระบี่กลุ่มหนึ่งที่ยืนอย่างขึงขัง สวี่ชิงที่เดินช้าเนิบออกมาจากกลุ่มคน ภายใต้แสงอาทิตย์ก็ดูโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง

นายกองมองเงาร่างของสวี่ชิง ในใจนอกจากจะมีความสะท้อนใจแล้วนั้นก็เป็นความภูมิใจ แอบพูดในใจว่านี่คือศิษย์น้องเล็กของข้า

ชิงชิวอยู่ในกลุ่มคน ใบหน้างดงามใต้หน้ากากไม่มีอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นางมองสวี่ชิงแวบหนึ่ง ในใจต่อต้านเล็กน้อย จึงหันไปมองทางทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ

นางไม่ชอบวันที่แสงแดดสดใสแบบนี้ นางชอบวันที่สายลมหิมะโปรยปราย

เพราะทุกครั้งที่หิมะตก นางมองไปทางที่ไกลๆ ท่ามกลางความคลุมเครือรางเลือนก็มักจะเห็นเงาร่างผอมเล็กรางหนึ่ง เดินชิดกำแพงมา พยักหน้าให้นาง

‘พี่เด็กน้อย…’ ชิงชิวพึมพำในใจ

‘ข้าจะต้องรีบไปหาท่านที่ทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณให้เร็วที่สุด ข้าคิดว่าอัจฉริยะฟ้าประทานที่ว่าที่นี่สู้ท่านไม่ได้ หากท่านยืนอยู่บนที่ของพวกเขาก็จะต้องแข็งแกร่งกว่าพวกเขาทุกคนอย่างแน่นอน!

ในตอนที่ชิงชิวทอดสายตามองไปที่ไกล พวกข่งเสียงหลงต่างมองมาทางสวี่ชิง ในดวงตาคนอื่นๆ ยังแฝงด้วยความไม่ยอมรับไม่มากก็น้อย แต่ข่งเสียงหลงไม่มี

เขากำลังยิ้ม ในรอยยิ้มแฝงด้วยคำอวยพร

ไม่ใช่แค่กับสวี่ชิงเท่านั้น กับสหายคนอื่นๆ เขาล้วนเป็นเช่นนี้

ท่ามกลางสายตาของคนทั้งหลายที่นี่ สวี่ชิงก้าวไปข้างหน้าด้วยสีหน้าสงบนิ่ง หลังจากเดินไปติดๆ เก้าก้าว เขาก็ประสานหมัดหน้าผู้คน โค้งคารวะไปทางคนทั้งห้าที่อยู่หน้าตำหนักใหญ่

“คารวะใต้เท้า”

เสี้ยวขณะนี้ รองเจ้าวังและผู้ดูแลทั้งสี่ที่อยู่หน้าตำหนักคำสัตย์ต่างมองไปทางสวี่ชิง

ก่อนที่สวี่ชิงจะมา คนทั้งห้าก็รู้จักชื่อของเขาแล้ว วันนั้นเสียงระฆังเต๋าได้ทำให้วังครองกระบี่ทั้งวังแตกตื่น กระทั่งเจ้ามณฑลยังถามถึง

ตอนนี้ได้เห็นสวี่ชิงด้วยตาตัวเอง มองเงาร่างของอีกฝ่ายท่ามกลางแสงอาทิตย์และเปลวเพลิงแดงฉานที่เป็นลายเหลือบบนชุดขาวทั้งร่าง ผู้ดูแลทั้งสี่ต่างแอบพยักหน้า

ในดวงตารองเจ้าวังฉายแววชื่นชม สีหน้าเปลี่ยนมาอ่อนลงเล็กน้อย

“สวี่ชิง เจ้าหยั่งใจได้ประกายแสงหมื่นจั้ง มหาจักรพรรดิคัดเลือก สร้างตำนานครั้งแรกให้เขตปกครองผนึกสมุทร เจ้าวังมีคำสั่ง ให้สวี่ชิงเป็นอาลักษณ์ของเจ้าวัง!

“นับจากนี้คอยติดตามอยู่ข้างกายท่านเจ้าวัง หวังว่าเจ้าจะฝึกฝนให้มากขึ้น อย่าผิดต่อคำชมของมหาจักรพรรดิ อย่าผิดต่อเสียงระฆังเต๋า!

“น้อมรับคำสั่ง!” สวี่ชิงสีหน้าเคร่งขรึม ประสานหมัดคารวะอีกครั้ง

สำหรับคำสั่งนี้ เขาไม่ได้ตกใจสักเท่าไร แต่ในใจก็ยังเสียดายอยู่นิดๆ

เขาไม่อยากไปเป็นอาลักษณ์ เขาอยากไปหน่วยงานแบบกรมปราบพิฆาตแบบนั้นมากกว่า

และเมื่อคำของรองเจ้าวังดังออกมา ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่รุ่นนี้ก็มีไม่น้อยที่จิตใจสั่นสะท้าน ความอิจฉาที่แฝงมาในสายตาที่จ้องมองสวี่ชิงมารุนแรงมาก

อาลักษณ์ก็เท่ากับเป็นตำแหน่งบุ๋นข้างกายเจ้าวัง ตำแหน่งประเภทนี้แม้จะไม่มีสิทธิ์อำนาจอะไร แต่เป็นตัวแทนของเจ้าวัง หลังจากที่รับตำแหน่งแล้วไม่ว่าใครเมื่อเห็นเขาก็ต้องเกรงอกเกรงใจ

โดยเฉพาะเจ้าวังครองกระบี่ ก่อนหน้านี้ข้างกายเขาไม่เคยมีอาลักษณ์มาก่อน สวี่ชิงเป็นคนแรก

คนทั้งหลายมองไป เดิมนี่ก็เป็นการแสดงถึงความสำคัญที่เจ้าวังครองกระบี่มีให้สวี่ชิง ผ่านจากประกาศแจ้งนี้บอกกับใต้หล้า หยั่งใจประกายแสงหมื่นจั้ง มหาจักรพรรดิคัดเลือกสำคัญเพียงใด

จินตนาการได้ว่าเรื่องนี้เมื่อแพร่ออกไป ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ที่ยังไม่ได้เข้าร่วมกับวังครองกระบี่ ไม่ว่าใครก็จะต้องยิ่งให้ความสำคัญกับหยั่งใจอย่างแน่นอน

แม้ตำแหน่งนี้จะเหมาะสมกับเกียรติยศที่สวี่ชิงได้รับ แต่ในบรรดาผู้ครองกระบี่ คนที่ไม่ยอมรับก็มีอยู่เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นจางซืออวิ้น

เขาจ้องสวี่ชิง ความเกลียดชังในใจลึกเข้ากระดูกดำ โดยเฉพาะใบหน้าด้านขวาของเขาแม้จะกลับเป็นปกติแล้ว แต่ตอนนี้เขายังคงรู้สึกเจ็บปวด นั่นคือจุดที่มารดาตบเขา

‘ข้าไม่ใช่คนไร้ประโยชน์!’ จางซืออวิ้นกัดฟัน คำรามในใจ

ปฏิกริยาของคนทั้งหลาย พวกรองเจ้าวังที่ยืนอยู่ข้างหน้าตำหนักคำสัตย์ล้วนไม่มีใครสนใจ แม้ปรมาจารย์ของจางซืออวิ้นเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่นับตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ปรายตามองจางซืออวิ้นเลยแม้แต่แวบเดียว

“สวี่ชิง แม้เจ้าวังจะมอบตำแหน่งให้เจ้าโดยไม่จำเป็นต้องทดสอบ แต่การฝึกฝนลับต่อจากนี้เจ็ดวันเจ้ายังคงต้องไปเข้าร่วม”

สวี่ชิงตอบรับด้วยใบหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ถอยกลับมาในแถวผู้ครองกระบี่ ท่วงท่าอิริยาบถไหลลื่น ทำให้คนทั้งห้าที่อยู่หน้าตำหนักคำสัตย์ต่างพยักหน้าอีกครั้ง

“พวกเจ้าจงฟังให้ดี” สายตาของรองเจ้าวังดึงกลับมาจากสวี่ชิง กวาดตามองผู้ครองกระบี่ที่อยู่ข้างล่างแวบหนึ่ง

กระบี่อาญาสิทธิ์ที่พวกเจ้าต่างได้มาจากโถงครองกระบี่มณฑลตัวเอง เป็นทั้งวัตถุสื่อเสียงของผู้ครองกระบี่ และเป็นสิ่งเอาไว้ตรวจสอบแต้มความชอบ ขณะเดียวกันก็เป็นรากฐานของหอกระบี่

“หลังจากนี้พวกเจ้าสามารถสร้างหอกระบี่ของตัวเองที่เมืองด้านล่างเมืองหลวงเขตปกครองได้ หอกระบี่จะอยู่กับพวกเจ้าไปชั่วชีวิต ต่อให้ไปทำภารกิจภายนอกก็เช่นกัน

“ยิ่งสูงก็ยิ่งแสดงถึงเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ ข้าหวังว่าวันหนึ่ง ในบรรดาพวกเจ้าจะมีผู้ที่สร้างหอกระบี่หมื่นจั้งได้

“มีเพียงสละชีพเท่านั้นโถงครองกระบี่จึงจะลบล้างมันไป แต่ชื่อจะสลักอยู่ในตำหนักคำสัตย์ของวังครองกระบี่ ผู้ครองกระบี่รุ่นหลังทุกครั้งที่สาบานตนล้วนต้องไปคารวะ ไม่มีวันลืมเลือนตลอดชั่วกาลนาน”

รองเจ้าวังเอ่ยเนิบนาบ พูดเรื่องพวกนี้จบเขาก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นตำหนักใหญ่ข้างหลังก็เปล่งแสงเจิดจ้า ประตูทุกบานเปิดออกจนสุด ทำให้ทุกอย่างข้างในปรากฏในสายตาของผู้ครองกระบี่ทุกคนอย่างชัดแจ้ง

ในตำหนักใหญ่มีมิติอีกมิติหนึ่ง ทำให้พื้นที่ข้างในใหญ่กว่าตัวตำหนัก

ในนั้นมีกระบี่อาญาสิทธิ์ตั้งเรียงรายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

บางเล่มสมบูรณ์ บางเล่มแตกหัก ยิ่งมีบางชิ้นเหลือเป็นเพียงเศษชิ้นส่วน กระทั่งว่าบางเล่มเหมือนว่าตอนที่มอดม้วยกระบี่อาญาสิทธิ์ก็แหลกละเอียด จึงวางเป็นป้ายวิญญาณแทน

ความห้าวหาญไม่กลัวตายปะทะหน้า ความรู้สึกฮึกเหิมลุกโหมขึ้นมา

ป้ายวิญญาณและกระบี่อาญาสิทธิ์ในนั้นมีมากมายเหลือเกิน ทั้งตำหนักใหญ่ตั้งแต่ข้างบนจนถึงข้างล่าง จากด้านซ้ายไปถึงด้านขวา ล้วนมีตั้งอยู่

พวกนี้คือผู้ครองกระบี่ที่รบตายในช่วงเวลาไม่รู้ต่อกี่ปีมานี้ของเขตปกครองผนึกสมุทร!

ทุกคนในนั้นล้วนเป็นอัจฉริยะฟ้าประทานในอดีตของเผ่ามนุษย์ทั้งสิ้น

ทุกคนล้วนมีเรื่องราวที่ชวนให้คนประทับใจซาบซึ้งของตัวเองกันทั้งนั้น

มองกระบี่อาญาสิทธิ์และป้ายวิญญาณเหล่านี้ สวี่ชิงจิตใจสั่นสะท้าน เขาสัมผัสได้ถึงพลังปะทะของวิญญาณกลุ่มหนึ่งแผ่มาจากในตำหนักใหญ่ ทะลักไปในสมอง

ท่ามกลางความรางเลือน เขาเหมือนได้ยินเสียงคำรามก่อนตายของผู้ครองกระบี่มากมาย เห็นเงาชุดขาวนับไม่ถ้วน

ข้างหลังพวกเขาคือเผ่ามนุษย์ ดังนั้นพวกเขายอมรบตาย แต่จะไม่ยอมถอยหลังแม้เพียงครึ่งก้าวเด็ดขาด

ความฮึกเหิมยิ่งแรงกล้า

พวกเขายิ้มกระโจนหาความตาย พวกเขาคำรามสังหารศัตรู คำปฏิญาณสาบานที่พวกเขาตะโกนก่อนตายแฝงด้วยความไม่เสียใจ

“ข้ายินดีเป็นผู้ครองกระบี่ ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ไม่กลัวที่จะต้องเสียสละพลีชีพ

“ข้ายินดีเป็นผู้ครองกระบี่ จะไม่มีวันหักหลังเผ่ามนุษย์เด็ดขาด เตรียมต่อสู้อยู่ทุกชั่วขณะจิต

“ข้ายินดีเป็นผู้ครองกระบี่ สู้เพื่อเผ่ามนุษย์ ปกป้องเผ่ามนุษย์

“ข้ายินดีเป็นผู้ครองกระบี่ กำจัดเภทภัยแก่ไพร่ฟ้า สาดส่องประกายไปในฟ้าดิน”

ประโยคแต่ละประโยคเหล่านี้ดังมาจากปากของเงาแต่ละทางๆ หลังจากที่เสียงมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ค่อยๆ รวมเข้าด้วยกันประดุจเสียงแห่งฟ้าดิน ในขณะที่ดังก้องไปทั่วผืนฟ้า ก็ดังออกมาจากผู้ครองกระบี่ที่อยู่ที่นี่ทุกคนไปโดยสัญชาตญาณ

เสียงของทุกคนและคำพูดจากปากเงาเหล่านั้นค่อยๆ ผสานเสียง คล้ายว่ากลายเป็นหนึ่งเดียว

ความฮึกเหิมห้าวหาญที่ไม่อาจทำได้สำเร็จจากวีรบุรุษผู้กล้าเหล่านั้นเหมือนสืบทอดมาผ่านจากท้องฟ้า ณ เสี้ยวขณะนี้

นี่ก็คือคำปฏิญาณของผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ทุกคน

สวี่ชิงไม่รู้ว่าไปจากวังครองกระบี่อย่างไร จวบจนร่างของเขาเดินอยู่กลางฟ้าดิน สมองของเขาก็ยังมีภาพฉากที่ตำหนักคำสัตย์ก่อนหน้านี้ดังก้อง

ทุกอย่างนี้แตกต่างไปจากตอนที่อยู่สำนักโดยสิ้นเชิง

ไม่ใช่แค่สวี่ชิงที่รู้สึกเช่นนี้ นายกองเองก็รู้สึกเช่นกัน ผู้ครองกระบี่ทุกคนในชั่วขณะนี้ต่างรู้สึกเช่นนี้ ต่อให้เป็นคนอย่างจางซืออวิ้น สีหน้าก็แฝงด้วยความเหม่อลอยไปเช่นกัน

จวบจนเมื่อกลับมาถึงสำนักย่อย กลับมาถึงที่พัก จิตใจของสวี่ชิงถึงได้ฟื้นคืนกลับมา

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าราตรีข้างนอก มองไปทางวังครองกระบี่ ก็อดสูดลมหายใจลึกไม่ได้ เขารู้ว่าทำไมตัวเองจึงเป็นเช่นนี้ เพราะในตำหนักคำสัตย์แฝงด้วยระลอกคลื่นวิญญาณที่น่าครั่นคร้าม

วิญญาณวีรบุรษผู้กล้าที่นั่นมีมากมายนัก พวกเขาไม่ได้มีจิตคิดร้ายต่อผู้ครองกระบี่หน้าใหม่แม้แต่น้อย บางดวงแค่พรรณาความเสียดายของตัวเอง บอกเล่าปฏิญาณความตั้งมั่นที่ตัวเองทำไม่สำเร็จ

พวกเขาใช้วิธีแบบนี้บอกกับผู้ครองกระบี่หน้าใหม่…

ว่าอะไรคือผู้ครองกระบี่!

จิตใจของสวี่ชิงเกิดระลอกคลื่นอารมณ์ ความจริงตลอดทางที่เดินมานี้ จากในตัวเฉินถิงหาวเขาก็สัมผัสได้แล้วว่าผู้ครองกระบี่กับผู้บำเพ็ญของสำนักที่ตนได้เจอนั้นแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

ขั้วอำนาจใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นสำนักหรือวังครองกระบี่ล้วนไม่มีทางทำให้เขาเกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งได้ในทันทีเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้สัมผัส ล้วนไม่มีทางทำให้เขาทิ้งความระมัดระวังไปได้

เขาอยากจะสังเกตอีกสักหน่อย

นานจากนั้นสวี่ชิงก็สูดลมหายใจลึก เก็บจิตใจ เอากระบี่อาญาสิทธิ์ผู้ครองกระบี่ของตัวเองออกมา

หลังจากผ่านการรายงานตัวและปฏิญาณสัตย์วันนี้แล้ว กระบี่อาญาสิทธิ์เล่มนี้ก็เปลี่ยนไปต่างจากเดิมเล็กน้อย

ความสามารถมากมายในนั้นกระตุ้นขึ้น ตอนนี้จากการสำรวจของสวี่ชิง จากการถ่ายทอดจิตเทพเข้าไป ในสมองของเขาก็มีข้อมูลการแลกเปลี่ยนแต้มกองทัพผุดขึ้น

แต้มกองทัพเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อผู้ครองกระบี่ เพราะวัตถุใดๆ ที่ต้องการล้วนสามารถใช้แต้มกองทัพแลกได้ ในข้อมูลชุดนี้สวี่ชิงกระทั่งว่าเห็นตะเกียงแห่งชีวิต และมรดกเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิ

เพียงแต่ต้องใช้แต้มกองทัพเป็นจำนวนมาก ยิ่งต้องมีแต้มความชอบอีกจำนวนหนึ่งด้วย

แต้มกองทัพกับแต้มความชอบนั้นแตกต่างกัน

อย่างแรกสามารถสะสมได้จากการทำภารกิจต่างๆ ที่วังครองกระบี่ประกาศมาและจากตำแหน่ง ส่วนอย่างหลัง…ได้มาจากการตบรางวัล แบ่งเป็นห้าขั้น

ในนั้นแต้มความชอบขั้นหนึ่งหาได้ยากที่สุด แล้วลดหลั่นกันลงไป

จิตเทพของสวี่ชิงกวาดไป สุดท้ายก็กวาดอ่านไปทางข้อมูลการแลกมรดก หาเขาประกายอรุณที่อยู่ในนั้นเจอ

“สามล้านแต้มกองทัพและแต้มความชอบระดับสาม สามารถแลกการสัมผัสรับรู้เขาประกายอรุณได้ครั้งหนึ่ง”

อ่านข้อมูลพวกนี้ ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววมุ่งมั่น

“ต้องหาทางเอาแต้มกองทัพมาให้ได้!”

ภาพเดียวกันนี้เกิดขึ้นทางนายกองทางนั้นเช่นกัน นายกองตอนนี้อยู่ในที่พักของตัวเอง นวดหว่างคิ้วไปด้วย สัมผัสรับรู้ข้อมููลการแลกเปลี่ยนในกระบี่อาญาสิทธิ์ไปด้วย ดวงตาค่อยๆ วาวโรจน์ขึ้นมา

“ของดีมากมายถึงเพียงนี้เชียว!”

หลังจากที่ลมหายใจของเขาหอบถี่ไปเล็กน้อย ก็จับเป้าหมายไปที่การแลกเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิพวกนั้น เมินเรื่องอื่นๆ จับจ้องแต่หัวข้อนี้หัวข้อเดียว ในดวงตาฉายแววปรารถนามุ่งมั่นอย่างไม่เคยมีมาก่อน

‘ประกาศิตมรรคาโบราณผนึกธรรม เสี้ยววิชา!

‘เคล็ดวิชาที่ข้าตามหามานานมากอยู่ที่เขตปกครองผนึกสมุทรจริงๆ ด้วย!’

ในตานายกองฉายแววยึดมั่นแรงกล้าออกมา ในรูม่านตายิ่งมีใบหน้าของตัวเองอีกดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ลืมตาเหมือนกัน ฉายความบ้าคลั่งออกมา

นานจากนั้นเขาถึงพอจะสะกดความปรารถนาในใจลงไป สูดลมหายใจลึก มองไปทางที่พักของสวี่ชิง

“อาชิงน้อย ศิษย์พี่ใหญ่บอกแล้ว่าชาตินี้ร่วมเดินทางไปกับเจ้า ก็จะต้องพยายามให้มากที่สุดไปทำให้ได้

“ขอแค่เอาผนึกธรรมนี้มาได้ ข้าก็จะสามารถ…เดินทางร่วมกับเจ้าในชาตินี้ได้แล้วจริงๆ”

นายกองพึมพำ

หลังจากการปฏิญาณคำสัตย์ของผู้ครองกระบี่จบสิ้นลง ในเช้าวันที่สาม การฝึกลับของผู้ครองกระบี่เจ็ดวันก็เริ่มขึ้น

สถานที่การฝึกฝนลับอยู่ในวังครองกระบี่เช่นกัน อยู่ที่ตำหนักประสิทธิ์วิชาในอีกด้านหนึ่ง

ตอนเช้า จากการมาถึงของการฝึกลับ ผู้ครองกระบี่หน้าใหม่ห้าสิบเอ็ดคนของครั้งนี้ไม่มีใครมาสาย ทุกคนต่างนั่งตัวตรงตั้งใจในตำหนักประสิทธิ์วิชา

ตำหนักประสิทธิ์วิชาไม่เหมือนกับตำหนักอื่นๆ ในนี้มีโต๊ะมากมาย จัดวางเหมือนห้องเรียน

สวี่ชิงนั่งอยู่ทางขวาในตำหนัก อยู่ข้างหลังนายกอง

ด้านซ้ายของเขาคือชิงชิว ด้านขวาคือข่งเสียงหลง

ชิงชิวไม่สนใจสวี่ชิงเหมือนเดิม ข่งเสียงหลงนั้นยิ้มให้สวี่ชิง เอ่ยขึ้นอย่างเป็นมิตร

“ฝึกลับเช่นนี้ตอนที่ข้าเป็นข้ารับใช้ก็เคยเรียนมาก่อน หลายปีมานี้ในการทำภารกิจให้สำเร็จก็มีประโยชน์ไม่น้อย สวี่ชิงหากเจ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็ถามข้าได้”

สวี่ชิงประสานหมัดคารวะ นายกองที่อยู่ข้างหน้าหันมามองสวี่ชิงแวบหนึ่ง

“ศิษย์น้องเล็กถามข้าก็ได้เหมือนกัน”

ข่งเสียงหลงยิ้ม ไม่พูดอะไร

สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง พยักหน้าหงึกๆ

นายกองพอใจ กำลังจะเอ่ยต่อ แต่เสี้ยวขณะต่อมาเขาก็หันไปนั่งตัวตรงอย่างรวดเร็ว ผู้ครองกระบี่คนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน เพราะข้างนอกตำหนักตอนนี้มีคนคนหนึ่งเดินมา

คนคนนี้อายุกลางคน สวมชุดนักพรตสีดำ ร่างผอมแห้ง สีหน้าเหลืองซีด ทำให้คนรู้สึกเหมือนป่วยกระเสาะกระแสะ พลังบำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิด ตอนนี้กำลังเดินมาด้วย ไอมาด้วย

จนเดินผ่านโต๊ะแต่ละตัวๆ ในตำหนัก มายืนอยู่ข้างหน้าสุด เขาก็นั่งบนเก้าอี้ เงยหน้ามองคนทั้งหลายในตำหนัก

“ตอนที่ข้าพูด ไม่ชอบถูกขัดจังหวะ ดังนั้นในพวกเจ้าหากมีใครฟังไม่เข้าใจ…นั่นหมายถึงว่าความสามารถในการเรียนรู้ของเจ้าไม่พอ

“หากมีคนขัดตอนข้าพูด เช่นนั้นข้าจะเชิญเจ้าออกไป

“ใช่แล้ว พวกเจ้าเรียกข้าว่าผีขี้โรคได้ ข้ารับผิดชอบถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับซ่อนสิ่งของของผู้ครองกระบี่ให้กับพวกเจ้า” ผีขี้โรคไออีกครั้ง ครั้งนี้ไอหนักมาก กระอักออกมาเป็นเลือดสดๆ

จากเลือดที่กระอักออกมา ยังมีพิษที่ซ่อนอยู่ในกลิ่นเลือดด้วย…ในตอนนี้กำลังลอยตลบอวลอย่างเงียบงันไร้ร่องรอย

สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท