สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 811 ตัวตนของนักบวช

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 811 ตัวตนของนักบวช

เหตุพลิกผันที่เกิดกะทันหันนี้ทำให้กู้เจียวกับกู้เฉิงเฟิงพากันตื่นตะลึง

กู้เฉิงเฟิงรู้จักนิสัยหลงอีดี คนผู้นี้ไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าใกล้ หากมิใช่เซียวเหิงกับเจ้าเด็กนี่ทางที่ดีอย่าไปล่วงเกินเขาดีกว่า

เหลี่ยวเฉินเสียสติไปแล้วรึ

นึกไม่ถึงว่าจะกล้าแย่งของของหลงอี

ไม่สิ เหตุใดเขาต้องแย่งของของหลงอีด้วย

แถมเขายังดึงหน้ากากหลงอีออกอีก!

หลงอี…

สายตาของกู้เฉิงเฟิงตกลงบนใบหน้าหล่อเหลาของหลงอีโดยไม่รู้ตัว

“อ๊ะ…”

เขาพลันตื่นตะลึง

ที่แท้หลงอีก็หน้าตาเช่นนี้เองหรือ เขาหลงนึกมาตลอดว่าที่องครักษ์หลงอิ่งสวมหน้ากากไว้เพราะอัปลักษณ์ ที่แท้ก็เพราะรูปงามเช่นนี้นี่เอง ช่างหล่อเหลาเอาการจนนึกไม่ถึงว่าจะมีอยู่ในโลกนี้แล้วกระมัง

ความหล่อของหลงอีเป็นความหล่อแบบชาวยุทธ์ห้าวหาญ ทว่าไม่ได้ขาดกลิ่นอายดุจปุถุชนบนโลกาเลย ซ้ำยังมีความซื่อเซ่อธรรมชาติของยอดฝีมือเจืออยู่เป็นส่วนมากด้วย

กู้เฉิงเฟิงมองหลงอี แล้วหันมามองเหลี่ยวเฉิน อดพึมพำอยู่ในใจไม่ได้ว่า นี่มันเรื่องอะไรกันนี่ ยอดฝีมือสมัยนี้ อาศัยใบหน้ากันหรอกหรือ

พวกเขามีรูปโฉมเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้ข้าดูดดาษดื่นอย่างชัดเจนเลยน่ะสิ

กู้เฉิงเฟิงฟุ้งซ่านไปไกล อันที่จริงเขาไม่คิดว่าสองคนนี้จะสู่กันต่างหาก

“เอาละ เอาละ อาจารย์ของจิ้งคง หากเจ้าอยากดูของของหลงอี เจ้าต้องบอก…เจ้าเด็กนี่ ให้นางไปขอมาจากหลงอี เข้าใจหรือไม่” เขาหันหน้าไปหาใช้มือป้องปากกระซิบกับเหลี่ยวเฉิน “ข้าจะบอกให้นะ หลงอีค่อนข้างขี้ตืดน่ะ”

ทว่าในสมองเหลี่ยวเฉินไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีกต่อไป แววตาเขาเต็มไปด้วยไอสังหารที่แม้แต่กู้เจียวยังไม่เคยเห็นมาก่อน ต่อให้เป็นตอนองครักษ์เสื้อแพรของจวนไท่จื่อ เขาก็ไม่เคยมีไอสังหารพวยพุ่งเช่นนี้

กูเจียวมองเหลี่ยวเฉินอย่างแปลกใจ

เหลี่ยวเฉินลุกขึ้นยืนบนพื้นที่เขาล้มเมื่อครู่ สายตาจ้องหลงอีเขม็ง

ยามนี้ หลงอีสวมหน้ากากกลับคืนแล้ว

แต่มันมีประโยชน์รึ

ใบหน้าดวงนั้น เขาจำไว้แล้ว!

“ข้าจะฆ่าเจ้า!” เขากระทืบส้นเท้า ทะยานตัวขึ้น ใช้ท่าไม้ตายโจมตีหลงอีหมายจะเอาชีวิต

กู้เฉิงเฟิงสีหน้าพลันเปลี่ยน “เฮ้ย เฮ้ย ไม่กระมัง เจ้าเอาจริงรึ หลงอีแค่ผลักเจ้านิดหน่อยเองนะ ไม่ถึงขั้นต้องลงไม้ลงมือกระมัง เจ้าเป็นคนแย่งของของเขาก่อนเองนะ!”

คนหนึ่งเป็นอาจารย์ของจิ้งคง คนหนึ่งคือหลงอี ล้วนเกลี้ยกล่อมยากกันทั้งคู่

…ไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าวรยุทธ์ของตนต่ำเตี้ยเรี่ยดินเกลี้ยกล่อมคนเขาไม่ได้

เหลี่ยวเฉินโจมตีด้วยกำลังทั้งหมด นึกไม่ถึงว่าจะต้อนให้หลงอีถอยไปหลายก้าวจริงๆ

เหลี่ยวเฉินเกิดจิตสังหารขึ้นมาจริงๆ ใช้กำลังภายในทั้งหมด เขาแสดงฝีมือเหนือจินตนาการออกมาหมายจะสังหารหลงอีให้ได้

หลงอีไม่ได้รับคำสั่งให้สังหารเหลี่ยวเฉิน จึงยังไม่แผ่จิตสังหารเท่าใดนัก ส่วนมากจะป้องกันเป็นหลัก

เหลี่ยวเฉินบีบคั้นทุกฝีก้าว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ทั้งคู่ได้บาดเจ็บกันหมดแน่

“หยุดนะ!” กู้เจียวพุ่งเข้าไป

“เจ้าหลบไป!” เหลี่ยวเฉินใช้สายตาเดือดดาลจ้องมอง สะบัดแขนเสื้อปล่อยกำลังภายในสายหนึ่งสะเทือนกู้เจียวไปด้านข้าง

ฝ่ามือนี้ไม่ได้ทำอันตรายกู้เจียว แต่เมื่ออยู่ในสายตาหลงอีแล้ว กลับกลายเป็นการโจมตีกู้เจียว กลิ่นอายของหลงอีพลันเปลี่ยนในพริบตา เมื่อเหลี่ยวเฉินโจมตีใส่เขาอีกหน เขาก็ไม่ได้หลบเลี่ยงอีก แต่ซัดฝ่ามือใส่โดยตรง!

หมัดปะทะกับฝ่ามือ ระเบิดกำลังภายในอันน่าสะพรึงสายหนึ่งขึ้นบนถนน

กู้เฉิงเฟิงเบี่ยงปลายเท้า เศษหินที่ถูกกำลังของทั้งคู่สั่นสะเทือนร่วงกราวลงมายังที่ที่เขายืนเมื่อครู่นี้

เหลี่ยวเฉินกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง หลงอีก็ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยเช่นกัน

หากประมือกันในยามปกติ เหลี่ยวเฉินทำร้ายหลงอีไม่ได้แน่ แต่ความแค้นฝังลึกกระตุ้นกำลังของเขาทั้งหมดแล้ว เขาคิดจะตายกันพร้อมกับหลงอีเลย

“พวกเจ้าสองคน ออกจากที่นี่ไป!”

เขาไม่อยากทำร้ายผู้บริสุทธิ์

“หลงอี พวกเรากลับกัน” กู้เจียวเอ่ยกับหลงอี “ไม่ต้องสู้กับเขาแล้ว”

ไอสังหารของหลงอีพุ่งขึ้นไว ครั้นหายไปก็ไวเช่นกัน กู้เจียวบอกว่าไม่สู้ เช่นนั้นก็ไม่สู้แล้ว

เหลี่ยวเฉินทอดมองแผ่นหลังหลงอีด้วยสายตาวาวโรจน์ “เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”

เหลี่ยวเฉินทะยานตัวขึ้น เคลื่อนกำลังภายในทั้งหมดให้กลายเป็นพลังรุนแรงดุจพยัคฆ์ร้ายพุ่งเข้าซัดแผ่นหลังหลงอีอย่างแรง!

กู้เจียวบอกแล้วว่าไม่ให้สู้

เขาจึงไม่แตะต้องอีกฝ่ายเหมือนตอนที่เซียวเหิงยังเด็กๆ เล่นกับเขา เขาก็อยู่นิ่งๆ เป็นชั่วยามจริงๆ

แววตาเหลี่ยวเฉินมีประกายตกใจวาบผ่าน คนผู้นี้ไม่โต้คืนหรือ จะรับฝ่ามือนี้ของเขาทั้งอย่างนี้เลยหรือ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือเก่งกาจเพียงใด โดนฝ่ามือนี้ซัดไปล้วนอันตรายถึงหัวใจทั้งสิ้น!

หลงอีไม่ได้ลงมือเลย

เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของเหลี่ยวเฉินใกล้จะสัมผัสแผ่นหลังเขา สะเทือนทำร้ายหัวใจเขา

ทันใดนั้น เสียงเล็กๆ น่ารักน่าเอ็นดู (ดุจปีศาจร้าย) ก็ดังขึ้นตรงหัวถนน “อาจารย์!”

เหลี่ยวเฉินกลิ่นอายทั่วร่างพลันชะงักงัน ร่วงผล็อยลงจากนภากาศ ล้มหน้าทิ่มดิน!

เสี่ยวจิ้งคงปล่อยมือของเซียวเหิงออก วิ่งตึงตังไปหา “เจียวเจียว! หลงอี!”

เขาทักทายทั้งคู่เสร็จก็หันหลังกลับ นั่งยองๆ ลง งอกเป็นเห็ดน้อยข้างกายอาจารย์ “ท่านอาจารย์ เหตุใดจึงล้มหน้าคว่ำอีกแล้วเล่า”

เหลี่ยวเฉินหน้าคว่ำทิ่มพื้น สองมือจิกพื้นแน่น กัดฟันตัวสั่นสะท้าน

เหตุ ใด ข้า จึง ล้ม หน้า คว่ำ เจ้า ไม่ รู้ แจ้ง แก่ ใจ เลย หรือ ไร!

เจ้าเณรน้อย!

วันๆ เจ้าไม่ทำข้าขายหน้ามันจะตายใช่หรือไม่!

“ท่านเป็นผู้ใหญ่แล้วนะ อย่างไรข้าก็ไม่มีแรงพยุงท่านหรอก อาจารย์ท่านผู้เฒ่าลุกขึ้นมาเองก็แล้วกัน!” เอ่ยจบ เจ้าหนูน้อยก็ทิ้งอาจารย์ทันที วิ่งไปหากู้เจียวอย่างเบิกบานแล้ว

เหลี่ยวเฉิน “…!!”

ศิษย์โตแล้วเลี้ยงได้แต่ตัวจริงๆ !

กู้เจียวลูบหัวน้อยๆ ของเขาไปมา ก่อนหันไปมองเซียวเหิงที่เดินมาทางนี้ พลางถาม “พวกเจ้ามากันได้อย่างไร”

เซียวเหิงเลิกคิ้วมองไปทางเจ้าหนูน้อยแวบหนึ่ง

เจ้าหนูน้อยส่ายหน้ารัว เอ่ยด้วยใจคิดปกปิด แต่กลับยิ่งทำความแตก “ข้าเปล่าอยากกินถังหูลู่นะ!”

หลงอียามนี้เห็นเซียวเหิงกับเสี่ยวจิ้งคงอยู่ด้วยกันก็คงไม่คิดบุ่มบ่ามลงมืออีกแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้ปฏิบัติต่อเสี่ยวจิ้งคงอย่างที่ปฏิบัติกับเซียวเหิงตอนเด็กๆ อยู่ดี มีเพียงตัวเขาเองที่รู้แจ้งแก่ใจ

“หลงอี เจ้ากับจิ้งคงขึ้นรถม้าไปก่อน” เซียวเหิงเอ่ยกับหลงอี

หลงอีหนีบเจ้าหนูน้อยขึ้นมา ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ขึ้นไปบนรถม้าของเซียวเหิง

รถม้าของเซียวเหิงจอดอยู่ข้างรถม้าของไท่จื่อ ครั้นหลงอีเดินผ่านรถม้าของไท่จื่อไป ไทจื่อบังเอิญรู้สึกตัวขึ้นช้าๆ กำลังจะร้องตะโกนเรียกให้คนช่วย หลงอีก็ซัดกำลังภายในออกไปโดยที่ไม่เหลือบตาขึ้นมองสักนิด ฟาดไท่จื่อให้สลบไปอีกหน

หลงอีอุ้มเสี่ยวจิ้งคงขึ้นไปนั่งบนรถม้า

ภายในตรอกเหลือเพียงเซียวเหิง กู้เจียว กู้เฉิงเฟิงและเหลี่ยวเฉิน สี่คน

เหลี่ยวเฉินยันร่างที่เกือบล้มจนแหลกลาญลุกขึ้นยืน การต่อสู้กับหลงอีไม่ได้ทำให้เขาเสียโฉมเลยสักนิด ทว่ากลับถูกเสียงร้องตะโกนของเจ้าลูกศิษย์ทำเอาจมูกช้ำหน้าบวมแทน

มีเช่นนี้ที่ไหนกัน

เขายกมือขึ้นเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปากทิ้ง มองทั้งสามคนตรงหน้าอย่างเย็นชา “พวกเจ้ามีความสัมพันธ์เช่นไรกับไอ้คนที่มีนามว่าหลงอีกันแน่”

กู้เจียวหน้าจริงจังเอ่ยกับเหลี่ยวเฉิน “เขาเป็นสหายของพวกเรา”

“สหายรึ” เหลี่ยวเฉินมองเสี่ยวจิ้งคงนั่งโคลงศีรษะอย่างอามรณ์ดีอยู่บนรถม้า หลงอีปกป้องอยู่ข้างกายเสี่ยวจิ้งคงเงียบๆ ก็กำหมัดแน่น เอ่ย “คนอย่างเขาก็คู่ควรจะมีสหายด้วยรึ!”

เซียวเหิงขมวดคิ้วน้อยๆ

กู้เจียวเอ่ย “เหมือนว่าเจ้าจะรู้จักหลงอีนะ ซ้ำยังรู้อดีตของหลงอีด้วย”

เหลี่ยวเฉินเอ่ยเสียงเย็น “ข้าย่อมรู้จักเขาอยู่แล้ว! ต่อให้เขากลายเป็นเถ้าธุลีข้าก็จำได้!”

เซียวเหิงจ้องมองเขานิ่งพลางเอ่ย “อันที่จริงข้าอยากรู้ตัวตนของเจ้ามาโดยตลอด เจ้าไม่มีทางไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเซวียนหยวน แต่ข้าก็หาเจ้าในภาพเหมือนและลำดับวงศ์ตระกูลเซวียนหยวนไม่เจอ องค์หญิงสามกับอันกั๋วกงก็ไม่เคยได้ยินคนที่ชื่อเซวียนหยวนเจิงมาก่อน ดังนั้นแล้ว เจ้าเป็นใครกันแน่”

เหลี่ยวเฉินแค่นเสียงเอ่ย “ข้าเป็นใครไม่สำคัญ หากเจ้าอยากให้จิ้งคงรอด ทางที่ดีก็ให้ข้าฆ่าเขาเสีย!”

เขาไม่ได้บอกว่าให้เซียวเหิงกับกู้เจียวไปฆ่า เพราะกู้เจียวบอกไว้แล้ว ว่าหลงอีเป็นสหายของพวกนาง เช่นนั้นเขาก็ไม่ให้กู้เจียวต้องลำบากใจ

เขาลงมือเองก็ได้!

เซียวเหิงชำเลืองมองเหลี่ยวเฉินพลางเอ่ย “เจ้าฆ่าเขาไม่ได้หรอก”

เขาเป็นคนที่หลงอีเลี้ยงมาจนโต ความผูกพันของเขากับหลงอีอยู่เหนือความสัมพันธ์นับพันในโลก เขาไม่มีทางยืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับหลงอีเด็ดขาด

และเขาก็ไม่มีทางอนุญาตให้ผู้ใดทำร้ายหลงอีด้วย

ดวงตาดอกท้อคู่งามของเหลี่ยวเฉินเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น “คืนนี้ข้าฆ่าไม่ได้ แต่ต้องมีสักวันที่ข้าได้ฆ่าเขาด้วยมือตัวเองแน่!”

กู้เจียวเอ่ย “เขาจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้แล้ว”

เหลี่ยวเฉินหัวเราะเสียงเย็น “อย่างนั้นรึ เช่นนั้นข้าก็ไม่แปลกใจหรอก มิน่าเล่า มือสังหารเลือดเย็นคนหนึ่งจึงกลายมามีสภาพเยี่ยงปัจจุบันนี้ได้ แต่ต่อให้เขาลืมไปแล้ว ก็ไม่อาจลบล้างความชั่วที่เขาเคยก่อไว้ได้หรอกนะ พวกเจ้าให้เขาระวังตัวไว้หน่อย ชีวิตของเขา เป็นของข้าแล้ว!”

เขาเอ่ยจบก็หันหลังเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย

กู้เฉิงเฟิงทอดมองมุมถนนอันว่างเปล่า พลางลูบอกป้อยๆ เอ่ยอย่างฉงน “เกิดอะไรขึ้น อาจารย์ของจิ้งคงเป็นศัตรูคู่แค้นกับหลงอีอย่างนั้นรึ”

กู้เจียวกับเซียวเหิงพากันหันไปมองทางที่เหลี่ยวเฉินจากไป กู้เจียวเอ่ย “เหมือนว่าเขาไม่คิดจะเอ่ยถึงเรื่องราวในตอนนั้นให้พวกเราฟังนะ”

เซียวเหิงสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย “เพราะว่านั่นเป็นความทรงจำที่ขมขื่นที่สุดของเขาน่ะสิ”

กู้เจียวส่งเสียงอ้ออย่างฉงน หันหน้ามามองเขา “เจ้ารู้อะไรบางอย่างใช่หรือไม่”

เซียวเหิงก็หันมามองนางเช่นกัน แววตาอ่อนโยนทีเดียว “ข้าก็เพิ่งจะแน่ใจเมื่อครู่นี้เอง ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น”

“เช่นนั้นเจ้าลองว่ามาหน่อย ข้าอยากฟัง” กู้เจียวดึงมือเขามา พลางเอ่ย

เซียวเหิงมองนางอย่างอ่อนโยน กุมมือนางกลับ “ได้สิ”

กู้เฉิงเฟิง นี่ นี่ ตรงนี้ยังมีข้าอยู่นะ พวกเจ้าสองคนอย่าเห็นข้าเป็นอากาศธาตุจะได้หรือไม่ อย่ามาเกี้ยวพาราสีกันต่อหน้าข้านะ

รถม้าสองคันค่อยๆ เคลื่อนไป ทั้งสองติดตามอยู่ข้างรถม้าคันแรกอย่างไม่รีบไม่ร้อน กู้เฉิงเฟิงนั่งอยู่บนรถม้าคันที่สองกลอกตามองบน

เซียวเหิงกระซิบเสียงเบา “คงต้องเริ่มเล่าตั้งแต่สามสิบปีก่อน ตระกูลเซวียนหยวนตอนนั้นแม้จะเป็นตระกูลที่มีอำนาจทางการทหาร แต่ก็ยังไม่ได้แข็งแกร่งเท่าในรุ่นหลัง”

กู้เจียวพยักหน้า “เรื่องนี้ข้าเคยได้ยิน ตระกูลเซวียนหยวนค่อยๆ ยิ่งใหญ่ขึ้นด้วยมือของเซวียนหยวนลี่ ค่ายเฮยเฟิงก็ได้เซวียนหยวนลี่เป็นคนสร้าง”

เซียวเหิงส่ายหน้า “แต่ความจริงแล้วไม่ใช่”

“หืม” กู้เจียวมองเขาอย่างนิ่งอึ้ง

เซียวเหิงยิ้มพลางลูบผมกระจุกน้อยน่าเอ็นดูที่กระดกขึ้นบนหัวนาง ก่อนจะเล่าต่อ “ผู้สร้างค่ายเฮยเฟิงขึ้นเป็นคนอื่น และคนที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลเซวียนหยวนก็ไม่ใช่เซวียนหยวนลี่ แต่เป็นเจ้าของคนแรกของค่ายเฮยเฟิง และเป็นเจ้าแห่งเงาทมิฬของตระกูลเซวียนหยวน นี่ต่างหากคือจิตวิญญาณที่แท้จริงของตระกูลเซวียนหยวน”

กู้เจียวลูบคาง “เจ้าแห่งเงาทมิฬอย่างนั้นรึ ฟังดูแล้วเจ๋งทีเดียว เป็นคนอย่างไรหรือ”

เซียวเหิงเอ่ย “เป็นคนอย่างไรไม่ค่อยแน่ชัด รู้เพียงว่าเขาก็เป็นผู้ก่อตั้งตำหนักกั๋วซือเช่นกัน”

กู้เจียวนึกถึงภาพเหมือนไร้ใบหน้ารูปนั้นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จะเป็นคนผู้นั้นหรือไม่นะ

หากเป็นเขาละก็ เช่นนั้นเขาก็ต้องเป็นรูปปั้นคนที่สามที่นั่งอยู่ด้วยกันกับเซวียนหยวนลี่และกั๋วซือแน่ๆ

นางจำได้ว่ากั๋วซือเคยบอกไว้ว่า คนผู้นั้นเป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหาย

เซียวเหิงเห็นนางตั้งอกตั้งใจฟัง จึงเล่าต่อ “เจ้าแห่งเงาทมิฬไม่เคยปรากฏตัวในที่แจ้ง แต่เขาเป็นคนประพันธ์ตำราแคว้นเยี่ยนทั้งหกขึ้น และเขาก็ก่อตั้งตำหนักกั๋วซือด้วย รวมถึงค่ายเฮยเฟิงด้วยเช่นกัน และนอกจากนี้เขายังทิ้งทรัพย์สมบัติไว้นับอนันต์ด้วย เขากับเซวียนหยวนลี่ออกศึกทั่วทุกสารทิศ แต่เขามักอยู่ในที่ลับ และไม่ทิ้งนามไว้ในสนามรบ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงคิดว่าเขาเป็นแค่ทหารที่เก่งกาจคนหนึ่งเท่านั้น จึงไม่ใคร่จะใส่ใจมากนัก”

ทว่าความลับนี้ย่อมมีคนล่วงรู้เข้าสักวัน

ราชวงศ์จิ้นและราชวงศ์เหลียงเริ่มคิดหาทุกวิถีทางเพื่อดึงตัวเขามาเป็นพวก ดึงไม่สำเร็จก็ตัดสินใจจะกำจัดเขาทิ้ง

ใครจะคิดว่ามีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ เขาก็หายตัวไป

ผู้คนต่างเดาว่า หากเขาไม่ตายไปแล้ว ก็คงหาสถานที่หลบซ่อนตัว

กู้เจียวถาม “เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเหลี่ยวเฉินรึ” แม้นางจะฝันเห็นอยู่ส่วนหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด อย่างน้อยๆ ส่วนที่เกี่ยวข้องกับเหลี่ยวเฉิน ก็มีเพียงจุดจบ ไม่ได้มีเรื่องราวเป็นมาในอดีตด้วย

เซียวเหิงหยุดเว้น ก่อนเอ่ย “บิดาของเหลี่ยวเฉินก็คือเจ้าแห่งเงาทมิฬรุ่นที่สอง”

กู๋เจียวถาม “บุตรชายของคนผู้นั้นน่ะหรือ”

เซียวเหิงส่ายหน้าอีกหน “ไม่ใช่ คนผู้นั้นไม่ใช่คนในตระกูลเซวียนหยวน แต่บิดาของเหลี่ยวเฉินนั้นใช่ เพียงแต่เจ้าแห่งเงาทมิฬจะเคลื่อนไหวในนามเงาทมิฬ ไม่อาจแสดงตัวในที่แจ้ง นี่เป็นกฎที่เขาตั้งไว้ น้องชายแท้ๆ ของเซวียนหยวนลี่อย่างเซวียนหยวนฉี แกล้งตายมาเป็นเจ้าแห่งเงาทมิฬรุ่นที่สองของตระกูลเซวียนหยวน มีเพียงประมุขแต่ละรุ่นของตระกูลเซวียนหยวนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ล่วงรู้ในอำนาจลับนี้ ด้วยเหตุนี้อันกั๋วกง แม่ข้า หรือกระทั่งบุตรชายสายตรงของเซวียนหยวนลี่อย่างเซวียนหยวนเฉิงจึงไม่รู้เรื่องราวใด”

“เมื่อยี่สิบปีก่อน เซียวหยวนฉีพาเซวียนหยวนเจิงที่อายุเพียงแปดปีไปตามหาสมุนไพรชนิดหนึ่งที่แคว้นเจา ระหว่างทาง เซวียนหยวนฉีโดนไล่ล่า เสียชีวิตลง”

“ดูจากปฏิกิริยาของเหลี่ยวเฉินแล้ว มือสังหารคนนั้น…ก็คือหลงอี”

แม้ว่าหลงอีจะสังหารเซวียนหยวนฉีไป แต่ก็แลกด้วยราคามหาศาล อย่างการสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป กลายเป็นคนไม่เต็มเต็ง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท