รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 1020 หลี่จิ่วเต้า ‘ฝนตกหนักแล้ว!’

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

บทที่ 1020 หลี่จิ่วเต้า ‘ฝนตกหนักแล้ว!’

‘หลินเฉิน’ ลงมือ สยดสยองล้นฟ้าโดยมิได้ยั้งมือแม้แต่น้อย ค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งคลี่ออกทันใด คลื่นริ้วค่ายกลน่าพรั่นพรึงโลดแล่นออกมาอย่างรุนแรง ถักทอเป็นพลังวิถีเกินหยั่ง ฟ้าดินร่วมกู่ร้อง พสุธาร่วมสั่นไหว!

นี่คือค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่ง ควบคุมได้หมื่นวิถี ขั้นตอนการสลักนั้นสลับซับซ้อน วัสดุที่ต้องใช้หายากเหลือแสน ซ้ำยังเป็นจำนวนมากจนจินตนาการไม่ออก

ครานั้น ยามผู้เบิกทางท่านนั้นกางค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งนี้ตั้งใจอย่างยิ่ง อีกทั้งทุ่มเทแรงใจมหาศาล

หากมิใช่เช่นนั้น มันคงไม่มีความมั่นใจ

“ฝน…จะตกแล้วหรือ”

หลี่จิ่วเต้าแหงนสายตามอง เห็นว่าฟ้าร้องไม่หยุด เมฆครึ้มปกคลุม คล้ายว่าพายุฝนกำลังจะมา

ทว่าเขามองไม่เห็น ‘หลินเฉิน’

และ ‘หลินเฉิน’ เองก็ไม่ได้บุกประชิด หากแต่ยืนตระหง่านบนยอดเขาซึ่งห่างออกไป แล้วสำแดงค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งบนนั้น

หลี่จิ่วเต้ายิ้มน้อย ๆ ไม่ได้ย้อนกลับไป หากแต่นำร่มออกมาคันหนึ่งแล้วกางออก

นี่คือร่มกระดาษมัน ดูแล้วดาษดื่นเหลือแสน เหมือนเป็นร่มที่ปุถุชนทั่วไปใช้กัน

“นี่ไม่ใช่ร่มกระดาษมันธรรมดา หากแต่แลกมาจากบรรพจารย์ฝู”

หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม ตั้งจิตอธิษฐาน ร่มคันนี้พลันขยายตัวอีกหลายเท่า มีขนาดใหญ่ยักษ์เท่าศาลา

เขาคลายมือ ร่มกางค้างด้วยตนเองนิ่งไม่ไหวติง

“ทิวทัศน์กลางสายฝนสุนทรีย์ไปอีกแบบ”

หลี่จิ่วเต้าไพล่สองมือไปข้างหลัง ยืนอยู่บนยอดเขาชื่นชมทัศนียภาพรอบ ๆ กลับยิ่งตั้งตารอพายุฝนที่กำลังมาถึง

มีร่มหมื่นแปรอยู่ เขาไม่นึกกังวลว่าฝนจะตกหนักเพียงใด และไม่ต้องวิตกว่าลมกรรโชกแรงแค่ไหน ไม่ว่าพายุฝนรุนแรงปานใด ร่มหมื่นแปรก็บังไว้ได้ทั้งสิ้น

“ใช้ได้นี่ เขาท้าทายข้าระยะไกลหรืออย่างไร”

‘หลินเฉิน’ แสยะยิ้มเย็น ตำแหน่งของมันห่างจากตำแหน่งของหลี่จิ่วเต้าไกลโข

ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามัน ระยะห่างเท่านี้หาใช่เรื่องใหญ่ ไม่ต่างอันใดจากการได้สัมผัสหลี่จิ่วเต้าในระยะใกล้

มันมองเห็นท่าทางของหลี่จิ่วเต้าชัดเจน อีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบนิ่ง สองมือไพล่หลัง ดูแล้วไม่เห็นมันอยู่ในสายตาสักนิด

แน่นอนว่ามันไม่คิดว่าหลี่จิ่วเต้ามองไม่เห็นมัน ไม่รู้ว่ามีมันอยู่

หลี่จิ่วเต้าเป็นตัวตนเหนือล้ำขีดขั้นสิบห้าอย่างไม่ต้องสงสัย ไฉนเลยจะไม่รู้ว่ามีมันอยู่ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่ามันสำแดงค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งอย่างยิ่งใหญ่ปานนี้

มันคิดว่าหลี่จิ่วเต้าท้าทายมันระยะไกล กางร่มหมายจะใช้ร่มคันนี้ประชันอาคมกับมัน

“โอหังยิ่งนัก แน่นอนว่าเจ้ามีต้นทุนให้โอหัง ทว่าหากบังอาจดูแคลนข้าเพราะเหตุนี้ มองว่าร่มกระดาษเส็งเคร็งนี่จะหยุดยั้งค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งได้ เจ้าคงไร้เดียงสาเกินไปแล้ว!”

มันหัวเราะเสียงเย็น มั่นใจในค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งเหลือแสน

“กางร่มรึ เช่นนั้นข้าขอจัดพายุฝนให้เจ้าก่อนแล้วกัน”

มันเริ่มโจมตี ค่ายกลอันดับหนึ่งส่งเสียงกัมปนาท สายฟ้าพาดผ่านนภา ฟาดผ่าหลี่จิ่วเต้าในบัดดล!

“ใช้ได้นี่ น้ำตกอสนีบาตตระการตาเพียงนี้เชียว”

หลี่จิ่วเต้าจ้องมองสายฟ้าท่วมฟ้าอย่างนึกโชคดีที่ไม่ได้กลับไป หาไม่แล้วคงต้องพลาดทิวทัศน์ตระการตาเช่นนี้ไปแน่

ครืนคราน!

บนผืนนภาแทบถูกสายฟ้าปกคลุมทั้งหมด ‘หลินเฉิน’ อาศัยค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งสำแดงวิถีอัสนี หมายจะทำลายร่มกระดาษมันที่หลี่จิ่วเต้ากาง

ในสายตาของมัน ร่มกระดาษมันนี้เป็นเครื่องหมายที่หลี่จิ่วเต้าใช้เหยียดหยามมัน

คิดจะยับยั้งค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งด้วยร่มคันเดียวรึ?

หลี่จิ่วเต้าประเมินมันต่ำเกินไป ที่สำคัญคือประเมินค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งต่ำเกินไปแล้ว!

สายฟ้าทั่วฟ้าฟาดผ่า น่ากลัวถึงขีดสุด ทุกสายล้วนแฝงไว้ด้วยพลังเกินหยั่ง ภายในอสนีบาตระดับนี้ สิ่งมีชีวิตล้ำขีดขั้นสิบห้ายังสู้ไม่ได้ ต้องถูกฆ่าในพริบตา

“ตระการตาก็จริงอยู่ ทว่าพลังทำลายล้างสูงเกินไป”

หลี่จิ่วเต้าขมวดคิ้วน้อย ๆ “สกัดสายฟ้าเหล่านี้ไม่ให้ผ่าลงมาได้ดีกว่า”

อสนีบาตถล่มมหาศาลเพียงนี้จะเกิดอันใดขึ้นกับพสุธา ย่อมต้องสะบักสะบอม ยอดเขาและบริเวณต่าง ๆ ก็ต้องถูกทำลายราบคาบใต้อสนีบาตขนาดนี้

เขาไม่ต้องการเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น

หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าทิวทัศน์เช่นไรล้วนหมดสิ้น อาณาจักรนี้ต้องถูกทำลายไปด้วย

เขาตั้งจิต ร่มหมื่นแปรขยายใหญ่ขึ้นทันที ขนาดมโหฬารบดบังอสนีบาตท่วมท้นนภาที่ฟาดผ่าลงมา!

และร่มหมื่นแปรไม่ได้สึกกร่อนแม้เพียงจุดเดียว

“อะ อะไรกัน!”

บนยอดเขาไกล ๆ ‘หลินเฉิน’ สีหน้าอึมครึม คาดไม่ถึงเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้

นั่นมันร่มอะไร เริ่มแรกมันยังมองไม่ออกว่าร่มนี้พิเศษตรงไหน สุดท้ายร่มคันนี้กลับน่าสะพรึงอย่างยิ่งยวด หยุดยั้งอสนีบาตท่วมฟ้าได้โดยไม่มีรอยขีดข่วน!

“ข้ามองผิดไป มิน่าเขาถึงกล้ากางร่มคันนี้ท้าทายข้า”

สีหน้าของมันกลับมาเป็นปกติ ไม่ได้หม่นหมองเพราะการเสียเปรียบครั้งนี้

การต่อสู้เพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น เสียเปรียบแค่นี้หาใช่เรื่องใหญ่

“หุบเถิด”

อีกด้าน หลี่จิ่วเต้าเอ่ยเสียงเบา ร่มหมื่นแปรมโหฬารขนาดเล็กลงในบัดดล เช่นนี้จะได้ไม่บดบังทัศนียภาพ

“ฝนมา!”

บนยอดเขาห่างออกไป ‘หลินเฉิน’ คำราม สายฝนเทห่าลงจากผืนฟ้าทันทีประหนึ่งเขื่อนบนนภาแตก และราวกับธารช้างเผือกระเบิดโพล่ง ฝนตกหนักเหลือเกิน

“จบชีวิตกลางสายฝน ฝนนี้จักปลิดชีพเจ้า!”

เขาหัวเราะเสียงเย็น นี่คือวิถีแห่งฝน หยาดฝนทุกหยดล้วนแฝงไว้ด้วยพลังเกินหยั่ง ทันทีที่ระเบิด เม็ดฝนมากมายเพียงนี้ย่อมทำลายได้ทุกสิ่ง!

“เกิดอันใดขึ้นกับอาณาจักรนี้ ฝนโลกาวินาศหรืออย่างไร”

หลี่จิ่วเต้าตะลึงนิดหน่อย ฝนนี้ตกหนักเกินไปแล้ว ไม่สิ นิยามว่าตกหนักยังไม่พอ ฝนนี้ตกได้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!

หากตกต่อไปเช่นนี้ เพียงไม่นานอาณาจักรนี้คงจะจมลงไปหมด

“ที่จริงมีลางบอกเหตุแต่แรกแล้ว ถึงอย่างไรก่อนนี้ก็ปรากฏสายฟ้านับคณา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พายุฝนธรรมดา”

หลี่จิ่วเต้าเรียกลูกแก้วสุกสกาวเม็ดหนึ่งออกมา ก่อนจะปล่อยออกไป

นี่คือลูกแก้วค้ำทะเล แลกมาจากบรรพจารย์ฝูเช่นกัน

ลูกแก้วค้ำทะเลส่องประกายนุ่มนวล พริบตาเดียวก็ลอยไปอยู่บนห้วงลึกนภา ชั่วขณะนั้น ฝนที่เคยตกหนักจนน่าหวาดหวั่นพลันซาลง

พลังในเม็ดฝนถูกบั่นทอนลงทันที เปลี่ยนไปไม่ต่างจากเม็ดฝนธรรมดา

“แบบนี้ฝนซาเกินไป”

หลังลูกแก้วค้ำทะเลคุมเม็ดฝนไว้ได้ ฝนก็ซาลงอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นหยาดฝนปรอย ๆ หยดลงจากท้องฟ้าแช่มช้า

หลี่จิ่วเต้ารู้สึกว่าฝนซาเกินไป ไม่สาแก่ใจเท่าใด

เขาตั้งจิตให้ลูกแก้วค้ำทะเลขยายเม็ดฝน กลายเป็นพายุฝนปกติ

“ดีขึ้นมาก”

หลี่จิ่วเต้าหัวเราะน้อย ๆ เผยรอยยิ้มพอใจ

เขายืนอยู่บนยอดเขา เชยชมทัศนียภาพกลางพายุฝน จะว่าไปก็ได้ความสุนทรีย์อีกแบบจริง ๆ

บนยอดเขาไกล ๆ ‘หลินเฉิน’ เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าหลี่จิ่วเต้า

“บัดซบ เขาหัวเราะเยาะข้าหรือ”

สายตามันทอประกายดุดัน เอ่ยเสียงเคียดแค้น “ใช้ลูกแก้ววิเศษบั่นทอนพลังเม็ดฝน ควบคุมกฎแห่งพิรุณ อ๊ากกก นี่เขากำลังลองดีกับข้าหรือ!”

จากนั้น มันรีดเร้นพลังค่ายกลพิฆาตอันดับหนึ่งอีกครั้ง

“ข้าขอดูหน่อยว่าเจ้ามีของวิเศษให้ใช้สักเท่าใด!”

มันคำราม “ลมมา!”

ชั่วขณะนั้น สายลมกรรโชกกลายเป็นพายุมหึมา สยดสยองไร้ใดเปรียบ เชื่อมต่อฟ้ากับดินเข้าด้วยกัน โถมทับไปหาหลี่จิ่วเต้าอย่างรวดเร็ว!

ภายใต้แรงโถมทับจากพายุไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้ไหว ล้วนถูกม้วนเข้าไปในพริบตา ก่อนจะถูกบั่นจนแหลกละเอียด!

“พายุหรือ ซ้ำยังรุนแรงปานนี้ เช่นนี้ใช้ไม่ได้ พลังทำลายล้างสูงเกินไป”

หลี่จิ่วเต้าส่ายหัว เขาเพิ่งเคยเห็นพายุน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้เป็นครั้งแรก ใหญ่ยักษ์จนเชื่อมต่อฟ้าและดินเข้าด้วยกัน ทุกที่ที่ผ่านไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ ถูกม้วนเข้าไปจนสิ้น

พายุน่ากลัวเพียงนี้หากไม่เข้าควบคุมย่อมต้องกลายเป็นภัยพิบัติ เขาไม่ต้องการให้เป็นภัยพิบัติเช่นนั้น

“ยันต์คุมวาโย”

เขาปล่อยยันต์แผ่นหนึ่งออกไป ลวดลายบนนั้นดูคล้ายวาดสะเปะสะปะ คดเคี้ยวไปมา อีเหละเขะขะอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าสิ่งนี้แลกมาจากบรรพจารย์ฝูเช่นกัน เปี่ยมไปด้วยพลังไร้ขีดจำกัด บัญชาสายลมได้ทั้งใต้หล้า!

ยันต์คุมวาโยลอยออกไป พริบตาเดียวก็บุกเข้าไปภายในเกลียวพายุ จากนั้นพายุน่าสะพรึงกลัวเหลือคณาก็พลันหายวับไปอย่างรวดเร็ว ถูกควบคุมไว้ได้

หลี่จิ่วเต้ายกมือ ยันต์คุมวาโยลอยกลับเข้าไปในมือเขา

“สมควรตายนัก ล้มเหลวอีกแล้ว กฎแห่งวาโยถูกเขาควบคุมไว้ได้! นั่นมันยันต์อะไร เป็นฝีมือผู้ใดกัน ท่านผู้นั้นร่วมวาดกับศิษย์พี่หญิงหรือไร”

‘หลินเฉิน’ หน้าตาเค่รงขรึม ว่ากันว่ามีหนึ่งมีสองแล้วห้ามมีสาม

ทว่าเขากลับเสียเปรียบล้มเหลวถึงสามครั้ง!

“เลิกเล่นแล้วเริ่มการฆ่าล้างอย่างเป็นทางการดีกว่า!”

สีหน้าของเขาเย็นชา วิถีทั้งสามนี้หาใช่วิถีฆ่าฟัน พลานุภาพมีจำกัด

“กระบี่มา!”

มันคำรามเสียงเบา ประกายกระบี่พลันสว่างไสวขึ้นมาท่วมฟ้า กลายเป็นอาณาจักรแห่งกระบี่ กระบี่สวรรค์ปรากฏออกมานับไม่ถ้วน ทุกเล่มล้วนสยดสยองถึงขีดสุด

มีกระบี่สีดำเปื้อนเลือด มีกระบี่โลหิตแดงฉานประดุจตีด้วยเลือดสด และยังมีกระบี่สีทองซึ่งทอประกายอร่ามทั่วตัวกระบี่ ความน่าครั่นคร้ามของรูปลักษณ์กระบี่ทั้งหลายเผยให้เห็นถ้วนหน้า บุกถล่มใส่หลี่จิ่วเต้า!

“อย่างที่คิด มีผู้บงการจริงด้วย เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ!”

สายตาหลี่จิ่วเต้าเยียบเย็นลง

มีปรากฏการณ์ธรรมชาติน่าสะพรึงเช่นนี้ที่ไหน

เริ่มจากสายฟ้าท่วมนภา ต่อมาเป็นสายฝนกระหน่ำประดุจเขื่อนนภาแตก และยังมีพายุที่เชื่อมฟ้าและดินเข้าด้วยกัน

เขาคาดเดาไว้นานแล้วว่านี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ อาจมีสิ่งมีชีวิตฝึกตนกำลังลงมืออยู่

บัดนี้กระบี่สวรรค์บุกเข้ามาสารพัน ยืนยันได้ว่ามีสิ่งมีชีวิตฝึกตนคอยลงมืออยู่จริง ๆ!

เพราะมันคงไม่มีฝนกระบี่สวรรค์กระมัง!

“หนึ่งกระบี่ส่องสะท้านสิบเก้าโจว หมื่นกระบี่นบนอบพร้อมเพรียง กระบี่ฉุนจวิน เจ้าไปเถิด ดูว่าเจ้าใช่กระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าจริงหรือไม่”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยแผ่วเบา ยกมือเรียกกระบี่ฉุนจวินออกมา

กระบี่ฉุนจวินไม่ได้แลกมาจากบรรพจารย์ฝู กระนั้นก็ถือเป็นยอดศาสตราอย่างแท้จริง ยามมันปรากฏสู่สายตา เคยดึงดูดผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนเข้าแย่งชิง

ต่อมา เขาใช้กระบี่ฉุนจวินสังหารสิ่งมีชีวิตฝึกตนทรงพลังไปไม่น้อย ในใจเขา กระบี่ฉุนจวินถือเป็นกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้าได้แน่นอน

ฟึ่บ!

กระบี่ส่องแสงเจิดจ้า กระบี่ฉุนจวินพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว เจตจำนงกระบี่สะท้านโลกันตร์แผ่พุ่ง มันเปรียบเสมือนจักรพรรดิแห่งกระบี่ จ้าวแห่งกระบี่ ราชันแห่งกระบี่ กฎแห่งวิถีกระบี่เกินหยั่งกู่ร้องโลดแล่นอยู่รอบ ๆ มัน

จากนั้นกระบี่สวรรค์อันนับไม่ถ้วนก็หยุดการจู่โจม สั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับกำลังทำความเคารพกระบี่ฉุนจวิน!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

ลมหายใจต่อมา กระบี่สวรรค์ทั้งหมดแตกสลายกลายเป็นผุยผงร่วงหล่นลงมาประดุจฝนแสง งดงามตระการตา

“สมเป็นกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าจริง ๆ”

หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม ได้เห็นอานุภาพไร้เทียมทานของกระบี่ฉุนจวินอีกครั้ง

ในใจของเขา ตำแหน่งกระบี่อันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าของกระบี่ฉุนจวินมั่นคงขึ้นไม่น้อย

ขณะเดียวกัน ใบหน้า ‘หลินเฉิน’ แปรเป็นสีเขียว

เกิดอะไรขึ้น?

แม้แต่วิถีกระบี่ยังพ่ายแพ้อีกหรือ มิหนำซ้ำกระบี่เล่มนั้นไม่เคยฟาดฟันแม้เพียงครั้งก็เป็นเหตุให้กระบี่สวรรค์นับไม่ถ้วนแหลกลาญ ค่ายกลอันดับหนึ่งสูญเสียการควบคุมต่อวิถีกระบี่!

สีหน้าของมันอึมครึม อะไรกัน ค่ายกลอันดับหนึ่งสามารถบัญชาได้ทุกวิถีในใต้หล้า เหตุใดถึงล้มเหลวติดต่อกัน ราวกับหลี่จิ่วเต้าต่างหากคือจ้าวแห่งหมื่นวิถีในใต้หล้า ควบคุมวิถีทั้งปวงได้ง่ายดาย!

“เช่นนั้นข้าจะสำแดงวิถีทั้งปวงออกไปพร้อมกัน ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะบัญชาได้ทุกวิถี! บางทีข้าอาจดวงตก วิถีที่เลือก ๆ ไว้เป็นรองยอดศาสตราในมือเขาพอดี!”

มันเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ตัดสินใจจู่โจมหมื่นวิถี ไม่ลองไปทีละวิถีแล้ว

“วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้ตระหนักว่าผู้ใดสามารถบัญชาวิถีทั้งปวงในใต้หล้า!”

ค่ายกลอันดับหนึ่งส่งเสียงกัมปนาท กฎระเบียบน่าสะพรึงกลัวปรากฏออกมามากมาย แต่ละวิถีล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพล้างโลกา สิ่งมีชีวิตล้ำขีดขั้นสิบห้ายังต้องหม่นหมองลงใต้เสียงกู่ร้องของหมื่นวิถี ก่อนจะถูกกำจัดไป

หลี่จิ่วเต้าย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท