ตอนที่ 460 ตลาดนัดบนยอดเขา สัตว์ยักษ์กลืนนภา
เมื่อเห็นจี้หยวนพูดด้วยง่ายเช่นนี้ ชายวัยกลางคนตื่นเต้นจนประสานมือไม่หยุด
“ขอบคุณท่านเซียนๆ”
เด็กหนุ่มเด็กสาวด้านข้างกล่าวขอบคุณตามชายวัยกลางคนอย่างต่อเนื่อง
“เอาล่ะ ตามมาเถอะ ห่างจากท่าเรือยอดเขาไม่ไกลแล้ว”
จี้หยวนกล่าวเช่นนี้ เดินนำไปทางท่าเรือยอดเขาพร้อมจูหยวนจื่อก่อน กลุ่มคนด้านหลังรีบตามไป
คนด้านหลังไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป แต่ตามระยะประชิดกลับพบว่าสองคนข้างหน้าเหมือนเดินธรรมดา มือแทบไม่แตะพื้น ไม่เหมือนพวกเขาซึ่งอยู่ด้านหลัง หลายครั้งต้องใช้มือเท้าพร้อมกัน
อีกอย่างยามจี้หยวนกับจูหยวนจื่อเดินผ่าน พวกเถาวัลย์วัชพืชเหมือนเอนอ่อนลู่ตาม พลิ้วผ่านเสื้อผ้าของทั้งสองคนไป แน่นอนว่าตอนนี้คนด้านหลังก็เช่นกัน ไม่ถูกกิ่งไม้วัชพืชหรือเถาวัลย์พุ่มหนามสร้างความลำบากอีก แต่การเดินทางก่อนหน้านี้ สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาลำบากอย่างยิ่ง
“พวกเจ้าทราบตำแหน่งท่าเรือยอดเขาจากที่ไหน เหตุใดต้องไปท่าเรือยอดเขาด้วย”
จี้หยวนหันมองทั้งหกคนซึ่งตามมาติดๆ ก่อนเอ่ยถามลอยๆ ชายวัยกลางคนซึ่งได้ยินคำถามนี้คิดประสานมือรีบกล่าวเสริม
“ยามเดินลัดเลาะข้ามเขาต้องใช้ทั้งมือเท้า อย่ามัวแต่คารวะเลย หากตกลงไปข้าคงไม่ช่วยเจ้า”
“ขอรับๆ”
ชายวัยกลางคนใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อ ปีนเขาพลางกล่าวตอบ
“เรียนท่านเซียน บรรพชนของพวกเราตระกูลเยี่ยนกับตระกูลจงเป็นคนบนทวีปนิรันดร์แห่งอาณาจักรหลางหมิงมาก่อน คนเฒ่าคนแก่เล่าว่าตอนนั้นบรรพชนประสบเคราะห์ใหญ่ หนีภัยหลายเดือน ยามหลงทางกลางป่าลึกกลับเผลอเข้าแดนเซียน นั่นคือท่าเรือเซียนแห่งหนึ่ง ต่อมาขึ้นพาหนะข้ามแดนของเทพเซียนตรงท่าเรือเพื่อหางานทำ ทั้งมีคนลงตรงท่าเรือเซียนบางแห่ง หาสถานที่สงบดำรงชีวิต พวกเราก็คือคนรุ่นหลังของพวกเขา…”
ชายวัยกลางคนตอบอย่างนอบน้อม เล่าภูมิหลังของตระกูลออกมาช้าๆ
จูหยวนจื่อลูบเครากล่าว
“เหตุใดตอนนี้ถึงอยากไปท่าเรือยอดเขาเล่า”
“เรียนท่านเซียน พวกเราใช้ชีวิตอยู่อาณาจักรเจ๋อหนานโดยไม่เลวนัก แต่คืนก่อนหน้านี้ไม่นานได้รับข่าว บอกว่าร้อยปีก่อนบรรพชนพวกเรามีคนฝากตนเป็นศิษย์เข้าจวนเซียน ปัจจุบันต้องการคัดเลือกคนรุ่นหลังซึ่งมีคุณสมบัติโดดเด่นเข้าสู่วิถีเซียน เรื่องนี้ไม่ต่างกับการทะยานฟ้าทางลัด คนรุ่นหลังของตระกูลเยี่ยนกับตระกูลจงแห่งอาณาจักรเจ๋อหนานสิบกว่าครัวเรือนทราบเรื่องแล้วต่างตื่นเต้นมาก สุดท้ายจึงเลือกผู้เหมาะสม ข้าพาเหล่าคนรุ่นหลังมาตามหาท่าเรือยอดเขา ต่อให้มีแผนที่ของบรรพชน ท่าเรือเซียนก็ยังหายาก หากไม่พบท่านเซียนทั้งสอง ไม่แน่ว่าคนธรรมดาอย่างพวกเราอาจต้องวนอีกหลายรอบ”
ความจริงบรรพชนเคยมอบป้ายคำสั่งหนึ่งไว้ ถือเป็นสิ่งที่เซียนเขากวางจันทร์มอบให้ทั้งส่งต่อมาหลายรุ่น น่าเสียดายว่าสูญหายไปแล้ว ได้ยินว่าลูกผู้ดีมีเงินบางรุ่นติดหนี้พนัน ขโมยป้ายคำสั่งตรงศาลบรรพชนไปขาย
ตั้งแต่นั้นมาคนสองตระกูลไม่มีใครกลับมาเขากวางจันทร์อีก หรือพูดว่าไม่มีใครเข้าสู่แดนเซียนสำเร็จ ครั้งนี้ได้รับข่าวจากบรรพชนจึงมาเสี่ยงโชค บรรพชนคุ้มครองบุญพาวาสนาส่งดังคาด
หนึ่งคนบรรลุเซียน สุนัขระกาเยี่ยมวิมาน นี่คือสิ่งที่จี้หยวนสรุปในใจยามฟังคำพูดชายวัยกลางคน แม้ว่าสถานการณ์เช่นนี้อาจต่างกันออกไป แต่พูดโดยรวมคือเอื้อประโยชน์ต่อลูกหลาน
จี้หยวนกับจูหยวนจื่อเจตนาชะลอความเร็วเพื่อดูแลคนด้านหลัง พวกเขาเดินพลางพูดคุย ผ่านไปราวสองชั่วยามทางเขาใต้ฝ่าเท้ากว้างขึ้นโดยไม่รู้ตัว เถาวัลย์พุ่มหนามน่าหงุดหงิดพวกนั้นแทบหายไปสิ้น
ทิวทัศน์โดยรอบงดงามยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกของพวกชายวัยกลางคนคืออากาศที่หายใจสดชื่นขึ้นเรื่อยๆ เสียงน้ำกระทบระลอกหนึ่งดังมา เบื้องหน้ามีลำธารกลางป่ากว้างราวตัวคนสายหนึ่งปรากฏ
“น้ำ!”
เด็กชายคนหนึ่งด้านหลังชายวัยกลางคนร้องออกมาตามจิตใต้สำนึก
จี้หยวนกับจูหยวนจื่อตั้งใจชะลอฝีเท้า หยุดรอริมธาร พวกคนด้านหลังพุ่งตัวมาริมธารทันที
“ดื่มน้ำๆ”
“น้ำใสสะอาดนัก!”
“รวมตัวจากน้ำพุ ไม่เป็นไร ดื่มได้!”
“อึก… อึก… อึก…”
“ว้าว น้ำหวานนัก!”
“อย่ามัวแต่ดื่ม เก็บน้ำๆ”
“ใช่ๆๆ”
พวกเขาดื่มน้ำจนเต็มอิ่ม จากนั้นค่อยปลดกระบอกไม้ไผ่ข้างตัว เริ่มบรรจุน้ำจากลำธาร
“พวกเรามาถึงแล้ว”
ยามพวกเขากำลังกรอกน้ำดื่มน้ำอย่างรีบเร่ง เมื่อได้ยินเสียงแผ่วเบาของจี้หยวน พวกเขาเงยหน้าขึ้นมาตามจิตใต้สำนึก หมอกพร่าเลือนห่างไกลซ่านสลายทีละน้อย ยอดเขามหึมาซึ่งเดิมไม่อยู่ในสายตาปรากฏห่างออกไป
ปลายยอดเขาเตี้ยจรดยอดเขาสูงเอียงเสียดฟ้า ถือเป็นลักษณะยอดเขาซึ่งทุกคนไม่เคยเห็นมาก่อน คล้ายยอดเขาสูงถล่มแต่ถูกยอดเขาเตี้ยอีกลูกค้ำไว้
เห็นชัดว่าเมื่อครู่ยามยังไม่ถึงหน้าลำธารตรงนั้นไม่มีอะไรสักนิด
“ดื่มพอหรือยัง ถ้าดื่มพอแล้ว พวกเราออกเดินทางเถอะ”
“ใช่ๆๆ พวกเราเชื่อฟังท่านเซียน ออกเดินทางๆ”
ในใจชายวัยกลางคนตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม เขาเพิ่งเคยเห็นท่าเรือเซียนเป็นครั้งแรก แม้แต่เขายังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงคนรุ่นเยาว์ด้านหลัง แม้ว่าตามเซียนสองคนมาตลอด แต่ท่านเซียนเหมือนแค่ร่วมทางกับพวกเขา ไม่ได้รู้สึกอัศจรรย์เกินไปนัก
เมื่อข้ามลำธารแห่งนี้ไป เส้นทางราบรื่นขึ้นไม่น้อย ถึงขั้นเจอคนอื่นเป็นระยะๆ มีทั้งผู้ฝึกเซียนและคนธรรมดาบางส่วน
มาถึงตรงนี้จี้หยวนกับจูหยวนจื่อแยกทางกับชายวัยกลางคนและคนรุ่นเยาว์ห้าคน นำทางมาถึงตรงนี้ ที่เหลือแค่เดินขึ้นเขาไปทีละน้อยก็พอ สภาพภูเขาของท่าเรือยอดเขาไม่สูงชัน ทั้งมีทางเขากว้างขวาง ถึงขั้นว่าสองข้างทางยังมีศาลาร้านค้าด้วย พวกเขาหกคนขึ้นไปต่อก็พอแล้ว
ประมาณครึ่งเค่อหลังจากแยกทางกับพวกเขาหกคน จี้หยวนกับจูหยวนจื่อมาถึงบนท่าเรือยอดเขา ท่าเรือที่แท้จริงอยู่ตรงยอดเขาด้านนอก ส่วนยอดเขาด้านในกลายเป็นเขตสิ่งปลูกสร้างประมาณหนึ่ง
ตลาดนัดแห่งนี้มีประมาณหลายสิบอาคารใหญ่รวมถึงอาคารเล็กอีกมาก มีร้านอาหารมีโรงเตี๊ยม บ้างเปิดโดยคนธรรมดา ทั้งมีร้านซึ่งดูแลโดยผู้ฝึกเซียน สิ่งปลูกสร้างบางแห่งเรียบง่ายไม่หวือหวา บ้างเปล่งประกายเจิดจรัส
ฝูงชนมีไม่น้อยเช่นกัน ดูแล้วอึกทึกครึกครื้น จี้หยวนถึงขั้นเห็นภูตบางตนเดินเล่นอยู่ด้วย คนธรรมดาบางส่วนเห็นแล้วต่างเดินหลบตามจิตใต้สำนึก
จี้หยวนยืนมองทุกอย่างนี้ด้วยความประหลาดใจอยู่ข้างนอก แม้ว่าก่อนหน้านี้หลังจากลงมาจากเรือเหาะของเขาเก้ายอดแล้ว เขาเคยคิดว่าอาจเห็นภาพคล้ายคลึงกันอีก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าคึกคักเช่นนี้ นับว่าเป็นตลาดนัดอย่างแท้จริง
“หึๆๆ คิดไม่ถึงว่าไม่ได้มาหลายปี ท่าเรือยอดเขากลับคึกคักเช่นนี้!”
จูหยวนจื่อยิ้มพลางทอดถอนใจ ก่อนเอ่ยกล่าวกับจี้หยวน
“ท่านจี้ พวกเราไปเดินเล่นกันเถอะ สำหรับโลกบำเพ็ญเซียน ภาพเช่นนี้มีแค่ตามท่าเรือแต่ละแห่งเท่านั้น”
จูหยวนจื่อพูดพลางสะบัดแสงเลือนรางสายหนึ่ง จากนั้นค่อยก้าวเข้าสู่ตลาดของโลกบำเพ็ญเซียนแห่งนี้พร้อมจี้หยวน
ผู้ลงหลักปักฐานที่นี่ได้ ต่อให้เป็นร้านปุถุชนก็ไม่ธรรมดา การบริการทั่วถึงคือสิ่งจำเป็น คนธรรมดาเจ้าอารมณ์คนไหนอยู่ที่นี่ย่อมไม่กล้าบันดาลโทสะมั่วซั่ว อาหารหรือของเล่นบางส่วนยิ่งทำอย่างดี
ส่วนสิ่งของซึ่งคนทางโลกยกย่องเป็นสมบัติล้ำค่า อย่างภาพวาดจากปรมาจารย์ สิ่งของซึ่งช่างฝีมือบรรจงทำ ที่นี่มีตลาด ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งของแฝงจิตวิญญาณผู้สร้าง ส่วนมากมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ บางครั้งผู้ฝึกเซียนก็สนใจ ตัวอย่างเช่นจี้หยวน
ดังนั้นเลยมีพ่อค้าเร่ตาแหลมบางคน รวบรวมสิ่งของจากทางโลกซึ่งเทพเซียนอาจสนใจ จากนั้นค่อยส่งมาที่นี่โดยเฉพาะ
หากคนธรรมดาอาศัยสิ่งเหล่านี้มาแลกเปลี่ยนของอัศจรรย์จากมือเทพเซียน นั่นคงรุ่งเรืองอย่างแท้จริง
ใช่ว่าผู้ฝึกเซียนไม่ยุ่งเกี่ยวทางโลก ในมือพวกเขามีเงินทองเช่นกัน นอกจากว่าเป็นกรณีพิเศษ ส่วนใหญ่การซื้อของพวกนี้ล้วนใช้เงินทองจ่าย ไม่มีทางมอบของมรรคเซียนตามสะดวก
นอกจากเงินทองซึ่งคนธรรมดาแลกเปลี่ยนกัน ระหว่างเทพเซียนยังแลกเปลี่ยนสิ่งของได้ เช่นสกุลเงินอย่างแก่นปราณห้าธาตุหรือโอสถวิเศษ มูลค่าพื้นฐานไม่ว่าใครย่อมไม่ปฏิเสธ
จี้หยวนกับจูหยวนจื่อเดินกลางตลาดนัดคึกคัก ผู้มีประสบการณ์โดยรอบต่างพยายามสำรวมเว้นระยะห่างกับทั้งสองคน
คนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีพื้นท่าทางไม่ธรรมดา คนหนึ่งเครายาวขาวโพลนหน้าอมเลือดฝาด แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนคนธรรมดา กอปรกับความสุขุมเยือกเย็นทั้งท่าทางเปี่ยมความรู้สึกแปลกใหม่ต่อสิ่งโดยรอบ
ไม่ต้องคิดมาก เก้าส่วนย่อมเป็นผู้อาวุโสมรรคเซียนมรรควิถีล้ำลึกออกมาข้างนอกน้อย คนพวกนี้ปราณลึกล้ำยากหยั่งถึง ตาทิพย์มองโลกปรุโปร่ง ถ้าสมองไม่เสื่อม ไม่ว่าใครก็ย่อมเคารพ
“ท่านเซียนจู ท่านจี้!”
เสียงเว่ยหยวนเซิงดังมา จากนั้นพวกฉิวเฟิงกับหยางหมิงปรากฏตัวในสายตาจี้หยวนกับจูหยวนจื่อ เว่ยหยวนเซิงวิ่งเหยาะ พุ่งตัวมาตรงหน้าทั้งสองคน
“ท่านจี้ ที่แท้โลกบำเพ็ญเซียนยังมีสถานที่ครึกครื้นเช่นนี้ด้วย ข้าคิดว่าเป็นเหมือนเขาล้อมหยกเสียอีก!”
“หึๆ ข้าตกใจเช่นกัน!”
ขณะกล่าวพวกฉิวเฟิงเข้ามาใกล้ คารวะจี้หยวนกับจูหยวนจื่อ ครั้งนี้เขาล้อมหยกตั้งแต่เซียนถึงบรรดาศิษย์ เคลื่อนพลมาสิบกว่าคน บางคนจี้หยวนรู้จัก บ้างไม่เคยเห็นมาก่อน แต่พวกเขาส่วนใหญ่ต่างรู้จักจี้หยวน
“ท่านเซียนจู ท่านจี้ ในเมื่อพวกท่านมาเร็วขนาดนี้ พวกเรานั่งเรือเหาะข้ามแดนของจวนเร้นจิตแล้วกัน หากระหว่างทางพวกเขาไม่ล่าช้า อีกสองวันย่อมถึงท่าเรือยอดเขา ถึงตอนนั้นคาดว่าอีกสองเดือนกว่าย่อมถึงทวีปนิรันดร์แดนเหนือ”
“ท่านจี้คิดว่าอย่างไร”
จูหยวนจื่อเอ่ยถามจี้หยวน ฝ่ายหลังพยักหน้าเล็กน้อย
“หึๆ พวกท่านตัดสินใจเถอะ ข้าเป็นแค่คนป่า ไม่เคยเห็นโลกกว้าง”
พวกเขาแค่รับฟังคำพูดนี้ ต่อให้จี้หยวนเป็นคนสบายๆ แต่คนของเขาล้อมหยกคงไม่กล้าหยอกล้อ
เมื่อเห็นจี้หยวนพยักหน้า จูหยวนจื่อค่อยเอ่ยปากสรุป
“ในเมื่อท่านจี้ไม่มีความเห็น พวกเราก็นั่งเรือเหาะจวนเร้นจิตเถอะ”
ตอนนี้จี้หยวนนึกถึงมังกรเฒ่าอิงหงอย่างอดไม่ได้ หากมังกรเฒ่าอยู่ที่นี่ เมื่อครู่ยามเขาคนแซ่จี้เพิ่งพูดจบย่อมถูกอีกฝ่ายหยอกล้อครู่หนึ่งแน่ บางครั้งคนจากเขาล้อมหยกก็เคร่งขรึมเกินไปแล้ว
วู้ม… วู้ม…
ตอนนี้เมฆหมอกกลางนภาซึ่งห้อมล้อมยอดเขาพลันปั่นป่วน ท่ามกลางเสียงแหวกอากาศกระแสลมมากมายกลายเป็นสายลมคลั่ง แต่เมื่อมาถึงตลาดนัดกลับกลายเป็นลมพัดแผ่วเบา คนมากมายรวมถึงจี้หยวนเงยหน้ามองท้องฟ้าตามจิตใต้สำนึก
ในชั้นเมฆมีสัตว์ขนาดมหึมาปรากฏตัวรางๆ
“โฮก…”
เสียงร้องหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล นั่นคือสัตว์ปีศาจมหึมาตัวหนึ่งซึ่งข้างลำตัวกับบนร่างมีครีบ ดูจากขนาดแล้วเหมือนภูเขาใหญ่ ใหญ่กว่าท่าเรือยอดเขาสูงตระหง่าน
“สัตว์กลืนนภาของสำนักยรรยง หนึ่งในพาหนะข้ามแดนซึ่งมีชื่อเสียงที่สุด!”
จูหยวนจื่อมองส่งสัตว์ยักษ์ท่องนภามุ่งหน้าไปทางยอดเขาด้านนอก กล่าวแนะนำข้างหูจี้หยวน