บทที่ 1021 ซี ‘ตั้งใจเป็นบุรุษตัวน้อยของพี่สาวไปก็พอ!’
หมื่นวิถีปะทุพร้อมเพรียง ทุกวิถีที่สามารถบำเพ็ญได้ล้วนส่งเสียงกู่ร้อง ถือกำเนิดรูปร่าง
มีทั้งวิถีบำเพ็ญกำลัง ก่อรูปก่อร่างเป็นยักษ์ตัวสูงใหญ่ ขยี้ดาราแหลกลาญได้ด้วยมือเดียว
มีวิถีศัสตราวุธ ซึ่งก่อรูปก่อร่างเป็นอาวุธอย่างดาบ ทวน ขวาน ง้าว และศาสตราสวรรค์อื่น ๆ
แล้วยังมีวิถีปริภูมิเวลา หยินหยาง ปัญจธาตุ บ่วงกรรม คำสาป และอื่น ๆ อีกมาก ซึ่งถือกำเนิดรูปร่างขึ้นทั้งสิ้น
“เจ้ามีหมื่นวิถี ข้ามีหนึ่งทำนอง หนึ่งทำนองทลายหมื่นวิถีของเจ้า”
สีหน้าหลี่จิ่วเต้าราบเรียบ นำปี่สั่วน่าออกมา นี่คือยอดศาสตราที่แลกมาจากบรรพจารย์ฝู เขารู้สึกว่าไม่เพียงแต่ ‘ส่ง’ มนุษย์ไปที่ชอบ ที่ชอบได้ แต่ยัง ‘ส่ง’ หมื่นวิถีไปที่ชอบ ที่ชอบได้เช่นกัน
ชายหนุ่มเป่าปี่สั่วน่าด้วยเสียงอันดังก้อง ความรู้สึกหวาดผวาพลันผุดขึ้นในใจ ‘หลินเฉิน’
“จบแล้ว!”
มันหมดอาลัยตายอยาก แม้ว่าทำนองสั่วน่ายังไม่ทันปะทะกับหมื่นวิถี แต่มันก็รู้แล้วว่าหมื่นวิถีไม่ใช่คู่มือของทำนองสั่วน่า
ตามคาด ลมหายใจต่อมา หมื่นวิถีซึ่งถือกำเนิดรูปร่างแหลกเหลวใต้เสียงปี่สั่วน่า หนึ่งทำนองทลายหมื่นวิถีไม่ใช่แค่คำกล่าวเท่านั้น หลี่จิ่วเต้าแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้ว
“แข็งแกร่งเหลือเกิน ไม่อาจหยั่งตื้นลึกหนาบางอันแท้จริงของเขาได้เลย เขาคือผู้ที่ท่านผู้นั้นกับศิษย์พี่หญิงทุ่มเทแรงกายทั้งหมดสร้างขึ้นหรือ”
มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ เดิมไม่คิดว่าจะสังหารหลี่จิ่วเต้าลงได้ ขอเพียงหยั่งฝีมือหลี่จิ่วเต้าได้ก็พอ
ทว่าสู้กันถึงขั้นนี้แล้วมันก็ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของหลี่จิ่วเต้า
หลี่จิ่วเต้าไม่เคยลงมือเลยตั้งแต่เริ่ม พลังที่สำแดงออกมาล้วนเป็นของศาสตราวิเศษเหล่านั้น มันไม่รู้เลยว่าหลี่จิ่วเต้านั้นทรงพลังเพียงใด
“เหลือการโจมตีอีกครั้ง และเป็นครั้งสุดท้าย ดูว่าพอจะใช้หยั่งตื้นลึกหนาบางของเขาได้หรือไม่”
สีหน้าของมันสงบ ไม่ได้กลัวในความพ่ายแพ้
นี่คือกายเนื้อของหลินเฉิน หาใช่ร่างของมัน มีเพียงวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของมันสถิตอยู่เท่านั้น หายไปก็ไม่เป็นไร
มันรีดเร้นกำลังค่ายกลอันดับหนึ่งเต็มที่ ระเบิดพลังทั้งหมด ร่างของมันเองก็แหลกเหลว ถ่ายเทพลังทั้งหมดไปในค่ายกลอันดับหนึ่ง มันต้องการโจมตีครั้งรุนแรงที่สุด และเป็นการโจมตีครั้งสุดท้าย!
ค่ายกลอันดับหนึ่งกู่ร้อง คลื่นริ้วระเบิดแหลกลาญทั้งปวง ยอดเขาที่มันตั้งอยู่ราบเป็นหน้ากลองในบัดดล ฝุ่นควันขมุกขมัว พื้นดินสั่นไหวแยกออกจากกัน
ภาพร่างหนึ่งพุ่งออกจากหมอกควัน
นั่นเป็นภาพร่างแสนองอาจเกรียงไกร ทัดเทียมนภา เคียงไหล่ดวงดาว มันเผยดวงหน้าที่แท้จริงออกมา หล่อเหลาห้าวหาญอย่างยิ่ง!
อนิจจา หมอกดำรายล้อมอยู่รอบตัวมัน ม่านแสงพิศวงสาดส่อง ทำลายภาพที่ควรองอาจยิ่งใหญ่ของมัน
นี่คือภาพร่างผู้เบิกทาง
เขาสร้างค่ายกลใหญ่ไว้ทั้งหมดสิบแห่ง ทุกค่ายกลใหญ่ล้วนมีภาพร่างของเขาอยู่
ภาพร่างที่ดำรงอยู่ในค่ายกลอันดับหนึ่งย่อมเหนือชั้นกว่าค่ายกลอื่น พลังที่มีนั้นไร้ที่สิ้นสุด หลังลงมือเต็มที่เท่ากับพลังกล้าแกร่งที่สุดของเขา
หมอกดำที่รายล้อมอยู่รอบ ๆ ภาพร่างเหล่านี้คือสสารมืดมิด ร่างของ ‘หลินเฉิน’ เต็มไปด้วยสสารมืดมิด ก่อนจะระเบิดตนเอง ผสานพลังทั้งหมดเข้าไปในค่ายกลอันดับหนึ่ง
“น่าเสียดาย…”
แน่นอนว่าหลี่จิ่วเต้าเห็นภาพร่างนี้ เขาถอนหายใจอย่างอดไม่ได้
เขาดูออกว่าเจ้าของภาพร่างนี้ไม่ใช่คนเลว แต่น่าเสียดาย ดูเหมือนว่าเขาจะถูกความชั่วร้ายเข้าแทรก ถึงได้จมดิ่งลงไปในความมืดมิด
หมอกดำที่รายล้อมอยู่รอบ ๆ คือข้อบ่งชี้อันดีที่สุด
“ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่ที่ควรอยู่แล้วกัน คืนร่างบริสุทธิ์แก่เจ้า ให้เจ้าได้ไปอย่างผุดผ่อง…”
หลี่จิ่วเต้าเรียกก้านหลิวชะล้างออกมาเพื่อช่วยชำระความมืดมิดในตัวมัน ให้มันได้ไปอย่างไร้มลทิน
เวลานั้น ภาพร่างนี้ขยับ คล้ายว่ามันพยายามฝืนไม่เต็มใจลงมือกับหลี่จิ่วเต้า ทว่าลงท้ายก็โจมตีครั้งรุนแรงที่สุด!
การโจมตีรุนแรงที่สุดนั้นสะท้านโลกันตร์อย่างแท้จริง ทำลายล้างได้ทุกสิ่ง ต่อให้เป็นผู้เบิกทางเองหากถูกการโจมตีระดับนี้เข้าถึงไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส
อนิจจา ใต้ม่านแสงที่อาบไล้ลงจากก้านหลิวชะล้าง พลังจากการโจมตีครั้งรุนแรงที่สุดถูกชำระจนสิ้น
ม่านแสงจรดลงบนภาพร่างนั้น เห็นได้ว่าสสารมืดมิดที่ห้อมล้อมอยู่รอบ ๆ ตัวมันไม่อยากถูกชำระง่าย ๆ ดิ้นรนไม่หยุด ระเบิดพลังสยดสยองคณานับเพื่อต้านทานพลังชะล้างจากม่านแสง
ทว่าทั้งหมดนี้ล้วนเปล่าประโยชน์
ภายใต้พลังชะล้างจากม่านแสง ต่อให้สสารมืดมิดเหล่านี้เจ็บใจเพียงใด ต่อต้านเพียงใดก็เปล่าประโยชน์ ถูกม่านแสงชำระอย่างรวดเร็ว
สลายหายไปอย่างสิ้นเชิงในท้ายที่สุด
ภาพร่างนั้นกลืนสู่ความองอาจอีกครั้ง
มันคุกเข่าใส่หลี่จิ่วเต้าดังตุ้บ โขกศีรษะอยู่หลายที
พลันร่างของมันแหลกสลายเหลือเพียงความว่างเปล่า สาบสูญอย่างสิ้นเชิง
‘นี่ก็เพื่อขอบคุณข้าที่ช่วยชะล้างพลังมืดมิดให้หรือ’
หลี่จิ่วเต้าครุ่นคิด
ฝนยังคงตกต่อเนื่อง เขาเก็บก้านหลิวชะล้างกลับไป ทว่าไม่ได้เก็บลูกแก้วค้ำทะเล
“มีเหตุย่อมมีผล ใต้หล้านี้ไม่มีผลประโยชน์ที่ได้มาโดยไม่เสีย…”
เขาทอดมองไปไกล เปลี่ยนชื่อแซ่รูปลักษณ์แล้วยังไม่พอ ปัญหายังคงมารังควานอยู่ดี
แม้ว่าจะไม่ได้ข้องแวะอันใดกับสิ่งมีชีวิตที่จู่โจมเขา ทว่าเขาก็รู้ดีแก่ใจว่าสิ่งมีชีวิตตนนี้มาเพราะเขา เพราะของวิเศษในตัวเขา
ดูท่า ผลกรรมบางอย่างเขาจำต้องแบกรับ
เขาแลกเปลี่ยนของวิเศษจากบบรรพจารย์ฝูมามาก นี่คือเหตุ และที่มีคนมาหาเรื่องเขาไม่หยุดไม่หย่อนนั้นคือผล
ไม่ว่าเขาพยายามหลีกเลี่ยงอย่างไรก็ไม่พ้นผลกรรมนี้ อย่างไรก็ต้องมาหาเขาอยู่ดี
คิดมาถึงนี่ ร่างของเขาโอนเอน คืนรูปลักษณ์เดิม
ในเมื่อหลีกไม่พ้น เช่นนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์อีกต่อไปแล้ว ถึงอย่างไรเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปก็ยังถูกรังควานอยู่ดี
ไม่สู้อ้าแขนรับปัญหาเสีย
“ข้าไปมาตั้งหลายอาณาจักร แต่กลับยังไม่พบเจ้า…ซี เจ้าอยู่ที่ใด”
เขามองเม็ดฝนอย่างใจลอย คิดถึงซีขึ้นมาอีกครั้ง นึกถึงความหลังที่ได้ใช้ชีวิตกับซี
ตอนนั้น เขาไร้น้ำยาสิ้นดี เพิ่งทะลุมิติมายังโลกแห่งการฝึกตนนี้ เหลือแต่ตัวเท่านั้น จนได้รู้จักซี ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายไร้กังวลกับนางท่ามกลางป่าไม้ขุนเขาอยู่ระยะหนึ่ง
เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุด ไม่ต้องคิดสิ่งใด ใช้ชีวิตกับนางเพียงสองคนในพงไพร
“ซี ที่ที่เจ้าอยู่ฝนตกหรือไม่ เจ้าชื่นชอบ…การตากฝนเป็นที่สุด”
ทุกครั้งในวันฝนตก ซีต้องออกไปตากฝนอยู่เรื่อย สนุกสนานอยู่ท่ามกลางสายฝน นางเอ่ยว่าสายฝนชำระความทุกข์ใจทั้งปวงออกไป ทุกครั้งที่นางอยู่ท่ามกลางสายฝนมักจะยิ้มไม่หุบ และรอยยิ้มหวานมักประดับอยู่เต็มใบหน้า
แต่ละครั้งเขาต้องตากฝนกับซีด้วย จนตัวเองป่วยอยู่ร่ำไป และทุกครั้งซีก็จะหัวเราะเยาะเขาที่หน้าตาหล่อเหลา ร่างกายกำยำ แต่เหตุใดถึงอ่อนแอปานนี้ เป็นเพียงบุรุษปวกเปียกผู้หนึ่งเท่านั้น
ทุก ๆ ครั้งเขาต้องยืดอกโต้แย้งว่าไม่ได้อ่อนแอ สุขภาพแข็งแรงมาก
ทว่าหลังพูดจบเขากลับจามและน้ำมูกไหลอย่างอดไม่ได้ทุกครั้งไป
ช่วยไม่ได้ ตากฝนเป็นนิตย์เช่นนี้ต่อให้สุขภาพดีเพียงใดก็ทนไม่ไหว
ตอนนั้นเขารับรู้ได้ถึงความไม่ธรรมดาของซี เพราะทุกครั้งที่ซีตากฝนล้วนไม่เคยเป็นอันใด ยังคงร่าเริงคล่องแคล่ว เขาคิดไว้แล้วว่านางอาจเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง
แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนั้น และซีเองก็ไม่เคยเอ่ยถึงการฝึกตน
ทุกครั้งหลังเขาป่วยเพราะตากฝน ซีมักดูแลเขาอย่างใส่ใจ นี่ทำให้เขามักถวิลหาช่วงเวลาที่ป่วยอยู่บ่อยครั้ง
ที่จำได้แม่นที่สุดคือ เวลานั้นเขาภาวนาให้ฝนตกทุกวัน จะได้เล่นสนุกสนานกับซีท่ามกลางสายฝน จากนั้นก็ป่วย อิ่มเอมใจไปกับการดูแลประคบประหงมจากซี
ยามนั้น นางเอ่ยเย้าหยอกขึ้นมาว่าเจ้าชอบป่วยขนาดนี้ ไม่สู้ให้ข้าตีขาเจ้าให้หัก ให้เจ้าได้นอนพักผ่อนอย่างสำราญกับการดูแลของข้า?
เขารีบเอ่ยว่าดีเลย
จากนั้นก็ถูกนิ้วเรียวยาวของนางดีดหน้าผาก
“ลูกแก้วค้ำทะเล มีสิ่งนี้อยู่ข้าสั่งให้ฝนตกทุกวันยังได้ เพียงแต่…ข้าไม่รู้ว่าจะหาเจ้าเจอและเล่นสนุกกับเจ้ากลางสายฝนอีกครั้งได้หรือไม่ ไม่รู้ว่าเจ้ายังชื่นชอบการตากฝนอยู่หรือเปล่า…”
เขารำพันกับตนเอง “หากได้พบเจ้าและเจ้ายังชอบตากฝนอยู่ ข้าจะหักขาตัวเองให้เจ้าอยู่ดูแลข้าให้ดี!”
ความคิดถึงเสมือนมหาสมุทร ไม่ควรนึกถึง เพราะทันทีที่นึกถึงจักจมดิ่งลงไปมิอาจขึ้นมาได้อีก
…
ในจักรวาล
ซีนั่งอยู่บนหลังเต่าชรา มุ่งหน้าไปยังดินแดนใหม่ที่ว่า
ทันใดนั้น นางก็มีสีหน้าแปลกใจ เพราะรู้สึกได้ถึงบางอย่างในใจ
“บุรุษตัวน้อย เจ้ากำลังคิดถึงข้าหรือ”
นางรู้สึกถึงความถวิลหา ความถวิลหาที่มีต่อนาง และนางก็นึกถึงหลี่จิ่วเต้าขึ้นมาทันที
บุรุษผู้มีความสำคัญอย่างมากในใจของนาง!
เมื่อนึกถึงเขา หญิงสาวก็ยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว มันเป็นรอยยิ้มที่กลั่นออกจากใจ
“เจ้านี่นะ ทั้งที่ทนไม่ได้ แต่ยังชอบตากฝนเป็นเพื่อนข้าอยู่เรื่อย เจ้าไฉนเลยจะเทียบกับข้าได้ ข้าก้าวสู่เส้นทางฝึกตนแล้ว แต่เจ้านั้นยัง”
นางเอ่ยพลางยิ้มบาง “อีกอย่าง เจ้าเอาแต่ภาวนาให้ตัวเองป่วย เพื่อที่จะให้ข้าดูแลเจ้า ซ้ำร้ายยังแกล้งป่วย ช่างเป็นบุรุษตัวน้อยที่น่ารักมากจริง ๆ”
ครั้นพอหวนนึกถึงวันเวลาเหล่านั้น มันช่างเป็นวันเวลาอันแสนหวาน มุมปากของนางยกขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่ หลี่จิ่วเต้าเข้ามาอยู่ในใจนางได้แล้วจริง ๆ
“ตอนนั้นที่ข้าว่าเจ้าอ่อนแอปวกเปียกเป็นเพียงแค่การอำเล่น เจ้าหาได้ปวกเปียก ในบรรดาปุถุชนเจ้าถือว่าแข็งแรงมากแล้ว กล้ามหน้าท้อง…อืม สัมผัสดีมาก!”
นางพึมพำกับตัวเองเสียงเบา ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย
ในช่วงเวลานั้น นางลูบคลำกล้ามหน้าท้องหลี่จิ่วเต้าอยู่บ่อย ๆ หาข้ออ้างไปเรื่อยเปื่อย เขาก็รู้ดีว่าเป็นเพียงข้ออ้างของนาง กระนั้นแต่ละครั้งยังใจกว้างปล่อยให้นางลูบ ๆ คลำ ๆ
ในสายตาคนรัก ทุกอย่างล้วนสวยงาม
นางเชื่อในวาจานี้อย่างไม่คลางแคลง นางชอบแค่กล้ามหน้าท้องหรือ?
เปล่าเลย!
นั่นเพราะเป็นกล้ามหน้าท้องของหลี่จิ่วเต้าต่างหาก!
“บุรุษตัวน้อย รอข้าก่อนเถิด ข้ารู้สึกว่าข้าเข้าใกล้ความจริงเต็มทีแล้ว รอให้ข้าพบท่านพ่อท่านแม่และแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้หมด ข้าจะไปหาเจ้าทันที แล้ว…ตีขาเจ้าให้หัก!”
นางเอ่ยกลั้วหัวเราะ
หลี่จิ่วเต้าในตอนนั้น เอาแต่โวยวายให้ตีขาเขาให้หักทุกวี่วัน เพื่อให้นางอยู่ดูแลเขา
หลังได้พบชายผู้นี้ นางจะสนองความปรารถนานี้ของเขาแน่
“ไม่ใช่กระมัง! เป็นสามีของเจ้าน่าเวทนายิ่งนัก ต้องถูกตีขาให้หักก่อนด้วยหรือ”
เต่าชราตาโต ได้ยินแล้วต้องอ้าปากค้าง
“เจ้าไม่เข้าใจ”
ซียิ้มเล็กน้อย ไม่ได้อธิบายให้เต่าชราฟัง เพราะนี่เป็นเรื่องที่มีเพียงนางและหลี่จิ่วเต้าที่เข้าใจ
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าบุรุษตัวน้อยอาจก้าวสู่เส้นทางฝึกตนแล้ว สายตาข้ามองไม่เคยผิด บุรุษตัวน้อย เจ้าต้องไม่ธรรมดา ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แน่”
ซีรำพัน “ทว่านี่เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น รอถึงวันที่พวกเราพบกันอีกครั้ง น่ากลัวว่าเจ้าก็ยังไล่ตามข้าไม่ทัน”
นางรู้สึกว่าอีกไม่นานนางก็จะล่วงรู้ความจริงแล้ว วันที่ได้กลับไปพบหลี่จิ่วเต้าอยู่ไม่ไกลแล้ว
ต่อให้เขาน่าทึ่งเพียงใด เปี่ยมพรสวรรค์เพียงใด ก็ยากจะก้าวสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นไป ยิ่งไม่ต้องเอ่ยว่าไล่ตามนางได้ทัน
“วางใจเถิดบุรุษตัวน้อย ข้าไม่มีทางรังเกียจเจ้าเพราะเรื่องเช่นนี้!”
หญิงสาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “บุรุษตัวน้อย เจ้าตั้งใจอยู่เป็นบุรุษตัวน้อยของพี่สาวก็พอ! พี่สาวจะปกป้องเจ้าไปชั่วชีวิต!”