บทที่ 1479 คนที่ผูกกระดิ่งต้องแก้เอง
กู้เสี่ยวอี้กลับไปยังร้านขายผ้าหลานชิงอีกครั้ง ทันทีที่เข้าไปในร้านนางก็นั่งลง ไม่นานเถ้าแก่ร้านก็กลับมาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม
“บังเอิญเหลือเกิน มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นตอนที่ข้าออกไปข้างนอก แม่นางดูสิ ข้าซื้อด้ายสีทองทั้งหมดกลับมาแล้ว” หลีหยวนเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกันเอง ไร้ซึ่งท่าทีประจบประแจงเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ส่งของให้กู้เสี่ยวอี้ตรวจสอบ
กู้เสี่ยวอี้สัมผัสด้ายสีทองเหล่านั้น และค้นพบว่ามันมีคุณภาพเหมือนกับด้ายที่นางเคยใช้มาก่อน ดังนั้นจึงยิ้มและขอให้โค่วตันรับมา
เมื่อครู่ก่อนออกไป นางเลือกผ้าไว้จำนวนมาก ดังนั้นจึงนำไปคิดเงินพร้อมกัน
เถ้าแก่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเด็กสาวซื้อของมากมาย และทั้งหมดล้วนเป็นสินค้าคุณภาพสูง
โชคดีที่รั้งแม่นางคนนี้ไว้ในเวลานั้น ไม่เช่นนั้นถ้าพลาดแขกคนสำคัญเช่นนี้ไปคงน่าเสียดาย
ลูกจ้างภายในร้านยิ้มกว้างและอาสาขนข้าวของเหล่านั้นขึ้นรถม้าด้วยตนเอง ด้วยการช่วยเหลือของโค่วตัน กู้เสี่ยวอี้ก็ขึ้นไปบนรถม้า และไม่นานรถม้าก็เคลื่อนตัวออกไป
ครั้นมองรถม้าที่ตกแต่งอย่างธรรมดาและไม่โดดเด่น แต่เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ท่าทางของหญิงสาวคนเมื่อครู่ดูเหมือนจะมาจากตระกูลที่สูงส่งและร่ำรวย
ไม่เช่นนั้น ท่าทางเหล่านั้นจะดูไม่เหมือนคนธรรมดาได้อย่างไร
หลีหยวนมองท้ายรถม้าที่จากไปด้วยสายตาที่อธิบายไม่ถูก และรู้สึกตื่นเต้นเมื่อมีเสียงที่คุ้นเคยดังขั้นมาจากด้านหลัง “ท่านลุงหลี”
เมื่อหันกลับมาก็เห็นฉางเซิงยืนอยู่ตรงนั้น ขานเรียกเขาด้วยรอยยิ้ม
และเมื่อเห็นว่าเป็นฉางเซิง แววตาที่อธิบายไม่ได้ของเขาก็แทนที่ด้วยความอ่อนโยน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความรักและเอ็นดู “นายน้อยมาที่นี่”
“อืม เรามาแล้ว” ฉางเซิงพูดด้วยรอยยิ้มและชี้นิ้วไปฝั่งตรงข้าม ทำให้เห็นชั้นสองในโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม เสิ่นเหวินเจวี้ยนนั่งอยู่บนริมหน้าต่างบนชั้นสอง เขากำลังดื่มชาและมองออกไปข้างนอก แต่ดูเหมือนจะมีร่องรอยความผิดหวังในดวงตาของเขา
“นายน้อยดูไม่มีความสุขเลย” หลีหยวนคลี่ยิ้มจาง
ฉางเซิงพยักหน้าและถามด้วยความสงสัย “จู่ ๆ นายน้อยของข้าก็มีสภาพเช่นนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยมีความสุขเสียเท่าไร”
“ทำไมเขาถึงมีท่าทางไม่มีความสุขเช่นนั้นได้ล่ะ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ฉางเซิงเกาศีรษะด้วยความงุนงง
ตอนที่พวกเขาเดินกลับมาที่นี่ นายน้อยดูอารมณ์ไม่ค่อยดี และสามารถเห็นความขุ่นเคืองบนใบหน้าของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน แต่จู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวัง ซึ่งฉางเซิงเองก็ไม่เข้าใจ
ผิดหวังเรื่องอันใด?
เมื่อเห็นว่าฉางเซิงไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง หลีหยวนก็ยิ้มและถอนหายใจ ท่าทางของนายน้อยดูเหมือนกำลังเป็นไข้ใจอย่างเห็นได้ชัด
หลีหยวนหวนคิดถึงครั้งเมื่อตัวเองมาถึงเมืองหลวงเป็นครั้งแรก เขาได้ช่วยชีวิตเสิ่นเจี้ยนเซินเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นจึงช่วยเขาซื้อร้านขายผ้าร้านหนึ่งให้เขา เพื่อให้เขาได้มีลู่ทางทำมาหากิน
เสิ่นเจี้ยนเซินเห็นว่าเขาได้เถ้าแก่เป็นครั้งแรก ดังนั้นเขาจึงมักจะพาตัวเองออกไปเจรจาซื้อขายด้วยกัน เพราะความละเอียดรอบครอบทางการค้าของตัวเองที่เพิ่มขึ้น จึงจัดการร้านขายผ้าได้เป็นอย่างดีในช่วงสองปีที่ผ่านมา
เนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเสิ่นเจี้ยนเซิน หลีหยวนจึงคุ้นเคยกับคนตระกูลเสิ่น และเขาได้เดินทางไปทั่วทุกสารทิศ ได้เห็นผู้คนมากมาย และสิ่งต่าง ๆ ทุกประเภท เสิ่นเหวินเจวี้ยนก็ชอบมาหาและดื่มชาพูดคุยกับเขาเพื่อฟังประสบการณ์และเรื่องเล่าจากที่ต่าง ๆ
ในขณะนี้ เมื่อเห็นเสิ่นเหวินเจวี้ยนนั่งอยู่คนเดียวในโรงน้ำชา หลีหยวนจึงบอกให้ลูกจ้างเฝ้าร้านให้ดี และเดินตามฉางเซิงขึ้นไปยังชั้นสองของโรงน้ำชา
บริเวณชั้นสอง เสิ่นเหวินเจวี้ยนที่กำลังเพลิดเพลินกับรสชาเห็นหลีหยวนปรากฏตัวจึงลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผายมือไปฝั่งตรงข้ามและเชิญให้นั่งลงด้วยความสุภาพ
“ลุงหลี นั่งลงก่อนเถอะ”
หลีหยวนทักทายเสิ่นเหวินเจวี้ยน จากนั้นก็นั่งลงฝั่งตรงกันข้ามเขา หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าเขาเล่าประสบการณ์ที่พบเจอในที่ต่าง ๆ ให้ฟัง เสิ่นเหวินเจวี้ยนคงจะตื่นเต้นไม่หยุด แต่คราวนี้เสิ่นเหวินเจวี้ยนรู้สึกเบื่อที่จะฟังมันแล้ว เมื่อหลีหยวนคิดถึงความผิดหวังบนใบหน้าของชายหนุ่ม เขาก็ได้แต่ยิ้มในใจ
“นายน้อยไม่ได้ตั้งใจฟัง หรือเพราะข้าเล่าได้ไม่ดี” หลีหยวนตั้งใจจะพูดหยอกล้อ
เมื่อเสิ่นเหวินเจวี้ยนได้ยิน เขาก็เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังทันที “เปล่าเลยลุงหลี ท่านอย่าได้คิดมากไปเลย สิ่งที่ท่านเล่ามาสนุกมาก แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้มีบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยก็เท่านั้นเอง”
แน่นอนว่าเสิ่นเหวินเจวี้ยนขมวดคิ้วด้วยความสับสนและรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็มีประกายแห่งความสุขและรอยยิ้มฉายขึ้นในดวงตาของเขา
ท่าทางนั้นดูไม่สบายใจ หากแต่ก็เขินอายราวกับคนที่มีความรักครั้งแรก
นายน้อยอายุสิบแปดปีแล้ว แต่บางทีเขาอาจจะยังไม่เข้าใจสิ่งนี้
แต่หลีหยวนผู้ซึ่งเคยมีประสบการณ์ความรักมาก่อน เมื่อเห็นท่าทีของนายน้อย จึงนึกถึงครั้งเมื่อตนเองอายุสิบแปดปี เมื่อเขาตกหลุมรักครั้งแรกก็มีท่าทางเช่นเดียวกับเสิ่นเหวินเจวี้ยน
มีความสับสนและเต็มไปด้วยไม่เข้าใจ หากแต่ก้นบึ้งของหัวใจกลับหวานราวกับการกินน้ำผึ้ง
เสิ่นเหวินเจวี้ยนส่ายหน้า ดูเหมือนเขาจะสับสนและงุนงง แต่ก็ยังพูดว่า “ลุงหลี มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แค่มีเรื่องมากมายในร้านและมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการ ข้าจึงอารมณ์ไม่ดี เอาล่ะ ไปเดินเล่นที่บ้านลุงหลีกันเถอะ เดิมทีข้าอยากฟังเรื่องเล่าของท่าน แต่ตอนนี้ไม่คิดว่าจะไม่มีกะจิตกะใจจะฟังแล้ว โชคดีที่ลุงหลีไม่ใส่ใจ ไม่อย่างนั้นข้าคงหยาบคายมาก ช่างน่าอายจริง ๆ”
เสิ่นเหวินเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร และหลีหยวนก็ไม่ได้ถามสิ่งใดให้มากความ “นายน้อย ถ้าท่านไม่เป็นอะไรก็สามารถมาที่นี่ได้ แม้ว่าข้าจะไม่ค่อยเชี่ยวชาญด้านการค้ามากเท่าไรนัก แต่ข้าก็ยังมีความรู้จากที่ต่าง ๆ อยู่บ้าง ข้าสามารถคุยกับนายน้อยได้ และถือเป็นการปลอบโยนหัวใจของนายน้อยด้วย อย่างไรก็ตาม คนที่ผูกกระดิ่งต้องแก้เอง หากนายน้อยมีเรื่องอะไร ท่านต้องค้นหาต้นตอของปัญหาและจัดการกับต้นตอเพื่อแก้ไข”
คำพูดของหลีหยวนดูเหมือนแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเสิ่นเหวินเจวี้ยน
ใช่แล้ว การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงเท่านั้นที่เขาจะสามารถแก้ปัญหาของเขาได้
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ทันใดนั้นร่างชุดในสีเหลืองนวลก็แวบเข้ามาในความคิดของเขาและปรากฏขึ้นเต็มหัวใจของเขา
เสิ่นเหวินเจวี้ยนพยักหน้า ยกจิบชาอีกครั้ง ก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อข้าไม่มีกะจิตกะใจจะฟัง วันนี้ข้าจะไม่รบกวนท่านลุงแล้ว เมื่อเหวินเจวี้ยนแก้ปัญหาได้ ข้าจะมาฟังเรื่องราวของท่านอีก ข้าขอตัว”