ตอนที่ 1,345 ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดฝัน
ปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยาและเผ่าเทพตะวันเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ เป็นสองสิ่งที่ไม่สามารถอยู่ร่วมสถานที่เดียวกันได้เด็ดขาด
นักรบเทวะระดับสูงของเผ่าเทพพงไพรจำนวนมากต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของเจี๋ยนเซียวเหยาผู้นี้
ไม่มีการประนีประนอมระหว่างทั้งสองฝ่าย
แล้วจะไม่ให้พวกของพานตั่วหลินหวาดกลัวได้อย่างไร?
“เจี๋ยนเซียวเหยา เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
นักเวทอวิ๋นจีมีสีหน้าเรียบเฉย ถือไม้คทาอยู่ในมือและเดินออกมาข้างหน้า “เรื่องราวนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้า กรุณาอย่ายุ่งเกี่ยว”
“ให้ตายสิ ข้ามีตำแหน่งเป็นถึงเทพเจ้าเชียวนะ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาพูดกับข้าเช่นนี้?”
หลินเป่ยเฉินผู้สวมใส่หน้ากากสัตว์ร้ายลายเปลวไฟหัวเราะในลำคอตอบกลับไป “ไม่กลัวหรือว่าข้าอาจจะฆ่าเจ้าก็ได้?”
นักเวทอวิ๋นจีลอบโคจรพลังสร้างเกราะป้องกันตนเองมาตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงไม่หวาดกลัว พูดตอบกลับไปเสียงเรียบว่า “ข้ามาที่นี่ภายใต้คำสั่งของใต้เท้าฉาง ข้าคือนักเวทระดับสูงที่…”
วูบ!
รังสีกระบี่สาดประกายวูบ
คลื่นความร้อนและพลังกดดันปกคลุมในอากาศ
ปลายกระบี่เพลิงโลกันตร์ลุกเป็นไฟพลันจ่ออยู่ที่กลางหน้าผากของนักเวทอวิ๋นจี
ชิ้ง! ชิ้ง!
เสียงกระบี่ถูกชักออกจากฝัก
องครักษ์ประจำกายนักเวทอวิ๋นจีทั้งสองคนไม่มีเวลาได้ทันตั้งตัว กว่าที่พวกเขาจะชักกระบี่ออกมา ก็เชื่องช้ากว่าหลินเป่ยเฉินไปหนึ่งก้าว ทำให้ในขณะนี้ พวกเขาไม่กล้าทำอะไรอีกแล้ว
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในหัวใจของนักเวทอวิ๋นจีและองครักษ์ทั้งสอง
เจี๋ยนเซียวเหยาเป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอ และกระบี่ที่อยู่ในมือของเขา ก็มีความร้ายกาจเกินจินตนาการ
สถานการณ์ตกอยู่ในการควบคุมของเจี๋ยนเซียวเหยาโดยสมบูรณ์
“เจ้าต้องการจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ?”
นักเวทอวิ๋นจีรู้สึกเจ็บที่กลางหน้าผากของตนเองเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขายังคงจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเขม็ง “เอาสิ รับรองว่าใต้เท้าฉางไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่”
“ใต้เท้าฉาง… ฮ่า ๆๆ”
ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากสัตว์อสูรเป็นประกายระยิบระยับด้วยความตลกขบขัน
เพียงเขาใช้กระบวนท่ากระบี่ที่หกจากเคล็ดวิชากระบี่สิบเจ็ดคาบสมุทร ก็เพียงพอแล้วที่จะสังหารนักเวทอวิ๋นจีผู้นี้
นักเวทอวิ๋นจีเพิ่มพลังเวทมนตร์เพื่อคุ้มกันร่างกายของตนเองให้หนาแน่นมากกว่าเดิมขณะกล่าวว่า “แม้แต่ใต้เท้าหมิงรั่วก็ยังเกือบตายด้วยน้ำมือของข้ามาแล้ว เจ้าเป็นเพียงนักเวทต่ำต้อย คิดว่าข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้าหรือ?”
หลินเป่ยเฉินถือกระบี่แนบแน่น พูดด้วยน้ำเสียงดุดันอำมหิต ทำให้นักเวทอวิ๋นจีขนลุกเกรียวไปทั่วร่างกาย รู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
วูบ!
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ลดกระบี่ในมือลง
“ไสหัวไปซะ”
เสียงของเขาดังก้องกังวานในอากาศ “เป็นโชคดีสำหรับเจ้าในวันนี้ ที่กระบี่ของข้าถึงขีดจำกัดในการฆ่าคนประจำวันแล้ว”
ร่างของนักเวทอวิ๋นจีรีบล่าถอยไปทันที
รอบกายของเขาปรากฏคลื่นพลังสีแดงก่อตัวขึ้นกลายเป็นโล่โปร่งแสงขนาดใหญ่
องครักษ์ทั้งสองคนก็โคจรพลังศักดิ์สิทธิ์สร้างโล่เวทมนตร์ออกมาคุ้มกันร่างกายเช่นกัน
นี่คือการเผชิญหน้าแบบสามรุมหนึ่ง
แต่พวกเขากลับไม่มั่นใจว่าตนเองจะเป็นฝ่ายชนะ
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจนักเวทและองครักษ์เหล่านั้นอีก เขาหันหน้ามาจ้องมองทางพวกของไป๋เสี่ยวเซียวทั้งสี่คน
“เจ้ามองอะไรไม่ทราบ?”
ไป๋เสี่ยวเซียวคำรามออกมาราวกับเป็นเสือดาวสาวผู้ดุร้าย ดวงตาของนางเป็นประกายคุกคามผู้คนขณะกัดฟันพูดต่อ “หากเจอหน้ากันบนสะพานหินโบราณ ข้าคงไม่ปล่อยเจ้าไปแน่… แต่ดูสภาพเจ้าก่อนเถอะ ไม่เห็นจะน่าเกรงขามสักเท่าไหร่ เมื่อเวลานั้นมาถึง ข้าจะต่อให้เจ้าก่อนสักสามกระบวนท่าแล้วกัน”
ชาวเผ่าจันทราขาวอีกสามคนที่อยู่ด้านหลังยิ้มเหยียดหยามให้เขาโดยไม่ปิดบัง
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ
ไม่ได้พบหน้ากันตั้งนาน แม่เสือดาวสาวผู้นี้ยังคงดุร้ายไม่เปลี่ยนแปลง
“เจ้าหัวเราะอะไร?”
ไป๋เสี่ยวเซียวพูดเสียงเย็นชา “ทำไม? หรือเจ้าอยากให้ข้าต่อให้เจ้าก่อนสักสิบกระบวนท่า? อย่าได้หวังสูงเช่นนั้นเลย”
“ข้าไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากเจ้า”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “สัญญากับข้าเรื่องหนึ่งสิ แล้วข้าจะไม่มากวนอีกเลย”
“สัญญาเรื่องอะไร?”
ใบหน้าที่สวยงามของไป๋เสี่ยวเซียวเต็มไปด้วยประกายแห่งความโกรธแค้น “ข้าไม่มีทางแต่งงานกับเจ้าแน่ ข้ามีคนรักอยู่แล้ว… บุรุษในดินแดนทวยเทพอย่างพวกเจ้าอ่อนแอมากเกินไป ไม่คู่ควรที่จะเป็นคนรักของข้า”
“เจ้าคิดมากเกินไป”
หลินเป่ยเฉินว่า “ข้าเพียงอยากให้เจ้าถอนตัวจากการแข่งขันเท่านั้นเอง”
พูดจบ
ทุกคนก็ตกตะลึง
แม้แต่พวกของนักเวทอวิ๋นจี พานตั่วหลินและคนอื่นๆ ก็แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา
เจี๋ยนเซียวเหยาก็ต้องการให้ไป๋เสี่ยวเซียวถอนตัวออกจากการแข่งขันอย่างนั้นหรือ?
นี่มันเป้าหมายเดียวกับพวกเขาเลยนี่นา
มุมปากของนักเวทอวิ๋นจียกยิ้ม
พวกเขาเคยพยายามขอร้องให้ไป๋เสี่ยวเซียวถอนตัวออกจากการแข่งขันมาแล้ว โดยที่มีผลประโยชน์มหาศาลเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่เด็กสาวก็ปฏิเสธอย่างไม่ไยดี แล้วเจี๋ยนเซียวเหยาจะใช้ลูกไม้ใดกัน?
จะบังคับขู่เข็ญด้วยกำลังอย่างนั้นหรือ?
ชาวเผ่าจันทราขาวเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอซะด้วยสิ
เกรงว่าครั้งนี้ปีศาจน้อยเจี๋ยนเซียวเหยาคงจะต้องผิดหวังแล้ว
หากทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันจนได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยกันทั้งคู่ ก็จะยิ่งดีไปกันใหญ่
นักเวทอวิ๋นจีและพรรคพวกคิดด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง แทบรอไม่ไหวแล้วที่จะเห็นการต่อสู้ระหว่างเจี๋ยนเซียวเหยากับชาวเผ่าจันทราขาว
เป็นไปตามคาด…
“ว่าไงนะ?”
ไป๋เสี่ยวเซียวคำรามออกมาด้วยความเดือดดาล ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ “เจ้าเป็นพวกเดียวกันนี่เอง… เฮอะ สุนัขรับใช้อย่างเจ้า เมื่อเผชิญหน้ากันบนสะพานหิน ข้าจะไม่ต่อให้เจ้าก่อนสามกระบวนท่าอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “เดี๋ยวเจ้าก็ต้องตอบตกลง”
ไป๋เสี่ยวเซียวยิ่งรู้สึกโกรธแค้นมากกว่าเดิม “เจ้าเอาอะไรมามั่นใจขนาดนี้? ฮึ คงคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เสียเต็มประดาล่ะสิ ข้าจะบอกให้รู้นะว่าพวกเรา… หืม?”
ทันใดนั้น เด็กสาวผู้เกรี้ยวกราดก็สะดุ้งเฮือกราวกับถูกสายฟ้าฟาด
ในมือของนางถือไม้เท้ากระดูกขาวที่เป็นอาวุธคู่กาย แต่บัดนี้ สีหน้าของไป๋เสี่ยวเซียวกลับแสดงออกถึงความตกตะลึงสุดขีด “ทะ… ท่านคือ…”
“ที่นี่ไม่เหมาะสำหรับการพูดคุย”
หลินเป่ยเฉินกล่าว “เราสามารถพูดคุยกันตามลำพังได้หรือไม่?”
“อ้อ… ได้สิ ได้เลย ย่อมได้เจ้าค่ะ”
แล้วเสือดาวป่าผู้ดุร้ายก็กลายร่างเป็นแมวน้อยผู้อ่อนหวาน สีหน้าท่าทางของนางแปรเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน “พวกเราเข้าไปด้านใน… โรงเตี๊ยมกันดีกว่าเจ้าค่ะ ไปที่ห้องของข้า… ท่านตามข้ามา”
นางพูดราวกับกลัวว่าเจี๋ยนเซียวเหยาจะวิ่งหนีไป
“เสี่ยวเซียว เจ้าเป็นอะไรไป?”
“องค์หญิงอย่าได้วู่วามสิเพคะ”
“ฮื่อ เด็กหนุ่มผู้นี้ต้องร่ายคาถาใส่องค์หญิงแน่นอน…”
ชาวเผ่าจันทราขาวทั้งสามคนต่างก็ตกตะลึงในท่าทีที่เปลี่ยนไปของไป๋เสี่ยวเซียว
“ไม่มีอะไรหรอกเจ้าค่ะ พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล ข้ายังคงเป็นปกติดี”
ไป๋เสี่ยวเซียวอธิบายอย่างรวบรัด
หลังจากนั้นก็หันมากวักมือเรียกหลินเป่ยเฉินอีกครั้งด้วยความร้อนรน “มาเถอะเจ้าค่ะ พวกเราเข้าไปข้างในกัน”
หลินเป่ยเฉินยิ้มเล็กน้อย พยักหน้าทักทายชาวเผ่าจันทราขาวทั้งสามคนนั้นอย่างวางมาด ก่อนจะเดินตามไป๋เสี่ยวเซียวเข้าสู่ด้านในโรงเตี๊ยม
นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
สุดท้ายแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เหตุไฉนเสือดาวสาวผู้ดุร้ายแห่งเผ่าจันทราขาวถึงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
ดูจากท่าทีของนางแล้ว ดูเหมือนเด็กสาวจะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับเจี๋ยนเซียวเหยามากทีเดียว
ส่วนลึกในดวงตาของนักเวทอวิ๋นจีปรากฏความฉงนสงสัย
สำหรับข้อมูลเกี่ยวกับเจี๋ยนเซียวเหยาและไป๋เสี่ยวเซียวที่เขาได้รับทราบมานั้น ทั้งสองคนต่างก็เข้าร่วมการแข่งขันได้โดยการใช้อำนาจของใต้เท้าเหลียนทั้งสิ้น
แต่นอกจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเชื่อมโยง ‘เจี๋ยนเซียวเหยา’ กับ ‘ไป๋เสี่ยวเซียว’ เข้าด้วยกันอีก
ดังนั้น เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ท่านนักเวทขอรับ พวกเรา…”
พานตั่วหลินเดินเข้ามาด้วยความกระวนกระวาย
“รอดูไปก่อน”
นักเวทอวิ๋นจีตอบ
เขาตัดสินใจที่จะอยู่ต่อเพื่อรอดูว่าทิศทางของเรื่องราวนี้จะเป็นเช่นใด