ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 344 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-4

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 344 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-4

ซ่างกวนซวี่เหยาคารวะอาจารย์ตอนแปดขวบ ร่ำเรียนสิบสองปี

อายุครบยี่สิบพอดี

เป็นวัยยอดเยี่ยมที่เด็กชายคนหนึ่งจะกลายเป็นบุรุษตัวจริง

และก็เป็นช่วงเวลารุ่งเรืองที่คนเสเพลเที่ยวเตร่ยุทธภพ

แต่เขาใช้ชีวิตอยู่กับอาจารย์สองคนมาตั้งแต่แปดขวบ

กระทั่งศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ไม่มีสักคน

ย่อมไม่เคยพบคนอื่นมาก่อน

แม้ครอบครัวเขาจะมาเยี่ยมปีละครั้ง

แต่นานวันเข้าก็แปลกหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้

ตอนยังเรียนไม่จบเขาอุ่นสุราเก่ากาหนึ่งให้อาจารย์ทุกคืน

ฟังอาจารย์เล่าเรื่องราวภายนอก

อาจารย์พูดน้อย

มักดื่มไปครึ่งกาแล้วถึงจะเริ่มเปิดปาก

ประโยคแรกของทุกครั้งก็คือข้าไม่ใช่ชาวยุทธ์แล้ว เหตุใดเจ้ายังบีบให้ข้าเล่าเรื่องยุทธภพนั่นอีก

พอซ่างกวนซวี่เหยาได้ยินประโยคนี้ก็จะรีบลุกไปอุ่นสุราให้อาจารย์อีกกาหนึ่ง

ขอเพียงดื่มเยอะแล้ว คำพูดก็จะเยอะตามแน่นอน

ไม่ใช่แค่เสี่ยวจีหลิงที่เป็นเช่นนี้

ทุกคนก็เหมือนกัน

ฟังเรื่องราวเยอะแล้วก็จะเริ่มใฝ่ฝัน

ยังไม่เคยดื่มสุรา

ยิ่งไม่เคยจับมือสตรีมาก่อน

เด็กหนุ่มที่เพิ่งจากบ้านอาจารย์มายุทธภพคนหนึ่ง

ในหัวเขาต้องเต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย

เพราะเขาจะคิดวางแผนเรื่องที่อยากทำเยอะแยะไปหมด

อย่างเช่น ดื่มสุราดีสักกา

จับมือสตรีสักหน่อย

นอกจากนี้ยังมีอีกมากมาย…

ทุกสิ่งสำคัญเท่ากัน

ไม่อาจแบ่งหนักเบาช้าด่วนได้เลย

แต่ไม่ว่าดื่มสุราหรือจับมือก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น

ทว่าสองมือเขาว่างเปล่า

บนตัวไม่มีกระทั่งเหรียญทองแดงสักเหรียญ

เขายืนขวางสองสามคนบนถนนแล้วถามพวกเขาว่าทำอย่างไรถึงจะมีเงิน

คนเดินถนนบอกเขาอย่างติดตลกว่าเดินไปข้างหน้าอีกแยกหนึ่งก็จะเห็นโรงแลกเงินและโรงจำนำแห่งหนึ่ง

สองที่นี้ล้วนมีเงินเกล็ดหิมะนับไม่ถ้วน

ซ่างกวนซวี่เหยาฟังแล้วพยักหน้าอย่างจริงจัง

จากนั้นเดินไปยังโรงจำนำและโรงแลกเงิน

แต่ผลลัพธ์หาใช่สิ่งที่คนเดินถนนผู้มองเงาหลังซ่างกวนซวี่เหยาเดินสาวเท้าแล้วป้องปากหัวเราะคิดไว้

เพราะวิชาขาของเขายอดเยี่ยมเกินคนอย่างแท้จริง

นั่นเป็นเงินสดเกือบหมื่นตำลึง

คนธรรมดายังถือไม่ไหว

แต่นอกจากวิชาขาแล้ว สิ่งที่ซ่างกวนซวี่เหยาเก่งที่สุดก็คือท่าร่าง

แม้แบกเงินสดเกือบหมื่นตำลึงไว้ก็ตัวเบาดุจนกนางแอ่นได้

ต่อมาเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็กลายเป็นนักโทษหลบหนีก่อนที่จะเป็นคนเสเพลด้วยเหตุนี้

แต่เขาก็ยังยิ้มแป้นมองภาพเหมือนตัวเองบนประกาศจับที่ทางการส่งมาตรงประตูเมืองแล้วพูดว่าไม่เหมือน!

และรางวัลนำจับของเขายังสูงถึงหนึ่งหมื่นตำลึง

ต้องรู้ไว้ว่าเงินที่เขาปล้นมาจากโรงจำนำกับโรงแลกเงินยังไม่ถึงหมื่นตำลึงด้วยซ้ำ

นี่ทำให้เขาขุ่นเคืองอย่างยิ่ง

ด้วยความโมโหจึงไปมอบตัวให้ทางการเอง

เขาใช้เงินที่ปล้นมาเหล่านั้นหมดนานแล้ว

บางครั้งสุรานารีราคาไม่แพง

ถึงขั้นไม่ต้องใช้เงินก็มีคนเชิญเขาดื่มสุรา

ไม่ต้องเอ่ยคำใดก็มีคนโผเข้าอ้อมอก

แต่ซ่างกวนซวี่เหยาไม่รู้เรื่องพวกนี้

ย่อมกลายเป็นแกะอ้วนในสายตาเถ้าแก่แม่เล้าเหล่านั้น

ตอนนี้เขามีแค่ชีวิตของตัวเองเท่านั้น

แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับไม่ยี่หระ

เขาแค่อยากถกกับท่านขุนนางผู้นี้ให้ชัดว่าเหตุใดรางวัลนำจับของตนต้องสูงกว่าเงินที่ปล้นมาด้วย

ท่านขุนนางบอกเขาว่ารางวัลหนักมักมีผู้กล้า

แต่ซ่างกวนซวี่เหยาบอกว่าตอนนี้ไม่มีใครจับเขาได้

เขามามอบตัวเอง

ดังนั้นเงินรางวัลหนึ่งหมื่นตำลึงนี้ควรยกให้เขา

ท่านขุนนางได้ยินคำแย้งน่าตกใจเช่นนี้ก็ตกตะลึงทันที

จากนั้นหัวเราะเสียงลั่น

เขาจะให้เงินรางวัลซ่างกวนซวี่เหยาได้อย่างไร

การมอบตัวอย่างมากก็ผ่อนหนักเป็นเบาตอนตัดสินโทษเท่านั้น

แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับเตะโต๊ะในศาลพิจารณาคดีจนพังด้วยความโมโห

ยังบอกท่านขุนนางผู้นี้ว่าหากไม่ให้เงินรางวัลตนก็จะทำให้หัวของเขาแหลกละเอียดเหมือนโต๊ะตัวนี้

ท่านขุนนางเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้เสียที่ไหน ได้แต่รีบเอาเงินหนึ่งหมื่นตำลึงในรางวัลนำจับแลกกับชีวิตตัวเอง

เงินสดหนึ่งหมื่นตำลึงถึงมือ

ซ่างกวนซวี่เหยาหัวเราะชอบใจ

“ข้าหยิบเงินจากโรงจำนำกับโรงแลกเงินมาทั้งหมดแปดพันเจ็ดร้อยตำลึง หนึ่งหมื่นตำลึงหักออกแปดพันเจ็ดร้อยตำลึงยังเหลือเท่าไร”

ซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถามท่านขุนนาง

“หนึ่ง…หนึ่งพันสามร้อย…”

ท่านขุนนางกล่าวตัวสั่น

ซ่างกวนซวี่เหยาพยักหน้า

ถึงขั้นเริ่มนับเงินบนศาล

เขาอยากเอาแปดพันเจ็ดร้อยตำลึงจากหมื่นตำลึงของตนไปชดใช้ให้โรงจำนำกับโรงแลกเงิน

หากเป็นคนทั่วไปต้องนับหนึ่งพันสามร้อยตำลึงออกแล้วเอาที่เหลือส่งคืน

แต่ซ่างกวนซวี่เหยาไม่ใช่

หากเขาทำเช่นนั้นก็คงไม่ได้เป็นเจิ้นเป่ยอองในวันหน้า

เขานับแปดพันเจ็ดร้อยตำลึงออกมา

“ข้าถือว่าทำผิดโทษฐานใด”

ซ่างกวนซวี่เหยานับเงินเสร็จแล้วเงยหน้ามาถามท่านขุนนาง

“ไม่ผิดๆ…ความดีหักล้างความผิด เท่ากับไม่มีโทษ!”

ท่านขุนนางไหนเลยจะยังกล้าตัดสินโทษของซ่างกวนซวี่เหยา

แทบอยากจะให้เขารีบๆ ไปเสีย

“โต๊ะของท่านราคาเท่าไร”

ซ่างกวนซวี่เหยาเอ่ยถาม

“ไม่มีราคา ไม่มีราคา…”

ท่านขุนนางกล่าวพลางโบกมือพัลวัน

ในยามนี้เอง ซ่างกวนซวี่เหยาพลันหันไปมอง

เห็นคนเดินถนนที่บอกตนว่าโรงแลกเงินกับโรงจำนำมีเงินในตอนแรก

ร่างเขาแวบหาย

ฝีเท้าเบายิ่ง

เขาไปจับคนผู้นั้นออกจากกลุ่มคนแล้วพามาหน้าศาล

“เขาต้องมีความผิดแน่!”

ซ่างกวนซวี่เหยาชี้คนเดินถนนผู้นั้นพลางกล่าว

มือดึงคอเสื้อของเขาไว้แน่น

หิ้วเขาขึ้นมา

ท่านขุนนางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“เขาบอกให้ข้าไปเอาเงินที่โรงจำนำกับโรงแลกเงิน หลอกคนไม่ใช่ความผิดหรอกรึ”

ซ่างกวนซวี่เหยากล่าว

“เป็นความผิดๆ! ทั้งยังเป็นความผิดร้ายแรงยากให้อภัย!”

ท่านขุนนางรีบกล่าว

คนเดินถนนผู้นี้จึงเข้าคุก

และซ่างกวนซวี่เหยาก็หยิบเงินหนึ่งพันสามร้อยตำลึงออกจากศาลอย่างองอาจผึ่งผาย

มีเงินแล้วย่อมมีสตรีมีสุราดื่ม

แล้วก็จะมี ‘สหาย’

เป็นสหายที่จะอยู่เคียงข้างเจ้าตอนเจ้ามีเงินและไม่เห็นเงาตอนเจ้าไม่มีเงิน

ตอนนั้นสหายข้างกายซ่างกวนซวี่เหยาเป็นเช่นนี้ทั้งหมด

เขาจึงใช้เงินเร็วมากเสมอ

ไม่นานหนึ่งพันสามร้อยตำลึงก็ร่อยหรออีกครั้ง

ไม่มีเงิน อย่าว่าแต่ดื่มสุราจับมือสตรี

กระทั่งกินข้าวก็เป็นปัญหาใหญ่

สามวันแรกอาศัยไขมันที่สะสมในตัวยังพอทนได้

แต่ถึงวันที่สี่เขากลับหิวจนเป็นลมล้มพับกลางถนน

ตอนเขาค่อยๆ ฟื้นสติพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่อ่อนนุ่มหลังหนึ่ง

เขาเงยหน้ามองของจัดวางในบ้านแล้วรู้สึกคุ้นเล็กน้อย

ประตูเปิดฉับพลัน

หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา

หญิงคนนี้ไม่ใช่สตรีที่เขาเคยจ่ายเงินให้ได้จับมือ

แต่เป็นมารดาของเขา

มีเพียงตอนหิวท้องคนถึงจะคิดกลับบ้าน

แต่ซ่างกวนซวี่เหยายังไม่นึกอยากกลับบ้านก็หิวเป็นลมไปเสียก่อน

คนอื่นล้วนพูดว่าชาติก่อนเขาต้องทำความดีมาไม่น้อยเป็นแน่

ไม่เช่นนั้นจะมาเกิดในตระกูลซ่างกวนที่ร่ำรวยล้นฟ้าได้อย่างไร

ทั้งยังเป็นลูกคนเดียว

หากเขาเรียนจบแล้วกลับบ้านดีๆ

เป็นคุณชายสำเริงสำราญสักสองสามปีให้บิดาของตนทนไม่ไหวจนตาย

ทุกอย่างในตระกูลซ่างกวนก็เป็นของเขาทั้งหมด

เพียงแต่นี่เป็นแผนการที่คนอื่นวางให้เขา

ซ่างกวนซวี่เหยาไม่มีความเห็นใดในเรื่องนี้

ก่อนแปดขวบอายุยังน้อย

การกินอยู่ในชีวิตประจำวันล้วนมีคนใช้ยี่สิบกว่าคนคอยปรนนิบัติ

แปดขวบแล้วก็คารวะอาจารย์ฝึกยุทธ์

ไม่รู้เรื่องเงินทองน้ำใจคนบนโลกเลยสักนิด

การส่งเขาไปฝึกยุทธ์ตอนนั้นก็เป็นความคิดของนายท่านตระกูลซ่างกวน

ไม่เช่นนั้นมอบทรัพย์สมบัติเยอะขนาดนี้ถึงมือเด็กหนุ่มอ่อนแอไม่มีแรงมัดไก่คนหนึ่งจะไม่ทำให้บรรพบุรุษอับอายหรอกหรือ

แต่นายท่านซ่างกวนลืมไปว่าลูกชายของตนไม่เข้าใจกระทั่งขนบธรรมเนียมทางสังคมที่พื้นฐานที่สุด

แม้ยังไม่ถึงขั้นล้างผลาญตระกูล

แต่คุณชายใหญ่ของตระกูลซ่างกวนปล้นเงินแปดพันเจ็ดร้อยตำลึงอยู่ข้างนอกแล้วยังทำลายศาลพิจารณาคดี จนถึงขั้นตกอับหิวเป็นลมอยู่กลางถนน

นี่ทำให้บรรพบุรุษอับอายยิ่งกว่าล้างผลาญสมบัติอีกไม่ใช่หรือ

มองดูมารดาเขาอีกครั้ง

นางไม่เปลี่ยนจากตอนเขาออกไปเมื่ออายุแปดขวบเลย

ยังคงสง่านุ่มนวล สูงส่งสงบนิ่งเช่นนั้นเสมอ

แม้อายุสี่สิบแล้ว แต่ยังมีใบหน้าขาวนวลอ่อนกว่าวัย

สวมเสื้อตาดตัวในคอตั้งสาบเฉียงปักลายหรูอี้สีดอกอิงเถา

ชายกระโปรงเป็นผ้าโปร่งปักลายดอกกุหลาบยาวลากพื้น

เพียงแต่มารดาของเขาสุขภาพไม่ค่อยดี…

ช่วงกลางฤดูร้อนยังต้องคลุมผ้าแพรเย็บซ้อนผ้าเนื้อบางสีเหลืองมะนาวพิมพ์ดำลายเถาองุ่น

สาวใช้เกล้าผมยาวดุจเมฆดำขึ้นเป็นมวยดอกบัวหวนเมฆา

ด้านหลังยังสอดกำไลแปดเซียนข้ามทะเลสีขี้ผึ้งวงหนึ่ง

บนข้อมือขาวเรียวบางสวมกำไลอำพันกับหินสีครามหลายวง

ช่วงเอวฝั่งซ้ายห้อยถุงหอมปักลายกระเรียนขาวกางปีก

เนื่องจากอยู่ในบ้านจึงสวมรองเท้าใส่นอนเนื้อต่วนสีเทาร้อยไข่มุก

แต่ดูรวมๆ แล้วสดใสดุจฤดูใบไม้ผลิ ท่วงทีงดงามอ่อนช้อย

ซ่างกวนซวี่เหยามองมือมารดาของตน

รู้สึกมือคู่นี้ยังสวยกว่าทุกมือที่เขาเคยจ่ายเงินให้ได้จับ

เมื่อมองผิวพรรณที่เริ่มหมองคล้ำและร่างกายมอมแมมของตัวเอง

พลันรู้สึกว่าตนไม่ค่อยเข้ากับบ้านนี้แล้ว

ที่จริงสิ่งที่เข้ากันไม่ได้หาใช่ภายนอกของเขา

ภายนอกเปลี่ยนได้เสมอ

คนตากแดดดำ แค่ไม่ออกจากบ้านครึ่งเดือนก็จะขาวขึ้นแน่นอน

และคนมอมแมมยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่

แค่ใช้น้ำสะอาดถังหนึ่งก็ล้างสิ่งสกปรกได้แล้ว

สิ่งที่เข้ากันไม่ได้อย่างแท้จริงคือจิตใจของเขา

เขาไม่อยากมีคนใช้ยี่สิบคนตามอยู่ข้างหลังตลอดเวลาอีกแล้ว

เพราะเขาคิดว่าดูไร้สาระมาก…

และก็ไม่อยากทำทุกสิ่งสำเร็จแค่เพราะอ้าปาก

เพราะเขาคิดว่าดูโง่เขลานัก

เขาต้องการความตื่นเต้นอย่างตอนไปโรงจำนำกับโรงแลกเงินแล้วยื่นขาเตะกลุ่มคนล้มในคราวเดียว

ทั้งต้องการความเฉลียวฉลาดเช่นตอนขึ้นศาลกับท่านขุนนางครานั้น

พูดง่ายๆ ก็คือเขาปรารถนาโลกภายนอก

ปรารถนาโลกภายนอกที่อยู่นอกกำแพงลานบ้านที่สูงตรงของตระกูลซ่างกวน

เมื่อกินโจ๊กที่มารดาเคี่ยวเองกับมือหนึ่งหม้อใหญ่เต็มๆ จนอิ่มท้องแล้ว

เขาก็ออกจากบ้านในคืนวันนั้น

คราวนี้ความปรารถนาของเขากลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง

สุราเคยดื่มแล้ว

มือสตรีก็เคยจับแล้ว

ตอนนี้เขาอยากไปไกลขึ้นอีกหน่อย

จากบ้านไกลขึ้นอีกนิด

เขาจึงจากแดนใต้ที่ฝนตกชุกอุดมสมบูรณ์มายังชายแดนเหนือที่รกร้างแห้งแล้งในหนึ่งลมปราณ

แต่ครั้งนี้ซ่างกวนซวี่เหยาไม่ได้ออกจากบ้านมือเปล่า

เขาหยิบจอกชาใบหนึ่งบนหัวเตียงของตนมาด้วย

เป็นอันที่มารดาเขายกเข้ามาหลังจากเขาหิวจนเป็นลม

ทุกครั้งที่เห็นจอกชาใบนี้เขาจะได้นึกถึงเตียงใหญ่หลังนั้น รวมถึงสีหน้ารักใคร่ของมารดาเขาด้วย

ตอนนี้จอกใบนั้นกำลังวางอยู่ตรงหน้าเขา

จำต้องบอกว่าเขารักษาไว้อย่างดี

ตลอดหลายปีจอกชาใบนี้ไม่เคยมีรอยกระแทกใดๆ

ยังคงสมบูรณ์แบบ

เพียงแต่มารดาของเขาเสียไปนานแล้ว

กระทั่งตระกูลซ่างกวนก็ไม่เหลือร่องรอย

บ้านบรรพบุรุษและที่นาก็ขายเปลี่ยนมือทั้งหมดตั้งแต่ตอนซ่างกวนซวี่เหยาก่อเรื่อง

เมื่อก่อนคนพูดถึงซ่างกวนซวี่เหยาก็จะบอกว่าเขาเป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซ่างกวน

แต่ตอนนี้เอ่ยถึงซ่างกวนซวี่เหยากลับบอกว่าเขาคือเจิ้นเป่ยอ๋อง

ไม่ว่าอย่างไร

นี่ก็ถือว่าสร้างเกียรติยศให้ตระกูลแล้ว

แม้เส้นทางต่างกัน

แต่เขายังทำสำเร็จตามความคาดหวังของบิดา

ไม่ได้ทำให้บรรพบุรุษอับอาย

ส่วนคนรับใช้เก่าผู้ซื่อสัตย์ที่ปรนนิบัติคนในบ้านมาหลายชั่วรุ่นเหล่านั้น

ตลอดหลายปีนี้ก็ได้รับการดูแลอยู่ในวังอ๋องเป็นอย่างดี

คนที่เคยรับใช้คนอื่นก็มีคนอื่นรับใช้

จำต้องบอกว่าซ่างกวนซวี่เหยาเป็นคนให้ความสำคัญกับความรู้สึกอย่างยิ่ง

แม้เขาอยู่ในบ้านไม่นาน

แต่เขาไม่เคยลืมความช่วยเหลือรวมถึงคุณงามความดีที่ทุกคนในบ้านเคยมีต่อตนและตระกูลของเขา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท