ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 486 คลื่นลม

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 486 คลื่นลม

ใบหน้าที่เสียโฉม มีดทำครัวที่ทอประกายเย็นวับทำให้เถาหงหวาดกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย

หน้าตาอัปลักษณ์เช่นนี้แล้ว ยังกินแมลงที่น่ากลัวลงไป นางคิดว่าอาซิ่วจะไม่กลัวตายแล้วเสียอีก

ไม่ได้ นางเกรงใจหน่อยดีกว่า

ความเย่อหยิ่งแบบเดิมหายไป เถาหงเปลี่ยนมาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างรู้งาน “อาซิ่ว เจ้าวางมีดลงก่อน”

ซิ่วเย่ว์มองมีดแล้วโยนลงไปบนเขียง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “พี่เถาหงว่ามาเถอะ”

เถาหงแอบกำหมัดแน่น หัวเราะแห้งๆ พูดว่า “อาซิ่วยังจำน้ำบ๊วยที่ดื่มลงไปเมื่อครั้นเข้าวังคราวที่แล้วได้หรือไม่”

ซิ่วเย่ว์พยักหน้า

เถาหงพยายามยืดตัวตรงแล้วถอยหลังไปครึ่งก้าว “อาการปวดของเจ้าเกี่ยวโยงกับสิ่งนี้”

ไม่รอให้ซิ่วเย่ว์ตอบสนองใดๆ เถาหงรีบยื่นขวดลายครามขนาดเล็กออกไป “ใจเย็นๆ ยาในขวดนี้คือยาแก้ปวด มีทั้งหมดสามเม็ด ทานเดือนละเม็ดก็จะสามารถบรรเทาอาการปวดท้องได้…”

เมื่อฟังเถาหงพูดจบ ใบหน้าของซิ่วเย่ว์ที่แต่เดิมน่ากลัวอยู่แล้วก็ปกคลุมด้วยเงามืดชั้นหนึ่ง ภายใต้การข่มขู่ของมีดที่นอนอยู่ข้างมือนิ่งๆ ยิ่งทำให้เถาหงใจเต้นแรงเพราะความกลัว

“ข้าไม่เข้าใจความหมายของเหนียงเหนียง” ซิ่วเย่ว์ขมวดคิ้วพูด

เถาหงฝืนยิ้ม “ความหมายของเหนียงเหนียงของเรานั้นง่ายมาก อาซิ่วไม่เผยแพร่สูตรยานั่นให้ใครอีกก็พอ”

“ที่แท้เพราะเรื่องนี้นี่เอง” ซิ่วเย่ว์น้ำเสียงราบเรียบจนฟังไม่ออกว่าสุขหรือทุกข์

เถาหงมองตานางนิ่ง “แล้วเจ้าตกลงหรือไม่”

ซิ่วเย่ว์ยิ้ม “สูตรยาที่ให้เหนียงเหนียงครานั้น เป็นเพราะข้าต้องการบางสิ่ง บัดนี้ข้าสมปรารถนาแล้ว ข้าจะให้สูตรยาคนอื่นเพื่อหาเรื่องใส่ตัวได้อย่างไร กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงทรงคิดมากไปแล้ว”

เถาหงยกมุมปากอย่างพึงพอใจ “อาซิ่วคิดเช่นนี้ก็ดี เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเจ้าทำอาหารแล้ว เหนียงเหนียงยังรอข้านำไก่ขอทานกลับไป”

ซิ่วเย่ว์พยักหน้าเบาๆ ถือมีดที่วางข้างมือขึ้นมาเงียบๆ

เถาหงชะงักเล็กน้อยจากนั้นก็ถามเรื่องที่เหลือว่า “สูตรอาหารเป็นยาของอาซิ่ว คุณหนูลั่วรู้หรือไม่”

ซิ่วเย่ว์ยังคงมีสีหน้าดังเดิม น้ำเสียงก็ราบเรียบเช่นเดิม “เรื่องสำคัญเช่นนี้ ข้าจะให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องรู้ได้อย่างไร”

สิ่งที่ต้องบอกก็บอกไปหมดแล้ว ในที่สุดเถาหงก็โล่งใจและรีบเดินออกไป

เถาหงถือไก่ขอทานกลับวังอวี้หวาและรายงานต่อเซียวกุ้ยเฟย

เซียวกุ้ยเฟยที่ยังอยู่ไฟดูอ่อนแอมาก ใบหน้าที่แต่เดิมงดงามราวกับดอกพุดตานกลับซีดเซียว ราวกับว่าแก่ลงหลายปีกะทันหัน

“เป็นอย่างไรบ้าง” เซียวกุ้ยเฟยเอ่ยปาก น้ำเสียงเจือความเหนื่อยล้า

มิต้องพูดถึงความผิดหวังที่ไม่ได้ให้กำเนิดโอรส บาดแผลจากเรื่องธิดาที่ให้กำเนิดก่อนกำหนดสามารถจากไปได้ทุกเมื่อทำให้นางทุกข์ทรมานจนมิอาจนอนหลับได้

เถาหงเล่าสิ่งที่พูดคุยกับซิ่วเย่ว์ให้ฟัง

“นางรู้หน้าที่ก็ดีแล้ว” เซียวกุ้ยเฟยฟังจบก็พูดขึ้นและหลับตาลง

เวลาแบบนี้ยิ่งห้ามให้ผู้อื่นชิงความได้เปรียบไปก่อนได้ หวังเพียงนางจะสามารถพักฟื้นร่างกายจนหายไวๆ รีบมีข่าวดีให้เร็วที่สุดจากการช่วยเหลือของสูตรอาหาร

เมื่อเห็นว่าเซียวกุ้ยเฟยเหมือนจะหลับไปแล้ว เถาหงก็ถอยออกไปข้างๆ เบาๆ

แม้ไฟแห่งสงครามที่ปะทุขึ้นทั้งสี่ทิศจะปกคลุมเมืองหลวงที่รุ่งเรืองและสงบสุข แต่ถึงอย่างไรก็เกิดขึ้นในพื้นที่แดนไกล ความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองหลวงราวกับว่าจะไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง เรื่องสงครามกลายเป็นเพียงหัวข้อสนทนายามว่างหลังอาหารเย็น

มีหอสุราเองก็เปิดร้านดังเดิม กลิ่นหอมของสุราและอาหารลอยไปข้างนอก มักจะดึงดูดให้ผู้คนที่เดินผ่านไปมาน้ำลายสอและอดก่นด่าในใจว่าเป็นร้านเถื่อนไม่ได้

วันนี้เพิ่งเปิดร้าน เสนาบดีจ้าวก็พาหลินเถิงเข้ามา

ลั่วเซิงที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะคิดเงินเดินมาทักทาย อดมองหลินเถิงสองสามคราไม่ได้

ไม่ได้เจอมาสักพักหนึ่งแล้ว คุณชายใหญ่หลินท่านนี้ไม่รู้ว่ายุ่งเกินไปหรืออย่างไร รอยคล้ำใต้ตาถึงเข้มจนน่าตกใจ

เมื่อรู้สึกถึงสายตาของลั่วเซิง ใบหน้าที่นิ่งขรึมของหลินเถิงก็ร้อนผ่าว

เสนาบดีจ้าวกลับอดใจรอไม่ไหวที่จะนั่งลง เขายิ้มถามว่า “คุณหนูลั่ว ช่วงนี้มีอาหารจานใหม่บ้างหรือไม่”

ลั่วเซิงยิ้มพูดว่า “เสนาบดีจ้าวและคุณชายใหญ่หลินล้วนกินเผ็ดได้ ลองชิมหัวปลาราดพริกที่ออกใหม่ได้เจ้าค่ะ”

“หัวปลาราดพริกหรือ” เสนาบดีจ้าวตาเป็นประกาย

“เป็นพริกบดสูตรลับ ทั้งสองท่านลองชิมดูได้เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นเอาหัวปลาราดพริกแล้วกัน!” ได้กินอาหารจานใหม่ เสนาบดีจ้าวรู้สึกมาไม่เสียเปล่า เมื่อพูดจบสีหน้าพลันเปลี่ยน

แย่แล้ว ลืมถามราคา

เสนาบดีจ้าวใจเต้นรัว ปลอบใจตนเองเงียบๆ ว่า ไม่ต้องกลัว ไม่ได้มานานเช่นนี้ กระเป๋าเงินยังตุงอยู่เลย

โค่วเอ๋อร์พูดขึ้นจากข้างๆ อย่างใส่ใจว่า “หัวปลาราดพริกหนึ่งที่สามสิบตำลึง”

เสนาบดีจ้าวโล่งอก โบกมือ “เอาลิ้นเป็ดกระเทียมดำอีกหนึ่งจาน เนื้อตุ๋นพะโล้หนึ่งจาน สุราสองกา”

เมื่ออาหารยกขึ้นโต๊ะ เสนาบดีจ้าวก็เริ่มบ่นหลินเถิงที่ขอบตาดำ “หลินเถิงเอ๋ย งานน่ะไม่มีวันทำหมดหรอก อย่าทำลายสุขภาพเพราะสืบสวนคดีเลย หากเป็นอะไรไป เจ้าจะไม่เหลืออะไรเลย”

หลินเถิงจับจอกสุรายิ้มอย่างขมขื่น “สิ่งที่ใต้เท้าพูดข้าน้อยเข้าใจ แต่คดีนี้ไม่เหมือนกัน…”

ส่วนไม่เหมือนกันอย่างไรนั้น เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาแห่งความอยากรู้อยากเห็นมองมามากมาย หลินเถิงก็กลืนลงไปเงียบๆ

หงโต้วพึมพำว่า “เหตุใดไม่พูดให้จบเล่า”

นี่มันทำให้อยากรู้แล้วจากไปนี่นา

หงโต้วถลึงตามองหลินเถิงอย่างไม่พอใจ สายตากวาดผ่านหน้าต่างโดยไม่ตั้งใจ นางอดชะงักไม่ได้

สตรีที่ยืนอยู่ข้างนอกคนนั้นดูคุ้นหน้ามากเลย

เมื่อตั้งใจดูดีๆ หงโต้วก็จำได้ นางคือคุณหนูรองหวังของจวนรองเจ้ากรมหวังนั่นเอง

โอ้ ตอนนี้เรียกว่าจวนรองเจ้ากรมหวังไม่ได้แล้ว ได้ยินโค่วเอ๋อร์บอกว่ารองเจ้ากรมหวังถูกไล่ออกจากตำแหน่งเพราะจวนผิงหนานอ๋อง

เหมือนกับว่าคุณหนูรองหวังจะรับรู้ได้ว่าหงโต้วเห็นนางจึงก้าวเท้าเดินไปทางประตูหอสุรา ไม่นานก็เข้ามาในห้องโถง

หงโต้วต้อนรับคุณหนูรองหวังพานางไปนั่งแล้วถามว่า “กินอะไรดีเจ้าคะ”

คุณหนูรองหวังดูไม่ค่อยมีอารมณ์นัก นางตอบเสียงเบาว่า “บะหมี่หยางชุนหนึ่งถ้วย แตงกวาเสื้อกันฝน…หนึ่งที่”

“ขออภัยด้วย ตอนนี้ไม่มีแตงกวาขายเจ้าค่ะ”

“ไม่มีหรือ” คุณหนูรองหวังกะพริบตาสองสามที กัดปากพูดว่า “เช่นนั้นขอบะหมี่หยางชุนหนึ่งถ้วยแล้วกัน”

ไม่นานบะหมี่หยางชุนก็ยกขึ้นมา คุณหนูรองหวังกล่าวขอบคุณ ใช้ตะเกียบคีบบะหมี่ขึ้นมาค่อยๆกิน

ลั่วเซิงตาเป็นประกายเล็กน้อย

เหมือนกับว่าคุณหนูรองหวังจะเศร้าโศกมาก น้ำตาร่วงลงไปในบะหมี่หยางชุนด้วย

หรือว่าเจอปัญหาอะไรนะ

คุณหนูรองหวังเคยมาทานอาหารที่หอสุราหลายครา และจะมาพร้อมคุณหนูใหญ่หวังทุกครั้ง เมื่อคิดๆ ดูแล้ววันนี้มาคนเดียว ลั่วเซิงรู้สึกไม่ชอบมาพากล

หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางก็ลุกขึ้นเดินไปทางคุณหนูรองหวัง

ครานี้เอง จู่ๆ คุณหนูรองหวังก็วางตะเกียบลงและลุกขึ้น

ลั่วเซิงหยุดฝีเท้าลงดูว่าคุณหนูรองหวังต้องการทำอะไร

เหมือนกับว่าคุณหนูรองหวังจะไม่ได้สังเกตเห็นลั่วเซิงเลย นางรีบเดินไปข้างหน้าหลินเถิงแล้วย่อเข่าให้เล็กน้อย “ไม่ทราบว่าใช่ใต้เท้าหลินหรือไม่เจ้าคะ”

เสนาบดีจ้าวที่ถูกเพิกเฉยคีบเนื้อปลาชิ้นหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่สนใจ

เนื้อปลาชุ่มฉ่ำด้วยพริกบดสูตรลับ เนื้อเนียนนุ่มและสด ส่งกลิ่นหอม อย่าให้พูดเลยว่าอร่อยเพียงใด

หลินเถิงเจ้าคนเซ่อนี่ยุ่งมาหลายวัน เขาถึงกับทนดูต่อไปไม่ไหว แม้จะไม่ได้รับราคาอาหารพิเศษก็ต้องกัดฟันพาเจ้าหมอนี่มากินสักมื้อ คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ตอนกินข้าวยังต้องทำงาน

“ขอรับ ไม่ทราบว่าคุณหนูมีธุระอันใด”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท