รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 1024 เปี่ยมด้วยพลังชีวิต ทว่ากลับยังเน่าเปื่อย!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

บทที่ 1024 เปี่ยมด้วยพลังชีวิต ทว่ากลับยังเน่าเปื่อย!

นักพรตอัษฎสมบูรณ์ที่ผสานเป็นหนึ่งแล้วทรงพลังดุดันยิ่ง

เขาแกะสลักอักขระซับซ้อนบนอากาศ นักพรตอู๋เหลียงที่มีฝีมือด้านการปล้นสุสานอยู่บ้างกลับไม่อาจเข้าใจอักขระเหล่านั้นของนักพรตอัษฎสมบูรณ์แม้แต่น้อย ห่างไกลเกินกว่าความเข้าใจของเขา!

ราชันทมิฬเองก็มีความสามารถอยู่เช่นกัน เรียกจานแปดภูมิออกมา เอ่ยท่องบางอย่างในปาก พลันจานแปดภูมิเกิดการเคลื่อนไหว ไหลเวียนด้วยกฎเกณฑ์พิเศษเปล่งแสงเจิดจ้า

“ระบุตำแหน่ง!”

มันตะโกนออกมาเสียงดัง แสงเจิดจ้าที่เปล่งออกมาจากจานแปดภูมิสว่างถึงขีดสุด สว่างเสียจนทำให้ทุกคนไม่อาจลืมตามองได้!

จากนั้นแสงจากจานแปดภูมิก็เบาลงและหยุดหมุน ราชันทมิฬมองไปยังจานแปดภูมิแล้วกล่าวออกมา “ได้แล้ว!”

นี่คือ ‘วิชาแปดภูมิกำหนดสุสาน’ มันอาศัยวิชานี้ในการหาตำแหน่งแน่นอนของสุสานโบราณ

“ปรากฏออกมา!”

ยามนั้นเอง นักพรตอัษฎสมบูรณ์ที่วาดอักขระเสร็จก็ตะโกนออกมาเสียงดัง เกิดการระเบิดขึ้นตามด้วยเส้นไหมสีแดงแผ่กระจายออกกลายเป็นผังของสุสานโบราณ!

นักพรตอัษฎสมบูรณ์มองสุสานโบราณที่ถักทอด้วยด้ายแดง ท่าทางเคร่งขรึมยิ่งนัก

สุดท้ายเขาก็อดร้องออกมาไม่ได้ “ประหลาดจริง ๆ! กลุ่มสุสานโบราณไม่มีร่องรอยลมหายใจแห่งความตาย กลับเต็มไปด้วยลมหายใจชีวิตพลุ่งพล่าน นี่มันสถานการณ์อะไรกัน!?”

“หยินหยางผิดปกติ พลิกตายไปเป็นหรือ?!“

ดวงตาราชันทมิฬมองผังกลุ่มสุสานโบราณ สูดลมหายใจเย็นเยียบเข้าไป “นี่มันวิธีการแบบใดกัน! ในศพเน่าเปื่อยไม่มีร่องรอยลมหายใจแห่งความตาย แต่กลับเต็มไปด้วยลมหายใจชีวิตอันมากล้น ประหนึ่งต้นกล้าที่เพิ่งงอกจากพื้นดิน!”

สถานการณ์นี้เกินความคาดหมายของมัน

ยันต์ที่นักพรตอัษฎสมบูรณ์วาดออกมาพิเศษเหนือชั้นยิ่ง สามารถเผยให้เห็นทุกด้านของสุสานได้ รวมกระทั่งร่างศพด้วย ล้วนถูกด้ายแดงวาดออกมา

พวกเขาที่พึ่งพาวิธีการนี้ ประสบความล้มเหลวในการปล้นสุสานนับได้ว่าเป็นศูนย์ เนื่องจากพวกเขาสามารถควบคุมสถานการณ์ทุกอย่างในสุสานได้ จึงไม่เคยล้มเหลวมาก่อน

ครั้งนี้เองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ด้ายสีแดงไม่เพียงแต่จะถักพันออกมาเป็นกลุ่มสุสานเท่านั้น ยังแสดงให้เห็นถึงสภาพของศพด้วย!

ด้านในทุกโลงศพต่างมีร่างเน่าเปื่อยอยู่หนึ่งร่าง มีทั้งชายหญิง เผ่ามนุษย์ และเผ่าต่าง ๆ มากมาย

นอกจากนี้โลงในสุสานหลักยังมีศพหนึ่งร่างด้วย

เพียงแค่ศพนั้นเน่าเปื่อยเป็นอย่างมาก เลือดเนื้อทั้งร่างล้วนเน่าเปื่อยสิ้น กระทั่งกระดูกเองก็ด้วย

ภายใต้สถานการณ์ปกติ เมื่อเน่าเปื่อยถึงเพียงนี้ จะต้องเต็มไปด้วยลมหายใจแห่งความตายอัดแน่นทะลุฟ้าแล้ว ทั่วทั้งสุสานโบราณจะต้องถูกปกคลุมไปด้วยลมหายใจแห่งความตายอันดุร้ายไร้ที่สิ้นสุด ทำให้คนเป็นไม่อาจเข้าใกล้ได้

ทว่าสถานที่ชวนน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นกลับไม่เพียงไร้ร่องรอยลมหายใจแห่งความตายเท่านั้น แต่ลมหายใจชีวิตยังพลุ่งพล่านราวมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ประหนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตอันไร้ที่สิ้นสุด

“ศพยังคงเน่าเปื่อย แต่กลับมีพลังชีวิตกล้าแกร่งถึงเพียงนี้หลั่งไหลออกมา? นี่มันบ้าอันใดกัน!”

เจ้าก้อนหินเขม็งมอง สถานการณ์เบื้องหน้าอยู่นอกขอบเขตความรู้ความเข้าใจของมันโดยสิ้นเชิง

พลังชีวิตหลั่งไหลมากมายเพียงนี้ ร่างศพจะเน่าเปื่อยได้อย่างไร? ไม่ก่อเกิดเป็นร่างเนื้อใหม่หรือ?

แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น ร่างศพยังคงเน่าเปื่อยอยู่เช่นเคย

“พวกเขา…ประสบความสำเร็จแล้วหรือ?”

สีหน้าของสุนัขดำจริงจังยิ่ง “ยามนั้นเมื่อข้าไปกับเจ้าอ้วนได้ต่อสู้ภายในสุสานย่อย ศพที่นั่นเปล่งประกายยิ่ง ครอบครองพลังที่อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย! อีกทั้งจากที่พวกข้าฟังบทสนทนาของหนุ่มสาวเยาว์วัยมา ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังทำการทดลองบางสิ่งอยู่ และใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว!”

มันกล่าวต่อ “ตอนนี้เหล่าศพในสุสานโบราณไม่มีลมหายใจแห่งความตาย เปี่ยมด้วยลมหายใจชีวิตไร้ที่สิ้นสุด ดูเหมือนว่าการทดลองของพวกเขาจะประสบผลสำเร็จ สามารถพลิกผันหยินหยาง ทำให้ศพที่อยู่ด้านในมีชีวิตขึ้นมาอย่างแท้จริง”

“ใช่แล้ว พวกเรายังจับสองศพมาได้ มังกรทองหนึ่งตัว อีกหนึ่งเป็นหญิงชราปากร้ายสมควรตาย!”

นักพรตอู๋เหลียงกล่าว “ทั้งสองมีสภาพพิเศษอย่างมาก ไม่อาจถูกสังหารตายได้! เมื่อตายจะฟื้นคืนชีพในโลงศพของสุสานโบราณ ช่างแปลกประหลาดเสียจริง!”

“อืม ยามนั้นเพราะไม่อาจสังหารให้สูญสิ้นได้ จึงมอบพวกมันให้กับต้าเต๋อจัดการ หวังว่าต้าเต๋อจะใช้พลังของพระพุทธศาสนาชำระล้างพวกมันได้”

สุนัขดำพยักหน้า

“ต้าเต๋อ?”

ลั่วสุ่ยขมวดคิ้ว “ก่อนมาข้าไม่ได้พูดคุยอันใดกับต้าเต๋อเลย…”

คุณชายบอกนางเพียงว่าต้องการไปสำรวจสุสาน ให้นางไปหาตรวจสอบข้อมูลมา แต่ไม่ได้บอกว่ากับผู้ใด

นางไม่ได้ไปหาใครอื่น ตรงไปหาเพียงต้นหลิวและเจ้าก้อนหิน

“พวกเจ้าไม่ได้รู้เรื่องราวความเป็นมาของกลุ่มสุสานโบราณหรือชายหญิงเยาว์วัยจากสองตนนั้นหรือ?” ต้นหลิวถาม

ยามนั้นที่สุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงเล่าพูดเรื่องสุสานโบราณให้มันฟังอย่างผ่าน ๆ ไม่ได้ลงรายละเอียดมากมาย มันไม่รู้ว่าสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงจับศพสองร่างในสุสานได้ ไม่รู้ว่าสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียงได้มอบศพทั้งสองให้ต้าเต๋อเรียบร้อยแล้ว

หากมันรู้คงไม่มาหาสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียง แต่คงไปหาต้าเต๋อโดยตรง

อย่างไรเสีย ด้วยร่างศพทั้งสองในมือต้าเต๋อก็สามารถพาพวกเขาไปยังสุสานโบราณโดยตรงได้

“ไม่”

สุนัขดำส่ายหัวกล่าวออกมา “ศพทั้งสองพิเศษเป็นอย่างยิ่ง พวกเราพยายามทุกหนทางแล้ว แต่ก็ไม่อาจรับรู้เรื่องราวใดจากร่างของพวกมันได้ ความทรงจำของศพทั้งสองล้วนพร่าเลือน อาจเกิดจากพลังแปลกประหลาดบางอย่าง หากพวกเราตรวจสอบก็อาจพร่าเลือนจนไม่อาจบอกความจริงได้”

“เอาล่ะ เช่นนั้นพวกเรากลับไปหาต้าเต๋อกันเถิด จากนั้นก็ตรวจสอบศพทั้งสอง ลองดูว่าจะพบที่มาของกลุ่มสุสานโบราณกับหนุ่มสาววัยเยาว์หรือไม่!”

เจ้าก้อนหินเอ่ย

“ไม่จำเป็น”

ต้นหลิวส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเพียงนั้น คุณชายต้องการไปที่นั่นด้วยตนเอง ความจริงทั้งหมด เมื่อถึงเวลาย่อมต้องรู้ได้เอง สิ่งที่พวกเราต้องทำมีเพียงแค่ภารกิจที่คุณชายมอบหมาย นั่นคือชี้ชัดตำแหน่งกลุ่มสุสานโบราณ”

“คุณชายหรือจะไม่ทราบตำแหน่งกลุ่มสุสานโบราณ?”

นักพรตอู๋เหลียงสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “ด้วยความแข็งแกร่งของคุณชายย่อมสามารถระบุตำแหน่งกลุ่มสุสานโบราณได้อย่างง่ายดาย! ในเมื่อคุณชายตัดสินใจจะไปด้วยตนเอง เช่นนั้นก็ตรงไปเลยไม่ดีกว่าหรือ?”

“ไม่เหมือนกัน”

ต้นหลิวกล่าว “เจ้าไม่ได้สังเกตเลยหรือ? คุณชายลงมือเองจริง ๆ น้อยครั้งนัก แม้ว่าคุณชายจะลงมือ พลังที่สำแดงออกมาก็ใช้อย่างจำกัด! เกือบทั้งหมดล้วนบอกให้พวกเราลงมือ ส่วนคุณชายเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง”

“จริงด้วย!”

นักพรตอู๋เหลียงคิดตามก็เห็นเป็นเช่นนั้นจริง ภายใต้สถานการณ์ปกติคุณชายจะไม่ลงมือ ล้วนปล่อยให้พวกเขาเป็นผู้จัดการ

ต้นหลิวกล่าว “สิ่งที่พวกเราต้องทำคือการฟังคำสั่งของคุณชาย ถามให้น้อย ทำให้มาก! คุณชายมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อพวกเราทุกคนนัก อีกทั้งไม่มีทางทำร้ายพวกเรา ดังนั้นเพียงแค่ทำตามคำสั่งของคุณชายก็พอ!”

“เข้าใจแล้ว!”

นักพรตอู๋เหลียงพยักหน้าไม่คิดสงสัยอีกต่อไป

“กลับกันเถิด”

พวกลั่วสุ่ยเอ่ยลาสุนัขดำและนักพรตอู๋เหลียง ก่อนจากไป

“พวกข้าเองก็กลับเถิด!”

นักพรตอัษฎสมบูรณ์พูดกับราชันทมิฬ ไม่ว่าราชันทมิฬจะเห็นด้วยหรือไม่ เขาก็ทะยานกลับหายเข้าไปในหนังสือเสียแล้ว

“เจ้านักพรตไร้ศีลธรรมนี่ ข้ายังไม่ได้จัดการเขาให้ดีก่อนกลับไปเลย!”

ราชันทมิฬแยกเขี้ยว นักพรตอัษฎสมบูรณ์กลับไปแล้ว มันจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกลับเข้าไปในหนังสือด้วย

หลังจากราชันทมิฬกลับไปแล้ว กลุ่มควันพลันลอยออกมาจากหนังสือภาคแรก กระซิบข้างหูนักพรตอู๋เหลียงเสียงเบา “ต้องจำไว้ให้ดี แยกภาคแรกและภาคต่อออกจากกัน ช่วยข้าด้วย! ถือว่าข้าข้อรองเจ้า!”

นี่คือเสียงของนักพรตอัษฎสมบูรณ์ที่ขอร้องให้นักพรตอู๋เหลียงแยกหนังสือสองเล่มออกจากกัน

“ข้าคิดตั้งแต่แรกแล้วว่านักพรตไร้ศีลธรรมอย่างเจ้าจะต้องเล่นแง่! นายท่านสุนัขดำอย่างข้าจึงคอยจับตาดูอยู่!”

ราชันสุนัขเองก็ออกมาด้วย มันกล่าวกับนักพรตอู๋เหลียงว่า “ไม่ต้องแยก เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว!”

นักพรตอู๋เหลียงรีบตอบกลับ ไฉนเลยจะกล้าพูดคำว่า ‘ไม่’ ออกมา ราชันทมิฬดุร้ายเกินไป หากเขาปฏิเสธเกรงว่าตัวเองที่ต้องทนทรมานใน ‘ชีวิตอันรันทด’ จะต้องถูกแทนที่ด้วยตัวเขาแน่!

“วางใจได้ราชันทมิฬ มีข้าคอยจับตาดูเขาอยู่ ย่อมไม่ปล่อยให้เขาแยกจากแน่นอน!”

สุนัขดำกล่าวด้วยรอยยิ้มแสยะ “พวกเราเองก็เหมือนกัน ข้าจะยืนอยู่ข้าง ๆ และช่วยเหลือเจ้า!”

“ดี เจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็วางใจได้!”

ราชันทมิฬพยักหน้า กลับเข้าไปในหนังสืออีกครั้ง

ขณะเดียวกันพวกลั่วสุ่ยก็กลับมาถึงรถม้า

หลี่จิ่วเต้ากำลังรำมวยไทเก๊กฝึกฝนร่างกาย

พวกลั่วสุ่ยไม่ได้ไปรบกวนการรำมวยไทเก๊กของหลี่จิ่วเต้า แต่เฝ้าชมจากด้านข้างรอให้คุณชายรำมวยไทเก๊กเสร็จก่อนจึงค่อยรายงาน

“ข้าคิดว่ามวยไทเก๊กของตนเองบรรลุถึงขั้นสูงยิ่งแล้ว แต่หลังจากได้เห็นคุณชายรำมวยไทเก๊ก ข้ายังรู้สึกว่าจำต้องฝึกฝนอีกมาก!”

ต้นหลิวกล่าวด้วยอารมณ์มากมาย

มวยไทเก๊กและกระบี่ไท่เก๊กของมันล้วนบรรลุสูงถึงระดับสูงลิ่ว หนึ่งมวยหนึ่งกระบี่นี้กลายเป็นไพ่ตายในมือของมัน

ทว่าเมื่อเทียบกับมวยไทเก๊กของคุณชายแล้ว ช่องว่างนั้นใหญ่เกินไป ไม่อาจเทียบเคียงได้แม้แต่น้อย!

หลี่จิ่วเต้าจริงจังกับทุกสิ่งที่ทำเป็นอย่างมาก ทั้งการทำอาหาร เล่นฉิน เขียนอักษร วาดภาพ รวมถึงการรำมวยไทเก๊กด้วย

เขาจมอยู่กับมวยไทเก๊กอย่างสมบูรณ์ ไม่ได้สังเกตเลยว่าพวกลั่วสุ่ยกลับมาเรียบร้อยแล้ว

สุดท้ายเมื่อเขาร่ายจนจบ จึงค่อยพบว่าพวกลั่วสุ่ยกลับมาแล้ว

“ได้ข่าวมาหรือไม่?”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ภายในใจตั้งหน้าตั้งตารอเป็นอย่างยิ่ง

อย่างไรเสียเขาก็ต้องการจะสำรวจสุสานต่าง ๆ มากจริง ๆ ไม่ใช่เพื่อการตามหาสมบัติปล้นสุสาน แต่เพื่อความตื่นเต้นที่ไม่เคยรู้จัก

“ได้ข่าวมาแล้ว!”

ลั่วสุ่ยตอบกลับ “พวกข้าตรวจพบกลุ่มสุสานโบราณขนาดมหึมา น่าตื่นตะลึงยิ่ง ด้านในมีสุสานจำนวนมากเชื่อมต่อกัน ไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด!”

กลุ่มสุสานโบราณ?

นี่…ยอดเยี่ยมเสียจริง!

หลี่จิ่วเต้าตั้งตารอการเดินทางไปยังกลุ่มสุสานโบราณมากยิ่งขึ้น

“ดี เก็บของแล้วไปกันเถิด”

เขากล่าว

“รับทราบ!”

หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ขึ้นไปบนรถม้า ต้นหลิวและเจ้าก้อนหินยืนอยู่ด้านหน้าควบคุมทิศทางให้อสูรทั้งเก้าตรงไปยังที่ตั้งของกลุ่มสุสานโบราณ

ณ โลกแห่งหนึ่งที่ไม่รู้จัก

ที่แห่งนั้นถูกเรียกว่า ‘ดินแดนใหม่’

“คาดไม่ถึงเลยว่าจะสำเร็จจริง ๆ เร็วเสียยิ่งกว่าที่พวกเราคาดการณ์เอาไว้! แดนมายาไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง สามารถเกิดเรื่องไม่คาดฝันทุกอย่างขึ้นได้!”

ภายในตำหนักขนาดใหญ่ มีเด็กหนุ่มและเด็กสาวคู่หนึ่งนั่งขัดสมาธิฝึกฝน ทันใดนั้นพวกเขาพลันลืมตาขึ้น ก่อนจะเป็นฝ่ายชายที่เอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น

“ท่านบรรพจารย์กำลังฟื้นคืนชีพแล้ว!”

เขาหัวเราะออกมาอย่างดีใจ

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท