ตอนที่ 1,412 เถ้าแก่พูดว่าอะไรนะ?
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็มอบตำแหน่งเทพเจ้าให้แก่แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นตามคำร้องขอ
เป็นตำแหน่งเทพเจ้าระดับสามัญ
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นเป็นดวงวิญญาณที่น่าสงสาร ต้องทนถูกเก็บอยู่ในเป้ากางเกงของหลินเป่ยเฉินไม่เห็นเดือนเห็นตะวันมาพักใหญ่ ดังนั้น นี่จึงถือเป็นรางวัลปลอบใจของเขาแล้ว
สุดท้าย แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นก็ส่งมอบกระบองทมิฬให้แก่หลินเป่ยเฉิน
“นี่คืออาวุธวิเศษประจำกายข้า สร้างขึ้นมาจากกระดูกขาของเทพเจ้าและยังหลอมรวมแร่เหล็กล้ำค่าจากดินแดนจูอวิ๋นเอาไว้อีกด้วย ต่อให้เป็นบิดาข้ามาร้องขอ ข้าก็ไม่มีทางมอบมันให้แก่ผู้ใดเด็ดขาด แต่ว่า… เจ้าเป็นคนดีมากพอที่ควรจะได้มันไว้ครอบครอง จงรับไปเถอะ”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นพูดด้วยน้ำเสียงปวดใจ
“เฮอะ งั้นข้าก็จะขอพูดตามความเป็นจริงบ้างล่ะ… หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าเจ้าอ้วนและมารดา ต่อให้ท่านคุกเข่าร้องขอข้าไปตลอดชีวิต ข้าก็ไม่มีทางมอบตำแหน่งเทพเจ้าให้แก่ท่านเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยเสียงแข็งกร้าว
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินออกไปหน้าตาเฉย
หญิงชราผมขาวจ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินเดินจากไปไม่วางตา ราวกับว่านางกำลังวางแผนการอะไรบางอย่าง
“ดูเหมือนองค์หญิงจะไว้วางใจเด็กหนุ่มผู้นี้มากทีเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงถึงได้เปิดเผยความลับที่ไม่ควรให้ผู้ใดล่วงรู้ออกมาเช่นนี้”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นกล่าวด้วยสีหน้าสงสัย
เขาจ้องมองลูกแก้วเทพเจ้าในมืออย่างระมัดระวัง ก่อนจะหันหน้ามองไปยังทิศทางที่หลินเป่ยเฉินเดินหายลับไป
“ดินแดนทวยเทพกำลังปั่นป่วน ยอดฝีมือหน้าใหม่จำนวนมากเช่นเจี๋ยนเซียวเหยากำลังจะปรากฏตัวออกมาอีกนับไม่ถ้วน พวกเราผูกมิตรกับเขาไว้ย่อมเป็นการดีที่สุด อย่าว่าแต่เขาเป็นคนที่มีความแข็งแกร่งควรค่าต่อความเคารพ… อีกอย่าง ข้ารู้สึกว่าชื่อเจี๋ยนเซียวเหยาน่าจะเป็นชื่อปลอม บางที เขาอาจจะมีตัวตนที่แท้จริงยิ่งใหญ่เกินกว่าที่พวกเราคาดคิดก็เป็นได้”
หญิงชราผมขาวถอนสายตากลับมา สีหน้าเรียบเฉย
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นได้ยินดังนั้นก็ถึงกับสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่เคยสงสัยในสัญชาตญาณขององค์หญิงใหญ่
หากไม่ใช่เพราะสัญชาตญาณขององค์หญิงใหญ่ เมื่อสิบหกปีที่แล้ว พวกเขาชาวจูอวิ๋นก็คงถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปหมดสิ้น
ในอดีต นางคือองค์หญิงใหญ่ผู้งดงามเฉิดฉาย แต่บัดนี้ องค์หญิงใหญ่กลับกลายเป็นหญิงชราผมขาวใบหน้าเหี่ยวย่น…
ช่างน่าเศร้าใจเหลือเกิน
“องค์หญิงใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าพวกเราจะกลับดินแดนจูอวิ๋นกันเมื่อไหร่หรือ?”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นพูด น้ำเสียงตื่นเต้น “นี่ก็ผ่านมาได้สิบหกปีแล้ว ไม่ทราบเลยว่าพี่น้องของพวกเราจะมีชีวิตรอดสักเท่าไหร่ หากพวกเขารู้ว่าองค์หญิงใหญ่และพระโอรสยังคงมีชีวิตอยู่ ทุกคนคงจะต้องดีใจเป็นแน่แท้… ประชาชนชาวจูอวิ๋นล้วนแต่รอให้พวกท่านเสด็จกลับไปพ่ะย่ะค่ะ”
หญิงชราผมขาวไม่ตอบคำใด
นางหันมามองหน้าบุตรชายและวางแผนการอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะนางข้ามประตูระหว่างภพภูมิมาในระหว่างตั้งครรภ์หรือไม่ ทารกในครรภ์จึงถือกำเนิดเกิดมาเป็นบุคคลโง่เขลาเบาปัญญา พูดจาติดอ่างกับผู้คนภายนอก กลายเป็นตัวตลกให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะเรื่อยมา
แต่โชคดีที่ร่างกายยังแข็งแกร่ง
ฝีมือการต่อสู้ยังร้ายกาจ
แม้ว่าบุตรชายของนางจะเกิดมาพร้อมกับสติปัญญาที่โง่เขลา แต่ถึงกระนั้น ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เจ้าอ้วนก็น่าจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งในดินแดนจูอวิ๋นได้ไม่ยาก
เพียงสิบปีเท่านั้น เจ้าอ้วนก็สามารถบรรลุขั้นแรกของเคล็ดวิชาประจำตระกูลได้แล้ว
“รออีกหน่อยเถอะ ให้ประตูมิติระหว่างภพภูมิคงที่ก่อน”
หญิงชราผมขาวคำนวณบางอย่างในหัวใจและตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อีกสามวัน พวกเราจะเดินทางกลับบ้าน”
เจ้าอ้วนที่ยืนอยู่ด้านข้างได้ยินดังนั้นก็รีบพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น… ลูกก็สมควรไป… บอกลาพี่ใหญ่สักหน่อย…”
แม่ทัพใหญ่กุ้ยจวิ้นกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา
แต่หญิงชราผมขาวก็กล่าวว่า “ไปเถอะ ระหว่างนี้เจ้าไปอยู่กับเจี๋ยนเซียวเหยาก่อนก็ได้ จงเรียนรู้ทุกอย่างมาจากเขาให้ได้มากที่สุด อีกสามวันต่อจากนี้ ท่านลุงกุ้ยจะไปรับเจ้าเอง”
“ฮื่อ ขอบคุณท่านแม่”
เจ้าอ้วนร้องออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะวิ่งไปตามทางที่หลินเป่ยเฉินเดินหายไป
เจ้ากิ้งก่ายักษ์เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นยืนและวิ่งตามสหายรักของมันไปเช่นกัน
บัดนี้ กิ้งก่าอสูรทะเลทรายทองคำได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงผู้น่ารัก… โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันจะไม่ปล่อยให้โอกาสในการประจบประแจงเจี๋ยนเซียวเหยาหลุดมือไปเด็ดขาด
มันต้องรีบแล้ว
หากมันสามารถทำได้ดี ตำแหน่งเทพเจ้าก็น่าจะตกมาอยู่ในมือมันบ้างกระมัง?
เจ้ากิ้งก่ายักษ์คิดอย่างมีความสุข เพราะมันหมายจะติดตามเจ้าอ้วนกับมารดาไปยังดินแดนจูอวิ๋นด้วยนั่นเอง
…
หลินเป่ยเฉินไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
แต่เขากลับออกไปตามหาคนกลุ่มหนึ่งแทน
เมื่อไปถึงที่โรงเตี๊ยม เด็กหนุ่มก็ได้รู้ว่าไป๋เสี่ยวเซียวและผู้อาวุโสทั้งสามท่านเมื่อเห็นสัญญาณการถ่ายทอดสดขาดหายไปในวันแข่งรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาก็รีบหอบหม้อกระดองเต่าจักรพรรดิออกมาตามหาหลินเป่ยเฉินทันที…
บัดนี้ ทุกคนยังไม่กลับมา
คาดว่าน่าจะหลงทาง
และยังไม่ได้จ่ายค่าที่พักอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว
พฤติกรรมของชาวเผ่าจันทราขาวคือสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดเดาของผู้คนเสมอ
ไม่มีผู้ใดทราบเลยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวเดินออกมากำลังจะไปตามหาใครบางคน
“เดี๋ยวก่อนขอรับคุณชาย”
ทันใดนั้น เถ้าแก่โรงเตี๊ยมรีบวิ่งตามออกมาและคว้าแขนของหลินเป่ยเฉินเอาไว้ด้วยความคาดหวัง “คุณชายเป็นสหายของแม่นางไป๋ใช่หรือไม่?”
“ใช่”
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ “เถ้าแก่มีอะไรจะบอกข้าหรือ?”
หรือว่าก่อนที่ไป๋เสี่ยวเซียวจะออกไป นางได้ฝากคำพูดถึงเขาเอาไว้?
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น เถ้าแก่ยิ่งกอดแขนหลินเป่ยเฉินแนบแน่น ตอบเสียงดังฟังชัดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณชายช่วยจ่ายค่าที่พักและค่าอาหารที่พวกนางติดค้างโรงเตี๊ยมอยู่ด้วยขอรับ รวมทั้งหมดแล้วเป็นศิลาเทวะหนึ่งก้อน แต่ข้าน้อยจะมอบส่วนลดพิเศษให้กับคุณชาย…”
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปว่า “เถ้าแก่พูดว่าอะไรนะ?”
“ข้าน้อยจะมอบส่วนลดพิเศษให้แก่คุณชายขอรับ”
“ไม่ใช่ประโยคนี้ แต่เป็นประโยคก่อนหน้านั้น”
“รวมทั้งหมดแล้วเป็นศิลาเทวะหนึ่งก้อน”
“ไม่ใช่ เป็นประโยคก่อนหน้านั้นอีก”
“คุณชายเป็นสหายกับแม่นางไป๋ใช่หรือไม่?”
“อ๋อ ข้าไม่ใช่สหายของนาง”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม ก่อนหมุนตัวเดินออกมาอย่างไร้เยื่อใย “ลาก่อน”
เถ้าแก่พูดอะไรไม่ออก
บุคคลเหล่านี้ช่างร้ายกาจเหลือเกิน
…
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ได้พบพวกของไป๋เสี่ยวเซียว
ปรากฏว่านางและผู้อาวุโสทั้งสามท่านคอยเฝ้าประตูเมืองในพื้นที่เขตสองเพื่อกำจัดบรรดาสัตว์อสูรที่หลุดลอดออกมาจากหุบผาอเวจี
พวกของไป๋เสี่ยวเซียวกำลังปกป้องผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น
ส่วนสาเหตุก็ไม่มีอะไรซับซ้อน
ในวันที่เกิดเหตุแผ่นดินไหว สัตว์อสูรจำนวนมากได้ปรากฏตัวขึ้นมาจากโลกใต้พิภพ และบุกทำลายถิ่นที่อยู่อาศัยในพื้นที่เขตสาม ผู้คนจำนวนมากต้องตกตายด้วยฝีมือของพวกมัน…
และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่พวกของไป๋เสี่ยวเซียวออกค้นหาเส้นทางเพื่อไปช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินที่หุบเหวโหยหวน นางได้ยินเสียงผู้คนร้องขอความช่วยเหลือ จึงรีบตรงดิ่งเข้าช่วยเหลือผู้คนพร้อมด้วยหม้อกระดองเต่าจักรพรรดิทันที
ดังนั้น ไป๋เสี่ยวเซียวและสามผู้อาวุโสจึงทุ่มเทกำลังให้กับการช่วยเหลือผู้คน สุดท้าย พวกนางก็สามารถรักษาเขตแดนนี้เอาไว้ได้ และคอยอยู่รักษาการไม่ให้พวกสัตว์อสูรหลุดลอดผ่านประตูเมืองเข้ามาได้อีก
แม้ภายหลังจะมีม่านพลังกั้นเขตประตูเมืองแล้ว การเฝ้าระวังจึงไม่จำเป็นอีกต่อไป
ไป๋เสี่ยวเซียวสมควรกลับมาออกตามหาหลินเป่ยเฉิน
แต่นางและบรรดาผู้อาวุโสกลับเสพติดการฆ่าสัตว์อสูร เพราะยิ่งฆ่าพวกมันได้เท่าไหร่ นั่นก็หมายถึงพวกนางจะได้เงินมากขึ้นเท่านั้น และด้วยเหตุผลนี้เอง พวกของไป๋เสี่ยวเซียวจึงลืมเลือนหลินเป่ยเฉินไปเสียสนิทใจ
นางถึงกับลืมเรื่องการแข่งขันไปเลยด้วยซ้ำ…
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินปรากฏตัวขึ้นมา ไป๋เสี่ยวเซียวก็มีสภาพเหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากความฝัน
“พี่หลิน…”
เด็กสาวผิวเข้มรีบยกมือปาดเลือดของสัตว์อสูรออกไปจากใบหน้า เส้นผมของนางย้อมด้วยหยดเลือดจนกลายเป็นสีแดงเข้ม และนางก็รีบวิ่งมาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งเข้าไปใช้มือปิดปากนางด้วยความตกใจ
เขาจะเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเองไม่ได้เด็ดขาด
“ฮื่อ พี่เจี๋ยน”
ไป๋เสี่ยวเซียวสามารถกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง
นางกวาดสายตามองโดยรอบ ก่อนจะโอบกอดรอบเอวของหลินเป่ยเฉินแนบแน่นและอิงแอบศีรษะเข้ามาแนบชิดหน้าอกอันอบอุ่นของเขา
“พี่เจี๋ยน ข้าเป็นห่วงท่านแทบแย่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้านึกว่าท่านตายไปแล้วเสียอีก ข้ากำลังหาทางแก้แค้นให้ท่าน…”
เด็กสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเสียอกเสียใจ
หลินเป่ยเฉินยกมือเขกหน้าผากไป๋เสี่ยวเซียวไปหนึ่งที
ให้ตายสิ
นางทำเสื้อผ้าเขาเปื้อนเลือดสัตว์อสูรหมดแล้ว
“เจ้ากำลังเมามันอยู่กับการฆ่าสัตว์อสูรต่างหาก ไม่ได้คิดจะล้างแค้นให้ข้าสักหน่อย”
หลินเป่ยเฉินอดบ่นออกมาไม่ได้
ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายระยิบระยับ ก่อนที่นางจะพูดออกมาอีกครั้ง “ข้ากำลังฆ่าสัตว์อสูรพวกนี้ เพื่อนำไปขายเป็นเงินมาซื้ออาวุธแก้แค้นให้ท่าน”
“…”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
ไป๋เสี่ยวเซียวชักจะเจ้าเล่ห์มากเกินไปแล้วสิ
“เอาเถอะ ข้าเชื่อก็ได้”
ถึงอย่างไร ระบบความคิดของชาวเผ่าจันทราขาวก็เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถเข้าใจได้อยู่แล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่ได้จะบอกว่าพวกของไป๋เสี่ยวเซียวผิดปกติ แต่อย่างน้อย พวกนางก็ไม่ปกติแน่ ๆ