ตอนที่ 1,421 บุรุษแขนด้วน
“ท่านอย่าได้โดนนางหลอก”
เหยียนหรู่อี้ผู้ยืนอยู่ด้านข้างเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินกำลังจะหลงคารมผู้อาวุโสซวีจริง ๆ
แต่หลินเป่ยเฉินกลับตอบว่า “งั้นข้าก็จะส่งท่านไปเจอกับหลานสาวก็แล้วกัน ฝากบอกนางด้วยว่าข้าขอโทษ”
สีหน้าของผู้อาวุโสซวีแปรเปลี่ยนไป
นางยังจะพูดอะไรได้อีก
หลินเป่ยเฉินชักกระบี่ออกมาจากในเป้ากางเกงและตวัดฟันออกไปข้างหน้า
คมกระบี่สาดประกาย
ศีรษะของผู้อาวุโสซวีร่วงหล่นกระทบพื้นดิน ใบหน้าของนางยังคงเต็มไปด้วยความเศร้า ความหวาดกลัว และความขอร้องอ้อนวอน
แต่หลินเป่ยเฉินไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้ไร้เดียงสาอย่างตอนแรกที่เขาทะลุมิติมาอีกแล้ว
นับตั้งแต่ที่มือเขาเปื้อนเลือด หลินเป่ยเฉินก็สามารถฆ่าคนได้โดยไม่หวั่นไหว เพราะบุคคลที่ตายด้วยน้ำมือของเขา ล้วนเป็นคนที่สมควรตายทั้งสิ้น
ผู้อาวุโสซวีเองก็เช่นกัน
และที่สำคัญก็คือผู้อาวุโสซวีเป็นสมาชิกคนสำคัญของสำนักคฤหาสน์กำยาน
นางมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับพวกของเหยียนหรู่อี้ หากให้บรรดาศิษย์ของสำนักเป็นคนฆ่าผู้อาวุโสซวี นี่ก็อาจกลายเป็นตราบาปที่กัดกินหัวใจพวกนางไปจนวันตาย
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงรับหน้าที่นี้แทนพวกนางเอง
ดังนั้น การเรียกร้องขอความเห็นใจจากผู้อาวุโสซวี จึงไม่มีผลใด ๆ กับเขาเลย
เหยียนหรู่อี้และหูเหม่ยเอ๋อร์ก็มองออกถึงเจตนาของหลินเป่ยเฉิน การสังหารผู้อาวุโสซวีในครั้งนี้ ยิ่งทำให้พวกนางมองเขาด้วยสายตาเคารพเทิดทูนมากกว่าเดิม
“พวกเรารีบไปจากที่นี่กันดีกว่า”
เหยียนหรู่อี้นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “การสังหารตัวประหลาดขนขาวเหล่านี้เป็นจำนวนมาก ย่อมเป็นที่ผิดสังเกตของศัตรูแน่ โดยเฉพาะการตายของซื่อเซวียน มันเป็นมือกระบี่คนสำคัญของวิหารเทพตะวัน แน่นอนว่าวิหารเทพตะวันคงไม่อยู่นิ่งเฉย… พวกเรารีบหนีไปซ่อนตัวในที่ปลอดภัยกันก่อนเถอะ”
เมื่อนางพูดจบ มือกระบี่สาวคนอื่น ๆ ก็มีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
การถูกไล่ล่าโดยกลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทำให้จิตใจของพวกนางรู้สึกกดดันและตึงเครียด
พวกนางทราบดีว่าตัวประหลาดเหล่านี้ทำงานรับใช้วิหารเทพตะวัน
และวิหารเทพตะวันก็ทำงานรับใช้วิหารเทพพงไพร ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังที่ไม่มีผู้ใดคิดต่อต้านขัดขืน
เพราะการต่อต้านพวกเขา เท่ากับเป็นการต่อต้านเทพเจ้า
สำนักคฤหาสน์กำยานจึงถูกมองว่าเป็นกบฏ
“หลบหนี?”
หลินเป่ยเฉินทวนคำและกล่าวว่า “ทำไมเราต้องหลบหนีด้วย? พี่เหยียน น้องหู พวกเรารีบไปช่วยผู้คนกันดีกว่า”
เหยียนหรู่อี้กับหูเหม่ยเอ๋อร์พูดอะไรไม่ออก
ช่างเป็นบุรุษที่มีจิตใจดีงามอะไรเช่นนี้
พวกนางคิดด้วยความตื้นตันใจ
“ไปไม่ได้ วิหารเทพตะวันมียอดฝีมือมากมายทำงานรับใช้พวกมัน แต่ละคนมีพลังเวทมนตร์ที่ผู้ใดก็ไม่อาจหยุดยั้ง แค่ยอดฝีมือของพวกมันดีดนิ้วมือ พวกเราก็คงถึงแก่ความตายแล้ว…” เหยียนหรู่อี้รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินยกมือเสยผมวางมาดเท่ ก่อนกล่าวว่า “เทพเจ้าชั้นปลายแถวเหล่านี้มีอะไรให้น่ากลัว ข้าจะบอกความจริงให้นะพี่เหยียน นับดูในแผ่นดินตงเต้าขณะนี้ ไม่มีผู้ใดจะแข็งแกร่งมากไปกว่าข้าอีกแล้ว…”
พูดจบ เขาก็นำรถม้าทองคำคันหนึ่งออกมา
รถม้าทองคำค่อย ๆ ร่อนลงจากกลางอากาศและจอดลงบนพื้นดินอย่างนุ่มนวล
นี่คือพาหนะที่เขายึดมาจากใต้เท้าหมิงรั่ว มันมีความเร็วชนิดที่ว่ารถไฟขบวนด่วนพิเศษก็ยังไม่สามารถตามทันด้วยซ้ำ…
“ไม่มีเวลามาอธิบายแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งของสารถีผู้ควบคุมรถม้า “พวกท่านขึ้นมาเถอะ เดี๋ยวข้าจะทำให้รู้ว่าข้านั้นมีความรวดเร็วเพียงใด”
…
เมืองเซียงเฉิง
นี่เป็นเมืองใหม่ เป็นสวรรค์บนดินที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน
ไม่ว่าจะเป็นบรรดาลูกศิษย์ของสำนักคฤหาสน์กำยาน หรือญาติพี่น้องของพวกนาง หรือเป็นผู้ที่ทำงานรับใช้ให้แก่สำนักคฤหาสน์กำยาน ไม่ว่าจะรับหน้าที่ขนส่งอาหาร ตัดเย็บเสื้อผ้าหรือเป็นเพียงเด็กรับใช้ ทุกคนล้วนถูกจับมาควบคุมตัวอยู่ที่นี่
การฆ่าคนเกิดขึ้นตลอดเวลา
กลิ่นคาวเลือดตลบอบอวลในตัวเมือง
แม้ชาวเมืองจำนวนมากจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับสำนักคฤหาสน์กำยาน แต่พวกเขาก็ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ด้วยความหวาดกลัว
เพราะพวกอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กที่มาลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่นั้น พวกมันพร้อมที่จะบุกเข้าบ้านเรือนและจับตัวผู้คนมาทรมานได้ตามใจชอบตลอดเวลา
ถนนหลายสายกลายเป็นลานประหาร
เสาหินจำนวนมากแขวนไว้ด้วยศพและศีรษะของผู้คนจากสำนักคฤหาสน์กำยาน
โลหิตไหลเนืองนองบนพื้นดิน
สุนัขป่าเดินเข้ามาเลียโลหิตเหล่านั้น
แมวป่ากระโดดขึ้นไปบนเสาหิน ใช้ฟันและเล็บของมันตะกุยผิวหนังศพ
บนถนนแทบไม่มีผู้คนเดินผ่าน
มีเพียงคนเสียสติจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่วิ่งร้องขออาหารตามบ้านเรือนผู้คน
ณ มุมถนนไม่ห่างจากจวนท่านเจ้าเมือง เสียงร้องไห้น่าสะเทือนใจของเด็กคนหนึ่งดังลอยมาตามสายลม
เป็นทารกชายอายุไม่ถึงหนึ่งขวบ เด็กน้อยกำลังนอนอยู่ในแอ่งโคลน ดวงตาจ้องมองโลกรอบตัวด้วยความหวาดกลัว คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวใจ ทารกชายกำลังสงสัยว่าตนเองร้องไห้เสียงดังขนาดนี้ เหตุไฉนบิดามารดาถึงยังไม่รีบมาอุ้มขึ้นไปอีก?
หญิงสาวผู้หนึ่งเอนกายพิงขอบกำแพง เสื้อผ้ายับย่น ริมฝีปากมีคราบเลือดแห้งกรัง ร่างกายแข็งค้างเย็นเฉียบไร้ลมหายใจ
บนกำแพงฝั่งตรงข้าม ร่างของบิดาเด็กน้อยถูกตะปูตอกแขนตอกขาตรึงอยู่บนกำแพง โลหิตไหลทะลักออกมาจนหมดตัว…
ฝูงหมาป่าคืบคลานเข้ามาอย่างช้า ๆ
หัวหน้าฝูงเคยกินเนื้อมนุษย์อย่างเอร็ดอร่อย ลูกสมุนของมันออกลาดตระเวนโดยรอบ สุดท้ายก็พบเข้ากับเด็กทารกที่กำลังร้องไห้อยู่บนพื้นโคลน
เหยื่อที่มีชีวิตย่อมอร่อยกว่าเหยื่อที่ตายแล้ว
“โฮ่ง!”
มันส่งเสียงเห่าและวิ่งนำลูกฝูงตัวอื่น ๆ ไปยังทารกน้อยผู้โชคร้าย
ด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด
ปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวอันแหลมคมกำลังจะกัดใบหน้าของเด็กน้อยแล้ว
แต่เด็กน้อยยังคงเบิกตาโตจ้องมองหมาป่าที่พุ่งเข้ามาด้วยความสงสัยและอยากรู้อยากเห็น ไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าตนเองกำลังอยู่ในอันตราย
ทันใดนั้น…
วูบ!
ลำแสงกระบี่พุ่งเข้ามา
“เอ๋ง…”
ได้ยินเสียงสุนัขป่ากรีดร้อง แล้วหัวของมันก็หลุดกระเด็น
บุรุษหนุ่มผมดำผู้หนึ่งทิ้งตัวลงมายืนอยู่ข้างกายเด็กทารก ผมสีดำยาวสลวยของเขามัดอย่างเรียบง่ายไว้ทางด้านหลัง หนวดเคราของเขายาวรุงรัง แต่ดวงตาใสกระจ่าง เมื่อเห็นทารกน้อยกำลังร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว เขาก็ต้องถอนหายใจออกมา “ช่างน่าสงสารนัก!”
สุนัขป่าตัวอื่น ๆ สัมผัสได้ถึงรังสีอันตรายจากร่างกายของบุรุษผู้นี้ พวกมันจึงรีบแยกย้ายสลายตัวไปโดยทันที
ความลังเลปรากฏขึ้นบนสีหน้าของบุรุษหนุ่ม
ในที่สุด เขาก็สะกิดปลายเท้าของตนเอง
แล้วเด็กทารกบนพื้นดินก็ลอยเข้าไปอยู่ในตะกร้าที่เขาสะพายอยู่บนแผ่นหลัง
สายลมเย็นโชยพัดผ่านมา
แขนเสื้อของเขาปลิวไสวตามแรงลม
ปรากฏว่าเขาเป็นบุรุษที่ไม่มีแขนทั้งสองข้าง
“ไปกันเถอะ เราหาที่พักให้เจ้าก่อนดีกว่า”
บุรุษหนุ่มชำเลืองมองไปยังศพคู่รักที่เสียชีวิตอย่างน่าอนาถใจ สุดท้ายเขาก็ระเบิดพลังออกมาจากร่างกายเล็กน้อย ทำให้กำแพงทั้งสองฝั่งพังถล่มลงมาฝังร่างของคู่รัก ก่อนที่ตนเองจะเดินจากไปพร้อมกับเด็กทารกอย่างแช่มช้า…