ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 487 ขอความช่วยเหลือ

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 487 ขอความช่วยเหลือ

ชายหนุ่มตรงหน้าสีหน้าจริงจัง ให้ความรู้สึกยากที่จะเข้าถึง

คุณหนูรองหวังมองเขา จู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา

หลินเถิงอ้ำอึ้ง เหลือบมองลั่วเซิงตามสัญชาติญาณ

เสนาบดีจ้าวที่เป็นมนุษย์ล่องหนเองก็อึ้งไปเช่นกัน

สตรีคนหนึ่งมาร้องไห้ต่อหน้าหลินเถิง หลินเถิงจะมองคุณหนูลั่วทำไมกัน

หลินเถิงเองก็ตั้งสติได้ว่าทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมจึงเคลื่อนสายตากลับมาและมองไปที่คุณหนูรองหวัง “คุณหนูเป็นอะไรหรือ เจอปัญหาอะไรหรือไม่”

คุณหนูรองหวังได้ยินดังนั้นก็ยิ่งเสียใจ นางปิดหน้าร้องไห้สะอื้น

เสนาบดีจ้าวมองหลินเถิงอย่างลึกซึ้ง

หรือว่าเขาคิดผิดไปแล้ว ที่คุณหนูคนนี้มาหาหลินเถิงไม่ได้เกี่ยวกับงานที่ศาลาว่าการ แต่คือ…

จุ๊ๆ ไม่ได้นะ เขารู้จักหลินเถิงเจ้าหนุ่มซื่อบื้อผู้นี้ดี ไม่มีทางก่อเรื่องชู้สาวได้แน่

ทันใดนั้นก็คิดถึงสายตาที่หลินเถิงมองคุณหนูลั่ว เสนาบดีจ้าวก็ชักเริ่มไม่มั่นใจ

เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นที่ประตูหอสุรา ลั่วเซิงก็เอ่ยว่า “ห้องส่วนตัวชั้นสองว่างอยู่ หากคุณหนูรองหวังมีอะไรจะคุยกับใต้เท้าหลินก็ขึ้นไปข้างบนเถอะ”

นางรู้สึกดีกับคุณหนูทั้งสองท่าน หากพบปัญหาอะไรก็อยากจะช่วยเท่าที่ช่วยได้

คุณหนูรองหวังเช็ดน้ำตากล่าวขอบคุณคุณหนูลั่วเสียงสะอื้น “ขอบคุณคุณหนูลั่วเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงส่งสัญญาณ โค่วเอ๋อร์จึงพาคุณหนูรองหวังขึ้นไปชั้นสอง

หลินเถิงลังเลเล็กน้อยก่อนจะเดินตามไปเงียบๆ

เสนาบดีจ้าวยังคงนิ่งไม่ขยับ เมื่อรับรู้ถึงสายตาของลั่วเซิงก็ยิ้มถามว่า “คุณหนูลั่วไม่ตามไปดูหรือ”

“คุณหนูรองหวังคุยกับคุณชายใหญ่หลิน อาจจะไม่สะดวกให้ข้าฟัง”

“ก็ใช่ อาจจะเป็นเรื่องราชการ”

ลั่วเซิงกระตุกมุมปาก “แล้วเหตุใดท่านจึงไม่ไปละเจ้าคะ”

เสนาบดีจ้าวยกจอกสุราขึ้นมากระดกหมดจอกแล้วลูบเครา “ไม่ใช่คดีที่ข้าสืบสวน ไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ดื่มสุรากินอาหารอร่อยๆ ดีกว่า”

ความมั่นใจเช่นนี้ทำให้ลั่วเซิงแทบจะอดกลอกตาไม่ได้

จากนั้นแขกหอสุราก็ทยอยเข้ามา ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของคุณหนูรองหวังอีก

โค่วเอ๋อร์พาหลินเถิงและคุณหนูรองหวังเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้วย่อเข่าเล็กน้อย “หากทั้งสองมีอะไรก็เรียกข้า ข้าจะยืนรออยู่ข้างนอก”

คุณหนูรองหวังลังเลเล็กน้อย เอ่ยปากให้โค่วเอ๋อร์อยู่ “รอที่นี่เถอะ”

ในเมื่อนางเลือกที่จะมาหาใต้เท้าหลินที่นี่ก็ไม่กลัวว่าคุณหนูลั่วจะรู้

นางเชื่อว่าคุณหนูลั่วจะไม่แพร่ข่าวซี้ซั้ว

โค่วเอ๋อร์ได้ยินดังนั้นก็ตกลงทันที

ใครจะไม่อยากรู้บ้างเล่า

“คุณหนูรองหวังโปรดพูดเถอะ” หลินเถิงพยายามผ่อนคลายน้ำเสียง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกกดดัน

จากประสบการณ์และสัญชาติญาณ เขาเดาว่าเหตุผลที่คุณหนูรองหวังมาหาเขาอาจจะเกี่ยวข้องกับคดีที่ช่วงนี้เขากำลังสืบอยู่

แต่เขาหวังว่าเขาจะเดาผิดไป

เมื่อคิดถึงคดีที่ทำให้เขายุ่งเป็นพัลวัน หลินเถิงก็ถอนหายใจในใจ

คุณหนูรองหวังมองหลินเถิง น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง นางพูดเสียงสั่นว่า “ใต้เท้าหลิน ท่านพี่ข้าหายไป!”

หลินเถิงคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นไปตามคาด สายตาที่เขามองคุณหนูรองหวังเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ “คุณหนูรองหวังเล่ารายละเอียดได้หรือไม่ ท่านพี่เจ้าหายไปตอนไหนและที่ไหน”

คุณหนูรองหวังพยักหน้า มือยันโต๊ะไว้และเล่าว่า “ท่านพี่หายไปเมื่อสองวันก่อนเจ้าค่ะ เมื่อสองวันก่อนท่านย่าพาพวกเราสองพี่น้องไปไหว้พระที่วัดต้าฝู ระหว่างทางกลับมาเดินผ่านร้านเย็บปักถักร้อย ท่านพี่บอกว่าจะเข้าไปซื้อด้ายจำนวนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าท่านพี่เข้าไปสักพักแล้วก็มีเพียงสาวใช้ที่ติดตามนางวิ่งออกมาบอกว่าหาท่านพี่ไม่เจอ…”

หลินเถิงตั้งใจฟังจนจบแล้วถามว่า “เหตุใดคุณหนูรองหวังไม่ได้เข้าไปเป็นเพื่อนคุณหนูใหญ่หวังหรือขอรับ”

สตรีเดินดูเครื่องประทินโฉม ร้านผ้า เหมือนกับว่าส่วนใหญ่มักจะไปเป็นคู่หรือกลุ่ม

หลินเถิงกลัวว่าคุณหนูรองจะคิดมากจึงอธิบายว่า “ปกติข้าสืบสวนคดีจะถามค่อนข้างละเอียด ข้าไม่ได้สงสัยคุณหนูรองหวังหรอกนะ”

“ข้าเข้าใจ” คุณหนูรองหวังพยักหน้า “ครานั้นท่านพี่บอกว่าท่านพี่คิดไว้หมดแล้วว่าจะซื้อด้ายสีอะไรบ้าง ไปครู่เดียวก็จะกลับมา ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านย่า”

มีท่านย่าอยู่ พวกนางย่อมไม่สามารถเดินเล่นได้ตามอำเภอใจและด้วยเหตุนี้นางจึงเชื่อฟังท่านพี่ ไม่ได้เข้าไปด้วย

เมื่อคุณหนูรองหวังคิดถึงเรื่องนี้ก็เสียใจทุกครั้ง

“สาวใช้กลับมาบอกว่าท่านพี่หายไป เราก็ตามหาบริเวณนั้นหลายรอบ แต่กลับไม่เจอเลย…” คุณหนูรองหวังสะอื้น ยกแขนขึ้นปาดน้ำตา

“ในเมื่อเช่นนี้ เหตุใดคุณหนูรองหวังจึงเพิ่งมาแจ้งความวันนี้”

คุณหนูรองหวังมองหลินเถิง เผยรอยยิ้มขมขื่น “ครอบครัวไม่ให้แจ้งความ หลังจากที่ท่านปู่ของข้าถูกถอดถอนตำแหน่งราชการก็อยู่อย่างอัตคัด ผู้อาวุโสในครอบครัวคิดว่าหากเรื่องของท่านพี่แพร่ไปถึงที่ว่าการ ข่าวเรื่องสกุลหวังที่อุตส่าห์เพิ่งซาลงอาจจะต้องลำบากอีกครั้ง ทำให้ผู้ที่มีเจตนาฉวยโอกาสหาเรื่องสกุลหวังอีก…”

เมื่อมีคนตกต่ำผู้คนก็พากันรุมเหยียบย่ำซ้ำเติม ทุกวันนี้สกุลหวังได้ตระหนักแล้ว ครอบครัวสกุลหวังที่กลายเป็นสามัญชนคนธรรมดาไม่อยากเกี่ยวข้องกับวงการราชการอีก

นี่คือคำพูดของท่านย่า นางเข้าใจได้ แต่นางยอมรับไม่ได้

นั่นคือท่านพี่ของนางเชียวนะ!

เดิมท่านปู่วางแผนไว้หมดแล้ว เมื่ออากาศอบอุ่นแล้วจะย้ายบ้านออกจากเมืองหลวง กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิด

นางและท่านพี่กำลังตั้งตารอแท้ๆ

เมื่อคิดถึงเรื่องเหล่านี้ คุณหนูรองหวังก็น้ำตาไหลลงมาราวกับหยาดฝน

หลินเถิงเคยชินกับสภาพการณ์เช่นนี้นานแล้ว เขารอคุณหนูรองหวังร้องไห้จนพอเงียบๆ

โค่วเอ๋อร์อดเกลี้ยกล่อมไม่ได้ว่า “คุณหนูรองหวัง ท่านเอาแต่ร้องไห้ไม่ได้นะเจ้าคะ พูดเรื่องสำคัญเถอะ”

คุณหนูรองหวังชะงัก ก้มคารวะหลินเถิง “ครอบครัวไม่อนุญาตให้แจ้งความ ข้าแอบมาหาใต้เท้าหลินเอง ขอร้องใต้เท้าหลินช่วยหาท่านพี่ของข้าด้วยเถอะ…”

หลินเถิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าจะพยายาม”

“ขอบคุณใต้เท้าหลินเจ้าค่ะ”

“คุณหนูรองหวังมาคนเดียวหรือ”

“มีสาวใช้คนหนึ่งรออยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นคุณหนูรองหวังรีบกลับไปเถอะ ต่อไปพยายามอย่าออกมาเวลากลางคืนอีก” หลินเถิงกำชับ

คุณหนูรองพยักหน้า เอ่ยขอร้องว่า “เช่นนั้นก็รบกวนใต้เท้าหลินแล้ว หากใต้เท้าหลินทราบข่าวท่านพี่ข้าต้องบอกข้านะเจ้าคะ”

หลินเถิงพยักหน้า กวาดตามองโค่วเอ๋อร์พูดว่า “ในเมื่อจวนท่านไม่อยากติดต่อกับฝ่ายราชการ หากข้ามีข่าวจะส่งมาที่หอสุราแล้วกัน”

คุณหนูรองหวังเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็เดินตามโค่วเอ๋อร์ออกไป

หลินเถิงนั่งลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินออกไป

ในห้องโถงมีแขกนั่งอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ไม่เห็นคุณหนูรองหวังแล้ว

เสนาบดีจ้าวตะโกนเรียก “หลินเถิง มากินข้าว”

หลินเถิงเดินไปนั่งลงแล้วกินข้าวเงียบๆ

เสนาบดีจ้าวกินอิ่มไปแปดส่วนแล้ว เขาถือจอกชาร้อนๆ พลางถอนหายใจในใจ

“ใต้เท้า ข้าน้อยกินเสร็จแล้วขอรับ” หลินเถิงแทบจะเขมือบจนหมดแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก “ข้าอยากกลับไปที่ศาลาว่าการเพื่อสืบสวนคดีต่อขอรับ”

“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ไม่ต้องรีบ คนเราต้องกินต้องนอนนะ”

หลินเถิงก้มหน้า เอ่ยด้วยเสียงราบเรียบว่า “ข้าน้อยไม่รีบ แต่มีผู้คนมากมายรีบ”

เสนาบดีจ้าวได้ยินแล้วก็เงียบครู่หนึ่งก่อนจะโบกมือ “กลับเถอะ กลับเถอะ”

หลินเถิงกำหมัดประสานมือ ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่โต๊ะคิดเงิน

เสนาบดีจ้าว “?”

หลินเถิงเดินไปตรงหน้าลั่วเซิง ถามเสียงเบาว่า “คุณหนูลั่วสะดวกพูดคุยสักเล็กน้อยหรือไม่”

ลั่วเซิงได้ยินเรื่องคุณหนูรองหวังคร่าวๆ จากโค่วเอ๋อร์แล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ให้ข้าออกไปส่งคุณชายใหญ่หลินเถอะ”

เมื่อเห็นทั้งสองออกไปพร้อมกัน เสนาบดีจ้าว “??”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท