ตอนที่ 464 ความรู้สึกของสัตว์สี่หู
แม้ว่าเรือเหาะข้ามแดนของจวนเร้นจิตถือเป็นของเล่นเมื่อเทียบกับสัตว์กลืนนภาของสำนักยรรยง แต่สำหรับคนทั่วไปยังนับว่าเป็นสิ่งใหญ่โตร้ายกาจ
สองวันนี้ที่ควรเดินเล่นก็เดินมาหมดแล้ว จี้หยวนกับคนจากเขาล้อมหยกไม่มีเรื่องอะไรต้องหยุดพักตรงท่าเรือยอดเขาอีกจึงเลยเตรียมตัวขึ้นเรือเหาะ
เรือเหาะลอยเทียบท่าเรือยอดเขาด้านนอก คล้ายเรือใหญ่ทั่วไปจอดกลางแม่น้ำ แค่เปลี่ยนจากน้ำเป็นเมฆหมอกหนาแน่น คอยประคองอยู่ข้างใต้เรือเหาะ
หนึ่งด้วยเดิมเมฆหมอกเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกลอำพรางท่าเรือยอดเขา สองคือเพื่อป้องกันคนกลัวความสูงเห็นเหวลึกเบื้องล่างแล้วหวาดกลัวยามขึ้นเรือ จากมุมมองจี้หยวนถือว่านึกถึงเผ่ามนุษย์มาก
พวกเขาเข้าใกล้ท่าเรือตรงยอดเขาด้านนอก เห็นว่ามีเหล่าผู้โดยสารอย่างผู้ฝึกเซียน ภูต คนธรรมดา รวมถึงปีศาจไม่น้อยเตรียมขึ้นเรือเหาะแล้ว แผ่นไม้มหึมาหนึ่งพาดระหว่างเรือเหาะกับผาลอยตรงท่าเรือด้านนอก
นอกจากผู้ต้องการขึ้นเรือแล้ว คนลงจากเรือเองมีไม่น้อย ทั้งมีภูตร่างกำยำแบกสินค้าใหญ่กว่าตัวเองหลายเท่าเดินลงมา ทุกก้าวยามย่ำพื้นรู้สึกว่าหนักหน่วงมาก
เรือเหาะมาถึงตรงทางเข้า มีเหล่าผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตสวมชุดนักพรตสีทองยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งมีสัตว์เซียนร่างสุนัขสีเทาสี่หู ย่อตัวแล้วสูงเท่าคนตัวหนึ่งนั่งอยู่ตรงทางเข้าเรือ สายตากวาดมองผู้โดยสารซึ่งสัญจรไปมา แต่ดวงตาข้างหนึ่งเปิดข้างหนึ่งปิด
“หึๆ ที่แท้จวนเซียนยังรู้จักหลับตาข้างลืมตาข้าง”
เมื่อจูหยวนจื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา พวกคนรุ่นหลังอย่างเว่ยหยวนเซิงกับซ่างอีอีประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ผู้ฝึกปราณอย่างจี้หยวน ฉิวเฟิง หยางหมิงกลับรู้ว่าเขากำลังพูดอะไรบางอย่าง หยางหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนรู้สึกว่าควรอธิบายให้เซียนเฒ่าประจำสำนักซึ่งไม่ได้ออกมาข้างนอกนานท่านนี้ฟังสักหน่อย
“ท่านเซียนจูคงไม่ทราบ ท่าเรือเซียนอย่างท่าเรือยอดเขานี้พัฒนารวดเร็วนัก ท่าเรือยอดเขาในปัจจุบันต่างจากท่าเรือยอดเขาเมื่อหนึ่งถึงสองร้อยปีก่อนราวกับคนละแห่ง ผู้ฝึกปราณ เซียน ปีศาจ มาร ภิกษุ มนุษย์ ผี ภูต วิญญาณผู้ทราบระเบียบมารยาทล้วนต้องการสถานที่แลกเปลี่ยนสิ่งของกัน”
สายตาหยางหมิงมองคนสัญจรสวนมาหรือคนเดินผ่านข้างกายมากมายก่อนกล่าวต่อ
“ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ต่อให้มีกลิ่นอายปีศาจหรือมารบางส่วนผิดปกติบ้างก็ไม่สืบสาวหรือเอาความมากเกินไป ถึงอย่างไรผู้ฝึกเซียนกับภิกษุก็มีช่วงมารผจญเช่นกัน”
จี้หยวนกลับยินดีอย่างยิ่งเมื่อเห็นการพัฒนาเช่นนี้ ท่าเรือที่มีผู้ฝึกเซียนเป็นแกนนำย่อมมีระเบียบ ไม่แน่ว่าอาจส่งผลต่อมารปีศาจมากขึ้น ใช่ว่านี่เป็นเรื่องร้าย
พูดตามตรงคือพาหนะข้ามแดนเป็นเครื่องมือการขนส่งสาธารณะพิเศษอย่างหนึ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมมีผลตอบแทนแก่ขุมอำนาจมรรคเซียนที่ครอบครอง เรื่องนี้ไม่ว่าผู้ฝึกเซียนคิดอย่างไร สุดท้ายก็คือการทำเพื่อผลกำไร มีความเป็นพ่อค้าอย่างยากหลีกเลี่ยง
ดังนั้นเพื่อการสร้างภาพลักษณ์อันดีขึ้นมาหน่อย โดยพื้นฐานย่อมไม่เก็บ ‘ค่าธรรมเนียม’ ยามขึ้นเรือตรงทางเข้าออกอีก ส่วนใหญ่จ่าย ‘ค่าพาหนะ’ ในตลาดนัดตรงท่าเรือยอดเขา แน่นอนว่ามอบให้คนของเขากวางจันทร์ จากนั้นค่อยชำระเงินกับยานข้ามแดนผ่านพวกเขา เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วดูดีขึ้นมาก ทั้งสะดวกกว่าด้วย
พวกจี้หยวนมียันต์คำสั่งติดตัวแล้ว ถือเป็นตั๋วโดยสารอย่างหนึ่ง หากพูดว่าผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตกำลังแยกแยะว่ามีสิ่งชั่วร้ายบาปหนาหรือไม่ มิสู้บอกว่าเหมือนกำลังตรวจตั๋วโดยสารยังดีกว่า สำหรับคนธรรมดาที่ขึ้นลงเรือ ขอแค่ไม่ทำเกินกว่าเหตุหรือเสียมารยาทเกินไป พวกเขาย่อมหลับตาข้างลืมตาข้าง
ความเร็วการเดินของทุกคนไม่ว่องไว ยามเข้าใกล้แผ่นไม้มีผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตบางคนจำลักษณะพิเศษของผู้ฝึกเซียนเขาล้อมหยกได้ แม้ว่าเขาล้อมหยกเป็นแค่แดนมงคลตรงชายแดนทางใต้ของทวีปเมฆา แต่อย่างน้อยก็เป็นขุมอำนาจฝึกเซียนแท้จริงที่มีชื่อเสียง กอปรกับเห็นชัดว่าบรรดาผู้มาเยือนมีผู้สูงส่ง ดังนั้นเหล่าผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตจึงคารวะคนจากเขาล้อมหยกก่อนในระยะเหมาะสม
“ไม่เจอสหายยุทธ์เขาล้อมหยกหลายปี ยินดีต้อนรับสหายยุทธ์ทุกท่านขึ้นเรือ!”
“สหายยุทธ์จวนเร้นจิตทุกท่านเกรงใจไปแล้ว!”
จี้หยวนคารวะตอบพร้อมคนจากเขาล้อมหยก ไม่จำเป็นต้องพูดออกตัวว่าตนไม่ใช่คนจากเขาล้อมหยก สายตามองไปทางสัตว์เซียนตัวนั้น คิดว่าสัตว์เซียนเช่นนี้หูอวิ๋นคงรังเกียจมากกระมัง
ยามจี้หยวนเหลือบมองมา สัตว์เซียนสี่หูซึ่งเดิมปิดตาข้างเปิดตาข้างลืมตาทั้งหมดทันที แม้แต่หูซึ่งลู่ลงอยู่บ้างยังตั้งขึ้นมา กระดิกหูเล็กน้อย แววตาไหววูบ มองจูหยวนจื่อกับจี้หยวน จากนั้นค่อยสังเกตจี้หยวนอีกครั้ง แต่กลับไม่ส่งเสียงอะไรออกมา
เมื่อพวกจี้หยวนขึ้นเรือจนหายไปจากสายตา ผู้ฝึกปราณสวมเกี้ยวสูงคนหนึ่งแห่งจวนเร้นจิตมองสัตว์เซียนด้านข้างทันที
“สหายยุทธ์ซื่อทิง มีอะไรผิดปกติหรือ”
สายตาสัตว์เซียนตัวนั้นมองทิศทางซึ่งพวกจี้หยวนจากไป ก่อนเอ่ยปากกล่าวภาษาคน
“ภายในขบวนเขาล้อมหยก เซียนไม่มีหยกประดับคนนั้น บนตัวมีเสียงครึกครื้นมาก ข้าเหมือนได้ยินเสียงมากมายหลายหลากโต้เถียงตกตะลึง น่าจะเป็นภูตจิ๋วจำนวนไม่น้อยที่เลี้ยงไว้ ด้านหลังมีกระบี่เซียนซ่อนเจตกระบี่เล่มหนึ่งลอยอยู่ นอกจากเสียงทะเลาะเซ็งแซ่พวกนั้นแล้ว เสียงภายนอกภายในรอบตัวเซียนคนนี้ราวกับน้ำแร่ภูเขาหยาดหยด ทั้งเหมือนสายลมพัดผ่าน คล้ายผุดผ่องปราศจากตำหนิ ข้าไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน…”
‘ซื่อทิง’ ไม่ใช่ชื่อแต่เป็นแซ่ ทั้งสื่อถึงสัตว์ปีศาจหายากเช่นนี้ สัตว์สี่หูจวนเร้นจิตล้วนมีแซ่ว่า ‘ซื่อทิง’ ตั้งชื่อด้วยอักษรเดียว อย่างเช่นตรงหน้าคือ ‘ซื่อทิงซิว’ เรียกขานว่า ‘สหายยุทธ์ซื่อทิง’ คล้ายคลึงกับ ‘สหายยุทธ์เฮ่อ’ ของเขาล้อมหยก
“ผุดผ่องปราศจากตำหนิ?”
ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตหันมองไปทางเรือเหาะ คล้ายไม่เข้าใจนัยลึกซึ้ง ซื่อทิงที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าพลางกล่าวต่อ
“ข้าเคยเจอผู้ครองมรรควิถีสูงส่งมาไม่น้อย แม้ว่าส่วนใหญ่ข้าล้วนมองไม่ออก แต่ความรู้สึกซึ่งมีต่อเซียนคนนี้พิเศษมาก ถือเป็นผู้ฝึกเซียนแท้จริง”
ฝึกเซียนกับฝึกเซียนแท้จริงต่างกันเพียงคำเดียว ต่อให้โลกผู้บำเพ็ญใช้ปะปนกันหลายครั้ง แต่เมื่อซื่อทิงกล่าวออกมา แน่นอนว่าความหมายย่อมแตกต่างกัน
ส่วนอาวุธเซียนนับเป็นสมบัติพิทักษ์สำนัก อาวุธเซียนมีความคิดและความชอบเป็นของตัวเอง ถึงขั้นว่าจิตวิญญาณไม่ด้อยกว่าผู้ฝึกเซียนทั่วไป ที่ร้ายกาจยิ่งกว่ายังแปลงกายจากวิญญาณอาวุธได้ นอกจากเจ้าของรุ่นแรกแล้ว อาวุธเซียนยากยอมรับเจ้านายคนใหม่อีกครั้ง แต่ด้วยเห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อนจึงคอยปกป้องคนในสำนัก
ผู้พกอาวุธเซียนติดตัวออกมาข้างนอกมีความเป็นไปได้เช่นนั้น คำว่า ‘ไม่ธรรมดา’ ไม่อาจนิยามได้โดยง่าย
เมื่อได้ยินซื่อทิงกล่าวเช่นนี้ ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตครุ่นคิดเล็กน้อย
…
บนเรือเหาะคึกคักมาก มีร้านค้ากับตลาดเล็กนานัปการเช่นกัน ทั้งมีเอกลักษณ์ต่างแดนบางส่วน คนธรรมดาซึ่งทำการค้าบนเรือตะโกนเป็นภาษาถิ่นตลอด เชิญเซียนหรือคนธรรมดาที่เพิ่งขึ้นเรือไปชมหน้าร้านของพวกเขา
แม้ว่าบนโลกนี้ผู้ฝึกปราณถูกกล่อมเกลาจนเชื่อมโยงภาษาถึงกัน คุยภาษาทางการทุกแห่งได้ แต่เมื่อข้ามอาณาเขตกว้างความต่างทางสำเนียงยิ่งมาก มีภาษาถิ่นของตนไม่แปลก เมื่อก่อนภาษาทางการสำเนียงถิ่นยังชัดเจน ส่วนใหญ่จี้หยวนฟังออก
แต่ภาษาถิ่นยามบางคนบนเรือเหาะคุยกันส่วนตัว เกือบถึงขั้นที่จี้หยวนฟังไม่ออก กระทั่งขมวดคิ้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อก่อนเขายังคิดว่าความเคยชินทางภาษาแต่ละแห่งคงไม่ต่างกัน แม้แต่ขบวนเรือหาเกาะหมอกเซียนที่เจอบนทะเลตะวันออก ต่อให้สำเนียงต่างกันมากก็ยังคุยกันได้
พวกเว่ยหยวนเซิงกับซ่างอีอีฟังไม่เข้าใจเช่นกัน เหล่าศิษย์ฝึกปราณรุ่นเยาว์มองหน้ากันเลิ่กลั่ก จากนั้นเว่ยหยวนเซิงพลันเอ่ยถามฉิวเฟิงที่อยู่ด้านข้าง
“อาจารย์ พวกเขาพูดภาษาอะไรกัน”
“ใช่แล้ว สำเนียงตรงนั้นฟังไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง”
ความจริงฉิวเฟิงไม่ค่อยเข้าใจเช่นกัน เขาไม่เคยออกจากทวีปเมฆามาก่อน ได้แค่มองศิษย์พี่ตน ฝ่ายหลังไม่ต่างกับเขานัก ดังนั้นจูหยวนจื่อเลยเอ่ยปากตอบ
“นานมาแล้วทวีปเมฆามีราชวงศ์ยิ่งใหญ่ครองมรรเทพใต้อาณัติ ระหว่างบุกเบิกทวีปเมฆา ในราชวงศ์เกิดความวุ่นวายจากความขัดแย้งที่สั่งสมมานานปี หลังจากแตกแยกกระเส็นกระสาย เดิมชาวบ้านเผ่ามนุษย์บนทวีปเมฆามีต้นกำเนิดเดียวกัน กอปรกับอยู่ภายใต้การปกครองเดียวกันมานับร้อยพันปี ความจำด้านภาษาบรรพชนหยั่งรากลึก ต่อให้ไม่ทราบประวัติศาสตร์ ภาษาปัจจุบันอาจต่างกันมากแต่ลักษณะส่วนใหญ่ไม่ต่างกัน”
“แต่เมื่อข้ามเขตทวีปเมฆา บางครั้งความแตกต่างของภาษาถิ่นอาจต่างกันมาก แน่นอนว่าภาษาทางการโดยทั่วไปส่วนใหญ่ยังคล้ายคลึงกัน”
คำพูดนี้ไม่ใช่แค่พวกเว่ยหยวนเซิงที่ได้รับการสอน จี้หยวนเพิ่งทราบเป็นครั้งแรก ข้อมูลที่รับรู้เมื่อก่อนไม่ครอบคลุมเรื่องนี้
ยามเดินไปเรือนรับรองบนเรือเหาะของตน นอกจากจูหยวนจื่อพวกเขาเกือบทุกคนล้วนสงสัยใคร่รู้ แม้แต่จี้หยวนก็เช่นกัน แค่จี้หยวนไม่แสดงออกทางสีหน้าเท่านั้น
อาวุธศักดิ์สิทธิ์มหึมาอย่างเรือเหาะ ภายในแฝงซ่อนจักรวาลคือสิ่งที่รับรู้ร่วมกัน เรือเหาะของจวนเร้นจิตลำนี้ก็เหมือนกัน ภายในใหญ่กว่าตัวเรือที่เห็นข้างนอกมาก ห้องโดยสารด้านในแบ่งเป็นหลายชั้น มีการใช้งานสารพัดแบบ บริเวณพักอาศัยส่วนใหญ่อยู่รอบลำเรือ
ถ้ากล่าวถึงประเด็นนี้ความจริงพื้นที่ใช้สอยของเรือเหาะถือว่าเล็กกว่าบนหลังสัตว์กลืนนภา ทั้งไม่ใหญ่เกินกว่าขนาดนัก
เดินมองซ้ายมองขวาอยู่ครู่ใหญ่ค่อยเห็นที่พักของตน จี้หยวนเข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงเรียกว่าเรือนรับรองไม่ใช่ห้องโดยสาร ด้วยมันคือเรือนเล็กล้อมกำแพง ทั้งใหญ่กว่าเรือนสันติ
เซียนเขาล้อมหยกซึ่งไม่คุ้นหน้าคนหนึ่งสะบัดยันต์คำสั่งไปทางเรือนเล็ก แสงธรรมพร่าเลือนสายหนึ่งวาบผ่านกลางเรือน ประตูเรือนเปิดออกเอง เห็นว่าด้านในมีดอกไม้ ต้นไม้ โต๊ะ ทิวทัศน์
“ไม่เลว ทุกคนเข้าไปหาห้องพักผ่อนเอง ยามเข้าออกใช้ยันต์คำสั่งติดตัว”
“ขอรับ!”
“เจ้าค่ะ!”
บรรดาศิษย์ตอบรับแล้ววิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจับคู่หาห้องพัก แต่ล้วนเลือกห้องรอบนอกอย่างรู้จักกาลเทศะ ด้านในเหลือไว้ให้ผู้อาวุโส
หลังจากนั้นหนึ่งวันจี้หยวนซึ่งนั่งฝึกปราณบนเตียงในห้องตัวเองรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยโดยรอบ แม้ว่าคนทั่วไปแทบไม่รู้สึก แต่สำหรับเขาถือว่าชัดเจนยิ่ง
การเคลื่อนไหวเช่นนี้บ่งบอกได้เรื่องเดียว เรือเหาะข้ามแดนของจวนเร้นจิต เริ่มลอยขึ้นฟ้าออกจากท่าเรือแล้ว
จี้หยวนลุกขึ้นจากเตียงทันที เปิดประตูเห็นจูหยวนจื่อกับเหล่าผู้ฝึกปราณที่เรียกได้ว่าเป็นเซียนแห่งเขาล้อมหยกออกมายามนี้เช่นกัน
ฉิวเฟิงยังส่งเสียงไปทางห้องที่เว่ยหยวนเซิงอยู่
“หยวนเซิง เรือเหาะเคลื่อนตัวแล้ว ไม่ออกไปดูหรือ”
“อะไรนะ ตอนนี้หรือ มาแล้ว!”
“ข้าไปด้วยๆ!”
เหล่าศิษย์ทยอยออกมา จากนั้นค่อยมาถึงดาดฟ้าเรือเหาะพร้อมผู้อาวุโสอย่างรวดเร็ว
ด้านนอกตรงตลาดนัดท่าเรือยอดเขาที่ค่อนข้างห่างไกลยังขวักไขว่คับคั่งเหมือนเดิม ส่วนเรือเหาะลำนี้ลอยตัวขึ้นมาช้าๆ เมฆหมอกด้านล่างราวคลื่นยักษ์กระทบก้นเรือ จากนั้นค่อยแยกออกจากกัน
หมอกบนเขากวางจันทร์กว้างใหญ่ไพศาล เรือเหาะลอยตัวขึ้นทีละน้อย ปลีกตัวห่างออกไปท่ามกลางแรงดัน