บทที่ 411 ละอองหมอกลอยทั่วป่าท้าวายุ
ข่งเสียงหลงดำรงตำแหน่งที่สำนักงานภาคสนาม ดูแลรับผิดชอบไล่ตามจับคนร้าย
วันนี้ก็มาส่งคนร้ายประกาศจับที่จับได้ ตอนที่สวี่ชิงเห็นเข้า เขากำลังพูดคุยหัวเราะกับพัศดีที่สนิทสนมคุ้นเคยกันดีเหล่านั้นของชั้นเก้า ข้างกายยังมีเผ่าสองหน้าที่นอนหายใจรวยรินอยู่
เผ่าสองหน้าตนนี้พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา แม้จะบาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ตรงนั้น แต่ระลอกคลื่นพลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณเจ็ดวังสวรรค์ก็ยังคงรุนแรง เห็นได้ชัดว่าในเผ่าของมันก็จะต้องเป็นบุคคลไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้นคงไม่มีทางมีวังสวรรค์ถึงเจ็ดวัง
เพียงแต่ตอนนี้สภาพอเนจอนาถน่าสังเวช บนตัวล้วนเป็นบาดแผล คล้ายว่าถูกทำร้ายอย่างทารุณ อีกทั้งยังเสียขาไปข้างหนึ่ง ดูจากบาดแผลแล้วเหมือนว่าถูกฉีกออกไปทั้งอย่างนั้น
ส่วนข่งเสียงหลงเองก็มีบาดแผลเช่นกัน แต่ท่าทางเขาเหมือนไม่ใส่ใจ หลังจากสังเกตเห็นสวี่ชิง ดวงตาก็ยิ่งเป็นประกาย ยิ้มเอ่ยขึ้น
“สวี่ชิง!”
“พี่ข่ง”
สวี่ชิงคารวะทำความเคารพ พัศดีรอบๆ ต่างยิ้มทักทายกับสวี่ชิง ช่วงนี้สวี่ชิงดูแลเขตติงหนึ่งสามสองสำเร็จ ไม่ได้เปลี่ยนห้องขังเลย ทำให้พัศดีจำนวนไม่น้อยล้วนได้ยินข่าว
โดยเฉพาะเขาเข้างานเลิกงานทุกวันล้วนออกไปข้างนอก แต่กลับไม่มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นตายอนาถ นี่ยิ่งทำให้ได้ความเลื่อมใสนับถือเพิ่มมากขึ้น
ตอนนี้เห็นข่งเสียงหลง สวี่ชิงก็เผยรอยยิ้มออกมา สายตาจับจ้องไปที่บาดแผลบนร่างของอีกฝ่าย
“ไม่เป็นไร บาดแผลเล็กน้อย สวี่ชิงนี่เจ้าเป็นพลทหารแล้วหรือ ฮ่าๆ เหมือนกับที่คาดไว้จริงๆ ด้วย”
ข่งเสียงหลงกวาดสายตามองลายเปลวเพลิงสีดำบนชุดนักพรตของสวี่ชิง และสังเกตเห็นสีหน้าท่าทางของพัศดีที่อยู่รอบๆ จึงกะพริบตาปริบๆ คล้ายว่าไม่ได้แปลกใจที่สวี่ชิงเป็นพลทหารสักเท่าไร
“ความจริงก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าเจ้าไปเป็นอาลักษณ์ของเจ้าวัง ข้าก็เดาว่า…
“เจ้าเดาว่าอะไร” ข่งเสียงหลงยังพูดไม่ทันจบ เสียงเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งที่มาพร้อมด้วยความทรงอำนาจน่าเกรงขามก็ดังมาจากบนบันไดขั้นที่เก้า
จากเสียงคำพูดที่ดังสะท้อน เงาร่างเย็นชาของเจ้าวังก็ปรากฏขึ้นตรงนั้น แต่ละก้าวๆ มาพร้อมด้วยพลังอำนาจกดดัน เดินไปทางคนทั้งหลาย
พัศดีทุกคนเคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาทันที ต่างโค้งคารวะ
“คารวะท่านเจ้าวัง”
สวี่ชิงก็เช่นกัน ข่งเสียงหลงเนื้อตัวสั่นสะท้าน รีบก้มศีรษะคารวะ
สวี่ชิงสังเกตเห็นว่าข่งเสียงหลงเหมือนกลัวมาก ที่หน้าผากกระทั่งว่าเหงื่อผุดออกมา
ส่วนความรู้สึกกดดันจากร่างเจ้าวังก็รุนแรงมาก ความกดดันก็แผ่อวลไปทั่วทั้งชั้นที่เก้าจากการเข้ามาใกล้
ในตอนที่รอบๆ เงียบกริบไร้สุ้มเสียง เงาร่างของเจ้าวังก็เดินมาถึงข้างหน้าคนทั้งหลาย
เขามองคนร้ายประกาศจับเผ่าสองหน้าที่นอนอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็จับจ้องมาที่ร่างข่งเสียงหลง เอ่ยราบเรียบ
“ด้วยพลังบำเพ็ญของเจ้า ทั้งๆ ที่สามารถสยบจับเป็นผู้บำเพ็ญตนนี้ได้ในกระบี่เดียว ไยจึงต้องลงมือถึงสองกระบี่ ถูกข้างนอกยกยอว่าเป็นอัจฉริยะของยุคนี้เลยพอใจแล้วหรือไร อย่างอื่นเรียนรู้ไม่ได้ แต่ยโสหยิ่งทะนงเรื่องนี้เจ้ากลับเรียนรู้ได้ไวดีนี่”
พูดจบเขาก็หันมามองสวี่ชิง เย็นชาเหมือนกัน
“แล้วก็เจ้า เลิกงานแล้วแต่กลับไม่ไปฝึกบำเพ็ญ มาดูเรื่องสนุกอะไรที่นี่ สยบกำราบเขตติงหนึ่งสามสองก็พอใจแล้วหรือไร อีกทั้งเจ้าสยบกำราบได้จริงๆ แล้วหรือ หากมีความสามารถก็ยกระดับไปสยบกำราบเขตปิ่งขั้นต่อไป!”
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง คำพูดนี้ของเจ้าวังทำให้เขาจมอยู่ในความคิด
สำหรับนิสัยของท่านเจ้าวัง สวี่ชิงรู้กระจ่างแล้ว ช่วงนี้จากการที่เขาค่อยๆ สนิทสนมกับพัศดีคนอื่นๆ ก็ได้ยินคนพูดถึงเรื่องที่เจ้าวังครองกระบี่คนนี้เข้มงวดกับคนมาก
รวมกับการตำหนิที่กระแทกใส่หน้าของอีกฝ่ายในครั้งแรกที่ได้เจอ สวี่ชิงก็รู้ว่าตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์
ส่วนข่งเสียงหลง ตอนนี้ก็ก้มหน้าไม่พูดอะไร
“ทำไมไม่พูดอะไร ข้าถามเจ้าอยู่นะ!” สายตาของเจ้าวังกวาดไปที่สวี่ชิงและข่งเสียงหลง สุดท้ายก็มองไปยังฝ่ายหลัง
ข่งเสียงหลงลังเล เอ่ยเสียงต่ำ
“ตอนนั้นข้างๆ ผู้บำเพ็ญเผ่าสองหน้าตนนี้มีหญิงรับใช้ลูกครึ่งอยู่หลายคน พวกนางเป็นคนน่าสงสาร ข้ากลัวว่าลงมืออย่างเต็มกำลังเกินสมควรจะทำให้ผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บ ดังนั้น…”
ลูกครึ่ง ไม่ใช่เผ่าพันธุ์หนึ่ง พวกเขากำเนิดจากเผ่ามนุษย์กับต่างเผ่า บางครั้งชะตาชีวิตอเนถอนาถน่าสังเวชนัก
เข้าวังเงียบนิ่ง หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมา
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น เจ้าฆ่าผู้บำเพ็ญระดับแก่นลมปราณเจ็ดวังสวรรค์คนหนึ่งไยจึงได้รับบาดเจ็บ ไปทำเรื่องส่วนตัวอะไรอีก!”
ข่งเสียงหลงหน้าผากซึมไปด้วยเหงื่อ แต่ถูกเจ้าวังจ้องไม่พูดก็ไม่ได้ ดังนั้นก็กัดฟันตอบไปว่า
“นักโทษประกาศจับตนนั้นมีพรรคพวกจำนวนหนึ่ง พวกมันหนีไปแล้ว แม้จะไม่ได้อยู่ในรายชื่อประกาศจับ แต่ข้าเห็นเรื่องไร้ศีลธรรมที่พวกมันทำเหล่านั้น ก็อดไว้ไม่ค่อยได้ จึงไล่ตามไปกำจัดทิ้งเสียให้หมด ภายหลังมีผู้แข็งแกร่งมาคนหนึ่ง ข้าก็จัดการสังหารเช่นกัน จึงได้รับบาดเจ็บขอรับ”
เจ้าวังมองข่งเสียงหลงอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง หันหลังเดินไปทางบันได แต่กลับมีเสียงเย็นยะเยียบดังมา
“เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่เจ้าไม่ทำตามกฎการทำภารกิจของผู้ครองกระบี่ ก่อเรื่องยุ่งยากโดยไม่จำเป็น ลงโทษคุมขังเจ็ดวัน เอาตัวไป!”
พูดจบ เจ้าวังก็จากไปไกล
สวี่ชิงมองข่งเสียงหลงอย่างเห็นใจ
เรื่องนี้เขารู้สึกว่าเจ้าวังคร่ำครึเกินไป ไร้ซึ่งความอ่อนโยน
ข่งเสียงหลงถอนหายใจ มองสวี่ชิงแวบหนึ่ง หัวเราะเสียงขื่นขึ้นมา
“หากรู้ว่าเป็นแบบนี้แต่แรก ข้ามาที่นี่ส่งคนแล้วก็จะไปทันที ช้าไปก้าวหนึ่ง ซวยเสียจริง”
ระหว่างพูด พัศดีข้างๆ ก็เคร่งขรึมจริงจังขึ้นมาก หลังจากมัดนักโทษเผ่าสองหน้าที่อยู่บนพื้น ก็เดินมาข้างหน้าข่งเสียงหลง
ข่งเสียงหลงยกสองมือขึ้นอย่างยอมรับชะตากรรม ถูกสวมโซ่ตรวน แล้วพาตัวไปทันที
ก่อนไปเขายังโบกมือให้กับสวี่ชิง
สวี่ชิงมองภาพนี้อย่างเงียบงัน จวบจนเงาร่างของข่งเสียงหลงหายไป เขาจึงไปจากกรมราชทัณฑ์ กลับมายังหอกระบี่
หลังจากขัดสมาธินั่งลง สวี่ชิงมองความมืดข้างนอกแวบหนึ่ง ในสมองมีภาพที่ข่งเสียงหลงถูกตำหนิจับไปขังคุกผุดขึ้นมา
ผ่านจากเรื่องนี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการรักษากฎระเบียบและความเข้มงวดของท่านเจ้าวัง ก็เหมือนกับที่ตำหนิเขา อัจฉริยะฟ้าประทานอย่างข่งเสียงหลงก็โดนตำหนิเช่นกัน
‘เจ้าวังครองกระบี่เช่นนี้…’ สวี่ชิงดวงตามองทะลุความมืด
จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าดีมาก กฎที่นี่ยิ่งเรียบง่าย ทุกอย่างพูดกันด้วยพลังแท้จริง แต่คุณงามความชอบกับกฎระเบียบล้วนสำคัญเหมือนกัน
‘ดังนั้น ตอนนั้นพี่เฉินถึงได้บอกข้า หลังจากที่ปรมาจารย์ของจางซืออวิ้นเป็นหนึ่งในสี่ผู้ดูแล ก็บอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนเล่นพรรคเล่นพวก เจ้าวังแบบนี้หากมีคนเล่นพรรคเล่นพวกจริงๆ ท่าทางเขาคงไม่ยอม’
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด ความรู้สึกต่อเจ้าวังครองกระบี่หลังจากที่ผ่านเรื่องเล็กๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า ภายใต้ความไม่รู้ตัวก็ได้รู้ในขั้นต้นแล้ว
ขณะเดียวกันเขาก็คิดถึงคำพูดของชายชราเผ่าจิตรกรรม
‘ในจุดลึกของกรมราชทัณฑ์กักขังร่างแยกของเทพเจ้าเอาไว้!’
สวี่ชิงส่ายหน้า เรื่องนี้เขารู้สึกว่าแค่รู้ก็พอแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะไปสืบและพิสูจน์ได้
ดังนั้นแล้วเขาจึงฝังเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ หลับตาทั้งสองข้าง สัมผัสวังสวรรค์วังที่ห้า
วังสวรรค์วังที่ห้าของเขาใกล้จะปรากฏเค้าร่างแล้ว จากการวิเคราะห์ของเขา อีกประมาณห้าหกวัน ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงเสร็จสมบูรณ์
‘ยิ่งขั้นถัดๆ ไป การเปลี่ยนเป็นวัตถุจริงก็ยิ่งช้า’
สวี่ชิงช่วงนี้จึงขบคิดอยู่ตลอดว่าจะบรรจุดวงชีพอสูรสมุทรบรรพกาลดีหรือไม่…
เขารู้สึกว่าวังสวรรค์สี่วังก่อนหน้านี้ของตนไม่เลวเลย หากเทียบกันแล้วอสูรสมุทรบรรพกาลค่อนข้างธรรมดาไปแล้ว
และการก่อรูปร่างของแก่นลมปราณวังสวรรค์ นอกจากจะสถานวัตถุภายนอกแล้ว ยังสามารถใช้วิชาของตัวเองก่อร่างขึ้นได้ด้วย สวี่ชิงจึงขบคิดว่าหากผสานเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิของตัวเองลงไปจะเป็นเช่นไร
เรื่องนี้จากทฤษฎีแล้วทำได้ แต่สวี่ชิงขาดข้อมูลบางอย่าง ดังนั้นเมื่อคิดๆ แล้ว เขาก็ทำใจกล้าหยิบเอาแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา สื่อเสียงหาจอมเซียนจื่อเสวียน
“ผู้อาวุโสอยู่หรือไม่ขอรับ”
“ไม่อยู่” เสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนแทบจะดังจากแผ่นหยกมาในทันที
สวี่ชิงเงียบนิ่ง ในแผ่นหยกไม่มีประโยคที่สองดังออกมาอีก
เขาฟังออกว่าน้ำเสียงของจอมเซียนจื่อเสวียนแปลกไป ในใจค่อนข้างสับสนงุนงง ไม่รู้ว่าตัวเองไปสร้างความไม่พอใจอีกฝ่ายตั้งแต่เมื่อไร จึงสื่อเสียงหานายท่านห้าถามเรื่องเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิผสานไปในวังสวรรค์
“เอ๋ จอมเซียนจื่อเสวียนไม่ได้บอกเจ้าหรือ เรื่องนี้ก่อนที่พวกเราจะมาเมืองหลวงเขตปกครอง อาจารย์ของเจ้ากับนางได้พูดคุยหารือเรื่องการผสานเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิไปในแก่นลมปราณของเจ้ามาก่อน
“เมื่อหลายวันก่อนข้ายังเห็นผู้อาวุโสจื่อเสวียนเชิญสหายสนิทบางคนของนางมาสำนัก และถามเรื่องแนวๆ นี้ ในเมื่อเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิแต่ละวิชาไม่เหมือนกัน วิธีการผสานก็มีหลักการ นางยังได้ไปเยี่ยมเยือนสามสำนักใหญ่ จ่ายค่าตอบแทนบางอย่างเพื่อไปสืบถามตรวจสอบที่หอคัมภีร์ของพวกเขาอีกด้วย
“หากผสานมั่วๆ แม้จะไม่เป็นอะไรแต่ก็ไม่มีทางสำเร็จ”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาไม่รู้ว่าจื่อเสวียนทำเรื่องมากมายเพื่อตนถึงเพียงนี้ ในใจเขาเกิดระลอกคลื่น จึงหยิบแผ่นหยกสื่อเสียงออกมา
“ผู้อาวุโส…”
“เอ๋ นั่นใคร” ในแผ่นหยกสื่อเสียงมีเสียงจื่อเสวียนดังออกมา
“ข้าคือสวี่ชิงขอรับ…”
“อ๋อ เป็นสวี่ชิงคนนั้นที่เลือกที่จะอยู่หอกระบี่ไม่กลับมาเพื่อหลบข้าคนนั้นน่ะหรือ”
สวี่ชิงไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี ทำได้เพียงแค่เอ่ยเสียงเบา
“ข้าได้ยินเรื่องจากนายท่านห้าแล้ว…ขอบคุณผู้อาวุโสมากขอรับ!”
ในแผ่นหยกมีเสียงแค่นจมูกเบาๆ ดังลอยมา
“วังสวรรค์วังที่ห้าของเจ้าใกล้ปรากฏเค้าร่างแล้วกระมัง วันที่ปรากฏเค้าร่างกลับมาพบข้า อ้อ ข้าชอบกินขนมดอกกุ้ยของเขตเมืองทิศใต้”
“ขอรับ” สวี่ชิงโล่งใจ รีบเก็บแผ่นหยกลงไป จำเรื่องขนมดอกกุ้ยไว้ในใจ
‘วันหลังต้องหาโอกาสตอบแทนจอมเซียนจื่อเสวียน’ สวี่ชิงไม่เชี่ยวชาญการแสดงความรู้สึกในใจ จึงหยิบแผ่นไม้ไผ่ออกมา สลักชื่อของจื่อเสวียนไว้อีกด้านหนึ่ง ชื่อที่สลักลงบนนั้นล้วนแต่เป็นคนที่มีบุญคุณกับเขา
‘นอกจากนี้เรื่องแต้มกองทัพข้าก็ต้องรีบแล้ว’ นึกถึงแต้มกองทัพ คิ้วของสวี่ชิงขมวดเล็กน้อย
หลังจากเป็นพลทหาร เขาก็เข้าใจการได้รับแต้มกองทัพกระจ่างยิ่งขึ้น ตามปกติแล้ว ในฐานะที่เป็นพลทหาร ทุกเดือนเขาล้วนได้แต้มกองทัพที่แน่นอน
ไม่ได้มากมายนัก ห่างจากเป้าหมายของเขาอีกไกลลิบ หากอยากได้มากกว่านั้นก็จะต้องออกไปทำภารกิจ
แต่ว่าอย่างไรเสียจากการสะสมก็ต้องมีสักวันที่สะสมถึง ดังนั้นสวี่ชิงวางแผนว่าหลังจากนี้นอกจากจะเข้าเวรแล้ว ก็จะไปทำภารกิจต่างๆ รอบๆ เมืองหลวงเขตปกครองด้วย
หลังจากที่ตัดสินใจเช่นนี้ สวี่ชิงก็หลับตา เริ่มนั่งสมาธิ
เวลาไหลไป ในยามที่ฟ้าใกล้สว่าง จู่ๆ สวี่ชิงก็ลืมตาขึ้น
‘ข้าเหมือนจะลืมเรื่องอะไรไป…’ สวี่ชิงขมวดคิ้ว ครุ่นคิดขึ้นมา หลังจากนั้นครู่หนึ่งดวงตาเขาก็จ้องเพ่ง
“วันนี้เจ้าวังซักไซ้ข้าว่าสยบกำราบเขตติงหนึ่งสามสองได้จริงๆ หรือ”
สวี่ชิงพึมพำ ประโยคนี้เขารู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูก และสิ่งที่ยิ่งไม่ถูกคือเขารู้สึกว่าทำไมความจำของตัวเองจึงแย่ถึงเพียงนี้ หลังจากกลับมาก็เกือบลืม
‘ไม่ถูก!’ สวี่ชิงพลันเงยหน้าขึ้นมา เขามั่นใจในความทรงจำของตัวเองมาก เรื่องแบบนี้ไม่ควรลืมถึงจะถูก
‘ตั้งแต่เมื่อไรกัน ข้าถึงได้เริ่มความจำแย่’ ในดวงตาสวี่ชิงฉายแววขบคิด หลังจากนึกย้อนประสบการณ์ที่ได้พบเจอของตัวเอง รูม่านตาของเขาก็ค่อยๆ หดเล็กลง
‘ข้าแค่ลืมเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขตติงหนึ่งสามสองโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น เรื่องอื่นไม่ลืม
‘และเรื่องแบบนี้ก็เริ่มตั้งแต่ที่ข้ามาเป็นผู้ดูแลที่นี่!’
สวี่ชิงใจสั่นสะท้าน
เขาพลันนึกถึงคำพูดประโยคนั้นทีผู้ดูแลคนที่แล้ว ชายชราลับมีดคนนั้นได้พูดกับเขาในวันนั้น
“ยามที่เจ้าคิดว่าค้นพบทุกอย่างแล้ว ความจริงยังมีเรื่องราวอีกมากมายรอเจ้าอยู่”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง นานหลังจากนั้นแววตาของเขาก็เยียบเย็นน่าขนลุก พึมพำเอ่ยขึ้น
“ข้าได้รับอิทธิพลจากเขตติงหนึ่งสามสองแล้ว”
ตอนนี้ฟ้าของนอกสว่างแล้ว
แต่กลับไม่มีแสงอาทิตย์เจิดจ้าสักเท่าไร ท้องฟ้าดำครึ้มไปทั่ว ฝนซัดสาด
นี่เป็นฤดูฝนของเมืองหลวงเขตปกครอง จะดำเนินไปหลายเดือน
สวี่ชิงลุกขึ้นยืน ดวงตาแฝงด้วยความเย็นเยือก ผลักประตูหอกระบี่ เดินไปในสายฝน มุ่งหน้าไปยังกรมราชทัณฑ์
ในเสี้ยวพริบตาที่ย่างก้าวไปในกรมราชทัณฑ์ ในใจเขาก็สื่อจิตเทพหาบรรพจารย์สำนักวัชระและเจ้าเงา
“นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเจ้าใช้แผ่นหยกบันทึกเงาเคลื่อนไหวบันทึกเหตุการณ์ต่อจากนี้ของข้าทั้งหมด บันทึกไว้ตลอดอย่าให้ขาดตอน”
บรรพจารย์สำนักวัชระและเจ้าเงาต่างอึ้งตะลึง รีบรับคำสั่ง
“นายท่าน เกิดอะไรขึ้นหรือ” บรรพจารย์สำนักวัชระเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ข้าสงสัยว่ามีพลังบางอย่างรบกวนการรับรู้ของข้า ลบเลือนความทรงจำเรื่องบางอย่างของข้า”
ในดวงตาของสวี่ชิงยิ่งเย็นยะเยียบ เดินเข้าไปในกรมราชทัณฑ์ เดินเข้าไปในชั้นที่ห้าสิบเจ็ด เข้าไปใน…เขตติงหนึ่งสามสอง!
ไม่รู้ว่าเมื่อไร เขตติงหนึ่งสามสองก็ไม่ได้มืดมิดและเย็นเยือกขนาดนั้นแล้ว
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ศีรษะไม่พูดมากขนาดนั้นแล้ว อสูรเมฆาก็ไม่ได้กินรยางค์อีกต่อไป การหมุนของโม่ก็เปลี่ยนมาฝืด ชายชราเผ่าจิตรกรรมกลับปรากฏตัวถี่ๆ
บางทีเจ้าเงากับบรรพจารย์สำนักวัชระมีคุณงามความชอบในด้านนี้
หลังจากสวี่ชิงเดินเข้ามาในเขตติงหนึ่งสามสอง สัมผัสทุกอย่างของที่นี่ ในใจก็เกิดความคิดหนึ่ง
เด็กน้อยปรากฏตัวขึ้นแล้ว ยืนอยู่ไม่ไกลไปจากเขา ในดวงตาแฝงด้วยความจนปัญญานิดๆ เมื่อสวี่ชิงเห็นจิตใจก็หนักอึ้ง จากนั้นก็เดินไปบนทางเดินอย่างเงียบงันไร้สุ้มเสียงเหมือนปกติ เดินผ่านข้างหน้าห้องขังของนักโทษที่ขังเอาไว้ทุกห้อง
ในตอนที่เดินไปถึงโม่ เขาเห็นศีรษะที่พูดมากไม่หยุดนั้นไม่ได้กลิ้งไปกลิ้งมาบนพื้นอย่างหาได้ยาก แต่กลับปรากฏขึ้นบนโม่ จ้องสวี่ชิง ในหน้าฉายรอยแปลกประหลาด
มันจ้องสวี่ชิง สวี่ชิงก็จ้องมันเหมือนกัน
มันไม่พูดอะไร
“วันนี้ทำไมเงียบแบบนี้” สวี่ชิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
“ข้าไม่อยากถูกเหยียบตาย อีกทั้งเจ้าเคยเห็นใครพูดกับคนตายหรือ” ศีรษะยิ้ม ยิ้มได้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
“เคยเห็น” สวี่ชิงตอบ
ศีรษะอึ้งตะลึง
“ไม่ใช่แค่เคยเห็น แต่ข้ายังเคยพูดด้วย” สวี่ชิงพูดอย่างจริงจัง
ศีรษะสีหน้าฉายแววแปลกประหลาด จากนั้นก็ขยับซ้ายขวา หันท้ายทอยให้สวี่ชิง
สวี่ชิงเดินไปข้างหน้า จนเดินไปถึงห้องขังที่เผ่าจิตรกรรมอยู่ มองชายชราที่สะอาดสะอ้านทั้งตัวในภาพ เขาก็พลันเอ่ยขึ้น
“พูดทุกประโยคที่เจ้าพูดกับข้าเมื่อก่อนหน้านี้ซ้ำอีกรอบ ขาดไปคำหนึ่ง ข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย”
ชายชราอึ้งตะลึง
สวี่ชิงสีหน้าไร้อารมณ์ ขณะสะบัดมือเจ้าเงาก็แผ่ลามมา แผ่ปกคลุมห้องขังของอีกฝ่ายอีกครั้ง
ชายชราเผ่าจิตรกรรมรีบเปิดปาก ความทรงจำของเขาดีมาก เขาทวนประโยคทุกประโยคที่พูดที่นี่หลังจากสวี่ชิงกลายเป็นผู้ดูแลรอบหนึ่ง
สวี่ชิงฟังจบก็พยักๆ หน้า หันหลังกลับไปยังประตูคุก หลับตานั่งสมาธิ
หนึ่งวันผ่านไป วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ไม่แตกต่างอะไรกับวันอื่นๆ เลย จนเมื่อถึงเวลาเลิกงาน สวี่ชิงก็เดินออกไปจากเขตติงหนึ่งสามสอง
ตลอดทางเขาไม่ได้หยุดเลย กลับมายังหอกระบี่
ในเสี้ยวพริบตาที่นั่งลงขัดสมาธิ สวี่ชิงก็พูดขึ้น
“โหยวหลิงจื่อ เจ้าก่อน”
เหล็กแหลมสีดำพุ่งออกมา บรรพจารย์สำนักวัชระที่อยู่ในนั้นปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าเคร่งเครียดจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ขณะสะบัดมือแผ่หยกบันทุกเงาเคลื่อนไหวแผ่นหนึ่งก็ปรากฏ บนนั้นมีภาพปรากฏขึ้นมา
ในภาพเป็นสวี่ชิงนั่นเอง
ในนั้นบันทุกภาพนับจากที่เขาเหยียบย่างเข้ามาในกรมราชทัณฑ์ จวบจนเข้ามาในเขตติงหนึ่งสามสอง สุดท้ายก็ออกไป ละเอียดมาก ชัดเจนมาก ไม่ขาดอะไรไปเลย
โดยเฉพาะคำพูดของชายชราเผ่าจิตรกรรมก็บันทึกไว้ด้วยเช่นกัน
สวี่ชิงดูอยู่นานก็มองความแปลกประหลาดอะไรจากในนั้นไม่ออก จึงส่งจิตเทพหาเจ้าเงา ไม่นานนักมันก็ฉายภาพที่มันบันทึกเอาไว้
หลังจากเปรียบเทียบกันทั้งสองอัน ทุกอย่างเป็นปกติ
ดวงตาสวี่ชิงฉายแววครุ่นคิด ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมองของเขาอย่างควบคุมไม่ได้
“หรือข้าจะคิดมากไป”
สวี่ชิงเงียบนิ่ง หลังจากสะกดความคิดนี้ลงไปตรวจสอบแผ่นหยักบันทึกภาพเงาต่อ สุดท้ายดวงตาของเขาก็พลันจ้องเพ่ง จับจ้องไปยังชายชราเผ่าจิตรกรรมที่อยู่ในแผ่นหยก
เสียงของอีกฝ่ายดังมาจากในแผ่นหยกบันทึกภาพเงา
“ใต้เท้าผู้ดูแล…เขตติงหนึ่งสามสองของพวกเราคุมขังนักโทษทั้งหมดกี่คนหรือขอรับ
“ในความทรงจำของท่านสรุปแล้ว…ที่นี่มีนักโทษกี่คนขอรับ
“ใต้เท้า ข้าก็อับจนหนทางแล้วถึงได้พูดเพ้อเจ้อเช่นนั้น เมื่อครู่เงาดำกินข้าไปแล้ว ข้าหมดหนทางจึงทำได้เพียงหาโอกาสให้ตัวเอง ไม่เช่นนั้นข้าก็แตกดับแล้ว ใต้เท้าท่านเมตตา ให้อภัยข้าสักครั้ง แค่ครั้งเดียวเท่านั้น!”
สวี่ชิงจ้องแผ่นหยก ฟังคำพูดของชายชราเผ่าจิตรกรรมครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายเขาก็ประสานปางมือวนประโยคที่ขอร้องอ้อนวอนให้อภัยของบรรพจารย์เผ่าจิตรกรรมในภาพบันทึกเงาเคลื่อนไหว แล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้นว่า
“โหยวหลิงจื่อ เจ้าเงา พวกเจ้าฟังประโยคนี้ บรรพจารย์เผ่าจิตรกรรม…กำลังพูดกับข้าอยู่หรือ”