บทที่ 802 บทสนทนากับเทพกู่

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 802 บทสนทนากับเทพกู่

“ข้าไม่แนะนำให้เจ้าไป!”

เหนือความคาดหมาย แม่ย่าเทียนกู่แสดงท่าทีคัดค้าน

สวี่ชีอันขมวดคิ้วเล็กน้อย ฟังแม่ย่าเทียนกู่อธิบาย

“เจ็ดยอดกู่ในร่างเจ้าคือความพยายามของเทพกู่ที่จะหลุดพ้นจากผนึกในยามนั้น แม้จิตใจของมันถูกทำลายไปนานแล้ว แต่วิธีของเทพกู่นั้นไม่อาจมองข้ามได้ ระดับเหนือมนุษย์เป็นขีดจำกัด ก่อนหน้านั้น เจ็ดยอดกู่คงไม่มีความผิดปกติ

“แต่เมื่อเจ้าเลื่อนเจ็ดยอดกู่สู่ระดับเหนือมนุษย์ ข้ากลัวว่าปัญหาทั้งหมดจะระเบิดออกในครั้งเดียว”

สวี่ชีอันลูบคาง วิเคราะห์ว่า

“ความเป็นไปได้สูงสุดคือหลังจากที่เจ็ดยอดกู่เข้าสู่ระดับเหนือมนุษย์ เทพกู่เห็นข้าเป็นภาชนะ ให้จิตสำนึกเข้ามาผ่านเจ็ดยอดกู่โดยตรง แต่ข้าเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว จุดเด่นที่แก่นแท้ พลัง และจิตวิญญาณทั้งสามรวมเป็นหนึ่งของจอมยุทธ์ ทำให้ข้ามองข้ามการถูกเข้าสิงที่มีอยู่ใดก็ตาม รวมทั้งระดับเหนือมนุษย์

“นอกจากนี้ ข้ามีเซียนครองพิภพช่วยเหลือ การกำจัดจิตใจของเทพกู่คงไม่ยากกระมัง?”

แม่ย่าเทียนกู่พยักหน้าเบาๆ

“มีเซียนครองพิภพช่วยเหลือ ไม่ต้องกลัวจิตใจของเทพกู่จริงๆ…จะเสี่ยงอันตรายนี้ให้ได้?”

สวี่ชีอันพูดอย่างจนปัญญา

“ด้วยตบะในยามนี้ของข้า ในเขตต้าฟ่งมีพลังแห่งเวไนยสัตว์คุ้มครอง ในหมู่ยอดฝีมือขั้นหนึ่งที่มีอยู่ในจิ่วโจว ไม่มีคนเทียบเทียมข้าได้ แต่เมื่อออกจากที่ราบลุ่มภาคกลาง มากที่สุดข้าได้เปรียบเล็กน้อย ถึงขนาดไม่ได้เปรียบ

“ภัยพิบัติใกล้เข้ามา ข้าต้องหาทางเพิ่มพลังต่อสู้ เสี่ยงอันตรายเล็กน้อยเพื่อสิ่งนี้ นับว่าคุ้มค่าโดยสิ้นเชิง”

หลังจากต่อสู้กับซ่าหลุนอากู่ สวี่ชีอันตระหนักได้ว่าในเขตและนอกเขตที่ราบลุ่มภาคกลาง พลังต่อสู้ของตนมีสองระดับ

เขาที่มีพลังแห่งเวไนยสัตว์คุ้มครอง ถึงขนาดมั่นใจที่จะต่อสู้กับเสินซูร่างสมบูรณ์ แต่เมื่อออกจากที่ราบลุ่มภาคกลาง เขาก็พูดได้เพียงประโยคเดียว

‘ลูกพี่ เบามือหน่อย!’

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำสงครามอยู่ที่ราบลุ่มภาคกลางตลอดไป เช่นนั้นเป็นฝ่ายถูกกระทำเกินไป บัดนี้ที่ราบลุ่มภาคกลางต้องบูรณะซ่อมแซม ทนสงครามระดับสูงไม่ไหว ดังนั้นต้องรู้จักเป็นฝ่ายเริ่มโจมตี

ถ้าต้องทำสงครามนอกที่ราบลุ่มภาคกลางก็ต้องเพิ่มพลังต่อสู้ จอมยุทธ์ขั้นหนึ่งมีแต่อุปสรรค ยากที่จะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ทางออกในยามนี้คือเจ็ดยอดกู่

ขอเพียงเจ็ดยอดกู่เลื่อนขั้นสู่ระดับเหนือมนุษย์ได้ เขาก็มีทั้งความป่าเถื่อนของจอมยุทธ์และความผันผวนของไสยศาสตร์กู่ ไม่ว่าเป็นชายแกร่งสู้สุดตัวหรือชายร้อยเล่ห์เพทุบาย ก็ไม่กลัวผู้ใดทั้งนั้น

“ด้วยระดับในยามนี้ของเจ้า เจ็ดยอดกู่ส่งผลกระทบไม่มากแล้ว คุ้มที่จะเสี่ยงจริงๆ พลังต่อสู้ของเจ้าจะก้าวไปอีกขั้น”

แม่ย่าเทียนกู่พยักหน้า ไม่โน้มน้าวอีก

สวี่ชีอันพูดต่อ

“ข้าก็อยากถือโอกาสพูดคุยกับเทพกู่ ดูว่าจะสืบข่าวเกี่ยวกับภัยพิบัติจากทางเขานั้นได้หรือไม่”

แม่ย่าเทียนกู่เตือนว่า

“คบค้าสมาคมกับระดับเหนือมนุษย์ ความรอบคอบต้องมาก่อนเสมอ”

สวี่ชีอันร้อง “อืม” พูดว่า

“หลิงอินก็ฝากให้ท่านดูแลแล้ว ยามนี้ข้าจะไปจี๋เยวียน”

เขาไม่อยากเสียเวลา เลื่อนขั้นตนเองโดยเร็วที่สุด

สวี่หลิงอินมองแม่ย่าเทียนกู่ทันที ลูบท้อง พูดเสียงหวาน

“แม่ย่า ข้าหิวแล้ว”

เพื่อปากท้อง นางรู้จักแม้แต่ออดอ้อน

แม่ย่าเทียนกู่มีสีหน้าเมตตา กวักมือครั้งเดียว เรียกตะกร้าดักแด้ทอดมาจากห้องครัว สีเหลืองทองอร่าม เคลือบน้ำมันแวววาว

“กินเถอะ!” แม่ย่ายิ้มแย้มเมตตา

สวี่หลิงอินกลืนน้ำลาย ยื่นมืออวบอ้วนน้อยออกมาอย่างรอไม่ไหว กำดักแด้ทอดเข้าปาก

อย่าให้น้องสาวข้ากินของแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นกุลสตรีตระกูลผู้ดีเมืองหลวงในอนาคต…สวี่ชีอันขยับริมฝีปาก สุดท้ายยังเลือกนิ่งเงียบ

แม่ย่าเทียนกู่ยิ้มพูด

“นี่เป็นของดี กินแล้วเพิ่มพลังเพิ่มกล้ามเนื้อ ไม่ด้อยกว่าเนื้อสัตว์”

ข้ารู้ โปรตีนมากกว่าเนื้อวัวสิบเท่า ซ้ำยังไม่ต้องไปเสี่ยง…สวี่ชีอันแขวะเงียบๆ ทะยานสู่ท้องฟ้า กระโจนออกจากช่องแสงบนหลังคา หายลับไปกับขอบฟ้า

นิกายสวรรค์

เมฆมงคลปกคลุม นกกระเรียนและวานรขับขาน ทิวทัศน์แห่งเซียน

ลานเล็กที่เงียบสงบสง่างาม ในห้องสงบจิต อบอวลด้วยกลิ่นไม้จันทน์

หลี่เมี่ยวเจินสวมเสื้อคลุมนักบวชเต๋าสีฟ้าอ่อน รวบผมด้วยปิ่นเต๋า นั่งขัดสมาธิบนเบาะสาน สงบจิตฝึกลมหายใจ

นางหน้าตางดงามเพริศแพร้ว คิ้วเข้มเล็กน้อย แลดูองอาจผึ่งผาย แต่ยามนี้ นางแต่งกลางคิ้วแหลมคมให้ราบเรียบ กลายเป็นคิ้วใบหลิวโค้งเรียว

เมื่อนั่งขัดสมาธิด้วยสีหน้าว่างเปล่า มีท่าทางเยือกเย็นที่ไม่ลุ่มหลงในโลกียวิสัยหลายส่วน

ยิ่งคู่กับลายปราณสีม่วงตรงหว่างคิ้ว ยิ่งมีท่าทางของเทพธิดา

‘แอ๊ด…’

ประตูห้องสงบจิตเปิดออก นักบวชหญิงก้าวข้ามธรณีประตู ทำความเคารพข้างโต๊ะ พูดเสียงเบา

“เทพธิดา ท่านอาจารย์เชิญท่านไปเยือน”

หลี่เมี่ยวเจินลืมตา สายตาเรียบเฉย ถึงขนาดเฉื่อยเนือยอยู่บ้าง

“รู้แล้ว!”

เสียงก็เย็นชาอย่างยิ่ง

นางลุกขึ้นอย่างไร้อารมณ์ ในมือมีแส้จามรีเพิ่มขึ้นมาไม่รู้ตั้งแต่ยามใด พาดไว้ตรงข้อพับ ก้าวออกจากห้องสงบจิตช้าๆ

แต่ละก้าวคล้ายผ่านการวัด ไม่มากกว่าแม้แต่หุนเดียว ไม่น้อยแม้แต่นิ้วเดียว ราวกับเป็นกฎเกณฑ์

นักบวชหญิงมองเงาด้านหลังของหลี่เมี่ยวเจิน ลอบถอนใจ หลังจากผ่านประสบการณ์โลกมนุษย์กลับมา เทพธิดาถอดรกเปลี่ยนกระดูก เข้าสู่ช่วงแรกของการตัดอารมณ์ความรู้สึก

อีกไม่นาน นิกายสวรรค์จะมีขั้นสามเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

หลี่เมี่ยวเจินก้าวออกจากห้องสงบจิต เดินออกจากลานเล็ก เลียบตามทางเดินน้อยที่ปูหินเขียว จนกระทั่งถึงตำหนักเทพธิดาปิงอี๋

นอกตำหนัก นักบวชสามท่านรออยู่นานแล้ว แบ่งเป็นท่านอาจารย์เทพธิดาปิงอี๋ นักบวชเต๋าเสวียนเฉิง และเทพบุตรหลี่หลิงซู่

หลี่เมี่ยวเจินเดินเข้าไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า ทำความเคารพแบบเต๋าอย่างถูกต้อง พูดว่า

“คำนับท่านอาจารย์ ศิษย์ลุงเสวียนเฉิง ศิษย์พี่เทพบุตร”

เสียงของนางไม่มีน้ำเสียงขึ้นลง ไร้ซึ่งอารมณ์

ใบหน้าหล่อเหลาของหลี่หลิงซู่ไร้อารมณ์เช่นกัน สายตามืดมิดดุจบ่อน้ำลึก ทำความเคารพตอบ พูดว่า

“คำนับศิษย์น้องหญิง”

เสียงไร้อารมณ์เช่นกัน

อาจารย์และลูกศิษย์ทั้งสองกลุ่ม ท่าทางการแสดงออกเหมือนกันทุกประการ

เทพธิดาปิงอี๋กวาดตามองทั้งสองด้วยสายตาสงบนิ่ง พูดเสียงเรียบ

“พวกเจ้าไม่ต้องเสแสร้งแล้ว หลอกข้าได้ หลอกเทพสวรรค์ไม่ได้”

หลี่หลิงซู่กับหลี่เมี่ยวเจินมีสีหน้าบูดบึ้งพร้อมกัน ตำหนิอีกฝ่ายเป็นเสียงเดียวกัน

“เจ้านี่มันไร้ประโยชน์ แสดงละครยังทำได้ไม่ดี”

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงพูดอย่างไร้อารมณ์ใดๆ

“เทพสวรรค์เรียกตัวผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาจัดพิธี ตัดขาดโลกมนุษย์ ชำระล้างใจมนุษย์ให้พวกเจ้า ช่วยพวกเจ้าเข้าใจการตัดอารมณ์ความรู้สึกได้เร็วขึ้น”

หลี่หลิงซู่กับหลี่เมี่ยวเจินมีสีหน้าเปลี่ยนไป

ที่เรียกว่า ‘ตัดขาดโลกมนุษย์ ชำระล้างใจมนุษย์’ เป็นวิชาลับลบความทรงจำรูปแบบหนึ่งของนิกายสวรรค์

เทพธิดาปิงอี๋อธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เทพสวรรค์คิดว่า ในสามปีที่พวกเจ้าลงเขาท่องโลก ปนเปื้อนเหตุต้นผลกรรมมากเกินไป ใจเต๋ามืดบอด ไม่กำจัดความทรงจำส่วนนี้ เกรงว่าชั่วชีวิตพวกเจ้ายากที่จะเข้าใจการตัดอารมณ์ความรู้สึก”

‘จะช่วงชิงความทรงจำของข้า’…หลี่เมี่ยวเจินหน้าซีดเล็กน้อย มองหลี่หลิงซู่โดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงเทพบุตรแววตาเลื่อนลอย สีหน้าดูไม่ได้

นักบวชเต๋าเสวียนเฉิงพูดเสียงเรียบ

“อีกเดี๋ยวเข้าตำหนักเทพสวรรค์ เทพสวรรค์จะถามพวกเจ้าว่ายินยอมหรือไม่ พยักหน้าก็พอ มิฉะนั้น ลงโทษตามกฎนิกาย”

จี๋เยวียน

สวี่ชีอันค่อยๆ ลงจากที่สูงสู่พื้น ‘ตึง’ รองเท้าหุ้มข้อสัมผัสพื้น เหยียบโดนก้อนกรวด

ก้อนกรวดมาจากรูปสลักปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์

สวี่ชีอันพินิจรูปสลักที่มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างวางไว้ตรงท้องน้อย เห็นเพียงรอยร้าวตรงหว่างคิ้วแผ่ขยายไปถึงหน้าอก รอยร้าวกว้างครึ่งนิ้ว ข้างล่างรูปสลักมีก้อนกรวดบางส่วนร่วงอยู่

“พลังของปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เสื่อมถอยอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานเทพกู่ก็หลุดพ้นจากผนึกแล้ว”

สวี่ชีอันถอนใจเงียบๆ ความกังวลในใจยิ่งแรงกล้า

ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบรรลุระดับเทพยุทธ์ครึ่งก้าว ก่อนที่ระดับเหนือมนุษย์จะหลุดพ้นจากความลำบากโดยสิ้นเชิง นี่เป็นเส้นตาย

จากนั้น เขากับเจ็ดยอดกู่แบ่งปันขอบเขตสายตาร่วมกัน มองหุบเขาขาดขนาดใหญ่ ในสายตาของเจ็ดยอดกู่ ส่วนลึกของจี๋เยวียนมีพลังแห่งเทพกู่อันแรงกล้าพรั่งพรูออกมา มีปราณโลหิตตัวแทนลี่กู่ มีแสงสีดำตัวแทนอั้นกู่…

สวี่ชีอันออกห่างจากรูปสลักปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์ นั่งขัดสมาธิ เริ่มซึมซับพลังแห่งเทพกู่

‘ฟืดๆ…’

เสียงฝึกลมหายใจของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งค่อยๆ ดังขึ้น เกิดเป็นกระแสอากาศกลางจี๋เยวียน พลังปอดน่ากลัวราวกับลมหายใจของสัตว์ยักษ์สมัยดึกดำบรรพ์

พลังทั้งเจ็ดซึ่งมีสีสันทั้งเจ็ดเป็นสัญลักษณ์ เข้าสู่ในร่างสวี่ชีอันตามการฝึกลมหายใจ บรรจบกันตรงต้นคอเขา

เจ็ดยอดกู่ที่เดิมทีแนบอยู่กับกระดูกสันหลังส่วนคอนูนขึ้นจากชั้นผิวหนัง บวมและยุบอย่างต่อเนื่อง จังหวะเดียวกับอัตราการหายใจของสวี่ชีอัน

มันซึมซับพลังแห่งเทพกู่ที่สวี่ชีอันหายใจเข้าสู่ร่างอย่างตะกละตะกลาม จากนั้นค่อยป้อนพลังแห่งเทพกู่กลับสู่สวี่ชีอัน กลายเป็นการแลกเปลี่ยนและหมุนเวียน

เมื่อเจ็ดยอดกู่ป้อนพลัง ‘ลี่กู่’ กลับสู่สวี่ชีอัน กล้ามเนื้อของเขาขยายตัวด้วย ดันเสื้อคลุมยาวหลวมสบายให้ปริแตก

เมื่อเจ็ดยอดกู่ป้อนพลัง ‘ฉิงกู่’ กลับสู่สวี่ชีอัน เขาใจเต้นรัวเลือดสูบฉีด เกิดความปรารถนาอันแรงกล้าต่อเรื่องระหว่างชายหญิง

พลังแต่ละประเภทปรากฏบนร่างสวี่ชีอันในรูปแบบเฉพาะของมัน

‘ฟืดๆ…’ ลมหายใจราวกับมังกรยักษ์ยังรุนแรงขึ้น กระแสอากาศพัดผ่านจี๋เยวียน เสียดสีหน้าผาสูงชันตะปุ่มตะป่ำจนเกิดเสียงหวีดแหลมสูง

เหนือจี๋เยวียน พลังแห่งเทพกู่กลายเป็นน้ำวนมหึมาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายร้อยเมตร ทรุดตัวลงสู่เบื้องล่าง กลืนกินน้ำทะเลอย่างบ้าคลั่งเช่นเดียวกับน้ำวนบนผิวทะเล

พลังแห่งเทพกู่ที่ท่วมท้นรอบจี๋เยวียนเริ่มเบาบางลง

เผ่าลี่กู่

หลงถูที่กำลังเตรียมพิธีพรุ่งนี้รู้สึกถึงบางอย่าง มองไปทางจี๋เยวียน

จากนั้นผู้อาวุโสทั้งหกก็ทยอยสังเกตเห็นว่าพลังแห่งเทพกู่เกิดความผิดปกติ ซึ่งใหญ่โตถึงขนาดทำให้ขั้นสี่เช่นพวกเขานี้รับรู้ได้อย่างง่ายดาย

ผู้อาวุโสใหญ่ตกใจจนหน้าถอดสี ฝ่ามือกุมไม้เท้าแน่น พูดอย่างตกตะลึง

“พลังแห่งเทพกู่ในจี๋เยวียนกำลังหายไป นี่ นี่หรือว่ามีอสูรกู่ระดับเหนือมนุษย์เกิดขึ้น?!”

ผู้อาวุโสรองพูดเสียงสั่นเทา

“แม่ย่าบอกว่า อย่างน้อยครึ่งปีถึงจะเกิดอสูรกู่เหนือมนุษย์ไม่ใช่หรือ เร็ว รีบเรียกชาวเผ่ากลับมา เตรียมขึ้นเหนือหลบภัย”

หลงถูไม่พูดไร้สาระแม้แต่น้อย ท่ามกลางเสียงดังของพื้นถล่มใต้ฝ่าเท้า เหาะไปจี๋เยวียนราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ยิงขึ้นไปบนท้องฟ้า

ในขณะเดียวกัน อั้นกู่ ซินกู่ ฉิงกู่ ซือกู่ และตู๋กู่ พวกหัวหน้าเผ่าต่างๆ ทยอยเหาะขึ้นฟ้า รีบไปจี๋เยวียนก่อน

ส่วนชาวเผ่าก็รีบเคลื่อนไหว เรียกรวมพลและรวบรวมเสบียง เตรียมถอยทัพอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

เมื่ออสูรกู่เหนือมนุษย์ถือกำเนิด ย่อมต้องสร้างความหายนะ ผู้ใดก็ไม่อาจรับรองว่าสนามรบจะเคลื่อนไปถึงถิ่นอาศัยของแต่ละชนเผ่าหรือไม่

ชาวเผ่าธรรมดาถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องกับสงครามเหนือมนุษย์ เมื่อตายก็ตายเป็นเบือ

บ้างก็นึกถึงสตรี…ซ้ำยังอยากมีอะไรกัน…อยากกลั่นศพ…อยากกินสารหนู…อยากต่อสู้…อยากหาหลุมซ่อนตัว…สวี่ชีอันหลับตาฝึกลมหายใจ ความคิดต่างๆ แวบผ่านในหัว

วินาทีถัดไปที่ความคิดพวกนี้ปรากฏขึ้น ก็ถูกเขายับยั้งทั้งหมด

ความคิดยิ่งแรงกล้า หมายความว่าการเลื่อนขั้นเจ็ดยอดกู่ยิ่งเข้าใกล้ความสำเร็จ

ยามนี้ เจ็ดยอดกู่ขยายใหญ่ขึ้น ครอบคลุมกระดูกสันหลังครึ่งหนึ่งของสวี่ชีอัน แขนขาทั้งเจ็ดปล้องของมันก็เหมือนกระดูกซี่โครงเจ็ดซี่

การเติบโตของเจ็ดยอดกู่มาพร้อมกับความเจ็บปวดจากการฉีกเนื้อ แต่ไม่เป็นไรสำหรับจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง

สวี่ชีอันให้ความสนใจกับความเจ็บปวดข้างหลัง ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใด ความเจ็บปวดหายไปแล้ว

เจ็ดยอดกู่หยุดเติบโต เลื่อนขั้นเสร็จสมบูรณ์

ความสามารถต่างๆ ของเจ็ดยอดกู่ระดับเหนือมนุษย์ ป้อนกลับสู่สมองของสวี่ชีอันในชั่วพริบตา

แต่ขณะที่เขาสำรวจทักษะหลังเลื่อนขั้น เดิมควรไม่มีจิตสำนึก มีเพียงเจ็ดยอดกู่โดยสัญชาตญาณ จู่ๆ ก็เกิดจิตใจอันน่ากลัวดุร้าย

จิตใจนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้รู้สึกราวกับเผชิญเหวลึก เผชิญพลังอันน่าเกรงขาม

“เจ้ามาจริงด้วย เทพกู่!”

สวี่ชีอันมุมปากกระตุก เผยยิ้มออกมา

จิตใจนั้นไม่สนใจเขา โจมตีสายธารแห่งปัญญาราวกับคลื่นคลั่ง คิดจะเข้าสิง ยึดครองกายเนื้อจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งนี้

แต่ไม่ว่าคลื่นคลั่งดุร้ายเพียงใด เซาะกร่อนสายธารแห่งปัญญาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่อาจคงไว้ซึ่งลมหายใจ เปลี่ยนแปลงสายธารแห่งปัญญา

การถูกเข้าสิงธรรมดา เพียงต้องกลืนกินจิตเดิมในสายธารแห่งปัญญา แต่จิตเดิมของจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งไม่ได้อยู่ในสายธารแห่งปัญญา แต่อยู่ในเลือดเนื้อและพลังปราณ แน่นอนว่าเซาะกร่อนสายธารแห่งปัญญาเพียงอย่างเดียวไม่อาจเข้าสิงได้

เช่นเดียวกับเสินซูถูกแยกร่าง จิตเดิมก็ถูกแยกออกจากกันด้วย แฝงไว้ในแขนขา

หลังจากลองแล้วล้มเหลว จิตใจอันดุร้ายหยุดกัดกร่อน จากนั้น เสียงอันยิ่งใหญ่น่าเกรงขามดังก้องในหัวของสวี่ชีอัน

“เจ้าคือผู้ใด ข้าสืบเสาะอนาคตไม่เคยเห็นเจ้า!”

…………………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท