ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 490 ไร้สิ่งใดตอบแทน

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 490 ไร้สิ่งใดตอบแทน

แม้เสมียนจะประหลาดใจกับการถามซักไซ้ของหลินเถิง แต่ทั้งสองมีความสัมพันธ์ไม่เลว และเขายังรู้ว่าใต้เท้าหลินเป็นผู้มีความสามารถจึงลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ใต้เท้าซุน ซื่อหลางฝ่ายซ้ายของเราขอรับ”

“ที่แท้ก็ซุนซื่อหลางนี่เอง”

ราชเลขาธิการกรมครัวเรือนมีอายุมากแล้วและใกล้จะเกษียณแล้ว บัดนี้งานของที่ว่าการกรมครัวเรือนมีซุนซื่อหลางเป็นผู้ตัดสินใจเป็นหลัก

“เหตุใดใต้เท้าหลินจึงถามถึงเรื่องนี้ขอรับ” เสมียนอดถามไม่ได้

หลินเถิงยิ้มตอบว่า “มีคดีมากมายเกิดขึ้นและข้องเกี่ยวกับผู้คนมากมาย ข้าจึงขอมาดูทะเบียนครัวเรือนน่ะ”

เมื่อเห็นว่าหลินเถิงไม่อยากพูดมากกว่านี้ เสมียนก็รู้งานไม่ซักไซ้ต่อ พูดกำชับว่า “ตามหลักแล้วทะเบียนเหล่านี้ไม่สามารถให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องดู แต่ในเมื่อใต้เท้าหลินจะดู ข้าย่อมช่วยเหลือ แต่ว่าทะเบียนเหล่านี้ห้ามนำออกไป ใต้เท้าหลินดูที่นี่เถอะ”

หลินเถิงย่อมไม่ขออะไรไปมากกว่านี้ เขารีบกล่าวขอบคุณ

เสมียนพาหลินเถิงเข้าไปในห้องๆ หนึ่งแล้วหยิบบัญชีรายชื่อหลายกองออกมากองไว้บนโต๊ะ “ไม่รู้ว่าใต้เท้าหลินจะดูส่วนไหน ข้าก็เลยเอามาทั้งหมด แต่ว่านี่มีแค่รายชื่อราษฎรในเมือง หมู่บ้านชนบทไม่รวมอยู่ในนี้”

“ไม่เป็นไร ข้าขอลองดูก่อน”

“เช่นนั้นท่านค่อยๆ ดู ข้าออกไปหาน้ำดื่มข้างนอก” เมื่อคิดได้ว่าไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากเพียงใดเพื่อดูบัญชีรายชื่อเหล่านี้ให้หมด เสมียนจึงหาข้ออ้างหนีออกไปก่อน

หลินเถิงยินดีอย่างที่สุด เขาหยิบบัญชีรายชื่อขึ้นมาพลิกดู

หน้าปกของบัญชีรายชื่อเหล่านี้ระบุว่าเป็นพื้นที่ส่วนไหนชัดเจน สิ่งที่เขาหาก่อนย่อมคือหญิงสาวที่หายตัวไปทั้งสี่คน

เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการค้นหาข้อมูลของหญิงสาวทั้งสี่คน วันเกิดของหญิงสาวทั้งสี่นั้นตรงกับที่สมาชิกในครอบครัวของพวกนางกล่าวไว้ตามคาด ซึ่งตรงกับยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด

คุณหนูใหญ่หวังเองก็เช่นกัน

จากนั้นหลินเถิงก็เริ่มพลิกดูผ่านๆ เมื่อเห็นสตรีที่เกิดวันเวลาเดียวกันก็จดลงในสมุดเล่มเล็กที่เขาพกติดตัวมาด้วย

ฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว เสมียนขยี้ตาเดินเข้ามา “ใต้เท้าหลิน ยังดูไม่หมดหรือขอรับ”

หลินเถิงตอบโดยไม่เงยหน้า “ใกล้แล้ว”

“เช่นนั้นก็จุดตะเกียงแล้วค่อยดูเถอะ ฟ้าจะมืดแล้ว”

หลินเถิงเพิ่งเห็นว่าฟ้าเริ่มมืด “มืดขนาดนี้แล้วหรือ”

เสมียนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี “นั่นน่ะสิ ท่านดูมาจะสองชั่วยามแล้ว”

หลินเถิงยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ลืมดูเวลาไปน่ะ ถึงเวลาเลิกงานแล้วใช่หรือไม่”

“ใช่แล้วขอรับ” เสมียนตอบอย่างแห้งเหี่ยว

หลินเถิงก้มหน้าดูบัญชีรายชื่อที่เหลือ พูดอย่างหน้าด้านๆ ว่า “เช่นนั้นประเดี๋ยวข้าดูหมดแล้วจะเลี้ยงสุราเจ้าเอง”

เมื่อเสมียนได้ยินดังนั้นรู้ว่าต้องรออีก สายตาของเขาก็เหม่อลอย “ใต้เท้าหลิน บัญชีรายชื่ออยู่ที่นี่ไม่หนีไปไหน ท่านค่อยมาดูต่อพรุ่งนี้ก็ได้นะขอรับ”

หลินเถิงยืนหยัดพูดว่า “ดูให้หมดดีว่า ดูหมดแล้วเราไปกินข้าวที่มีหอสุรากัน”

หลายปีมานี้มีเรื่องอะไรที่เขาไม่เคยเจอบ้าง หากค่อยมาพรุ่งนี้แล้วบอกว่าบัญชีรายชื่อถูกเผาไปหมดแล้วจะทำอย่างไรเล่า

เวลายิ่งนาน อุปสรรคยิ่งมีมาก เขาเข้าใจคำนี้มานานแล้ว

“มี…มีหอสุราหรือ” จู่ๆ เสียงของเสมียนก็ดังขึ้น ตื่นเต้นดีใจจนใบหน้าเป็นประกาย “มีหอสุราที่มีฉายาว่ามีร้านเถื่อนบนถนนชิงซิ่งน่ะหรือ”

เขาต้องถามให้ชัดเจนก่อน!

มีร้านเถื่อน? หลินเถิงขมวดคิ้ว เมื่อลองคิดดูดีๆ แล้วเขาก็เห็นด้วยพลางพยักหน้า “มีหอสุราที่อยู่บนถนนชิงซิ่งที่คุณหนูลั่วเปิด”

เสมียนยิ้มเซ่อซ่าพลางพยักหน้า “ได้ๆ ใต้เท้าหลินค่อยๆ ดู ไม่รีบ”

โอ้ สวรรค์ เขาจะได้ไปกินอาหารของมีหอสุราแล้ว

ได้ยินมาว่าอาหารทุกจานของมีหอสุราอร่อยมาก เขาเฝ้าฝันถึงเสมอมา เพียงแต่ว่าราคาแพงเกินไป เสมียนตัวน้อยๆ เช่นเขากินมื้อหนึ่งแล้วมีเพียงผลลัพธ์เดียว นั่นก็คือล้มละลาย

มองดูเสมียนน้อยที่ดวงตาเป็นประกาย จู่ๆ หลินเถิงก็รู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย

เพื่อสืบสวนคดีแล้ว เขาเสียสละมากเกินไปหรือไม่นะ…

เมื่อฟ้ามืดราวน้ำหมึก หลินเถิงขยี้ดวงตาที่แห้งผากเบาๆ แล้วลุกขึ้น

เสมียนที่หิวจนหน้ามืดตาลายทั้งดีใจและประหลาดใจ “ใต้เท้าหลินดูหมดแล้วหรือ”

หลินเถิงพยักหน้า “วันนี้ลำบากเจ้าแล้ว ไป กินข้าวกัน”

ใช้เวลาเกือบทั้งวันตรวจดูบัญชีรายชื่อในเมือง เขาพบว่าผู้ที่เกิดวันเวลาเดียวกับสตรีที่หายตัวไปมีทั้งหมดหนึ่งร้อยหกคน

อาจจะมีขาดตกไปบ้าง ถึงอย่างไรเขาก็มีเวลาน้อยเกินไป แทบจะกวาดตาผ่านสิบบรรทัดในคราวเดียว และถึงแม้ต้องการลอบจับตามองทั้งหนึ่งร้อยหกคนนี้ สำหรับหลินเถิงแล้วก็เป็นไปไม่ได้

ก่อนอื่นที่ว่าการไม่อาจหาลูกมือมากมายเช่นนี้ได้ นอกจากนี้คนเหล่านี้ยังเป็นสตรีทั้งหมด ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่รู้เป้าหมายของคนร้าย แม้จะมีลูกมือเพียงพอก็ไม่สามารถจับตามองอย่างเดียวโดยไม่ทำอย่างอื่นได้

เขาจึงทำเท่าที่ทำได้ เลือกพื้นที่ที่คนร้ายน่าจะเลือกลงมือมากที่สุดตามประสบการณ์และสัญชาติญาณ ใช้ลูกมือที่จำกัดจับตามองสักสิบคนก่อน

เมื่อหลินเถิงพาเสมียนมาถึงมีหอสุราก็เป็นเวลาปิดร้านแล้ว

แขกในห้องโถงกลับกันหมดแล้ว เหลือเพียงลูกจ้างกำลังเก็บกวาดอย่างมีความสุข

ปิดร้านแล้ว ถึงคราวพวกเขากินข้าวแล้ว

“เหตุใดใต้เท้าหลินจึงมาเวลานี้เจ้าคะ” ทันทีที่เห็นหลินเถิงเดินเข้ามา หงโต้วก็อดกลอกตาไม่ได้

มายามที่ผู้อื่นกินข้าวนี่มันน่ารำคาญจริงๆ

เสมียนที่กำลังสะท้อนใจกับเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งที่มีหน้าตางดงามก็ต้องชะงักกับท่าทีของหงโต้ว

ต้อนรับแขกด้วยท่าทีเช่นนี้เป็นลักษณะพิเศษของร้านเถื่อนสินะ

“ปิดแล้วหรือ” จู่ๆ หลินเถิงก็รู้สึกว่ากระเพาะอาหารที่ว่างเปล่าแสบเล็กน้อย

“ใต้เท้าหลินเข้ามาเถอะ” เสียงอ่อนโยนเสียงหนึ่งดังขึ้น

ลั่วเซิงเอ่ยปากแล้ว หงโต้วจึงได้แต่เชิญพวกเขาเข้ามา พูดด้วยใบหน้าบูดบึ้งว่า “เหลือแค่หัวปลาราดพริกหนึ่งที่ เนื้อตุ๋นพะโล้หนึ่งจาน บะหมี่หยางชุนยังเติมได้เรื่อยๆ”

หลินเถิงโล่งอก “มีให้กินก็พอ”

หัวปลาราดพริกหนึ่งที่ เนื้อตุ๋นพะโล้หนึ่งจาน เขายังพอรับไหว

ผ่านไปหนึ่งเค่อ มองดูเสมียนที่ก้มหน้าก้มตากินบะหมี่หยางชุนชามที่ห้า หลินเถิงก็กัดฟันพูดว่าจดลงบัญชี

เมื่อกล่าวลากับเสมียนนอกหอสุราแล้ว หลินเถิงหันกลับไปเห็นเด็กสาวที่ยืนอยู่หน้าประตู

ลั่วเซิงเดินมาถามว่า “ใต้เท้าหลินวันนี้ราบรื่นดีหรือไม่”

หลินเถิงไม่อยากพูดถึงซุนซื่อหลาง เขาเพียงพยักหน้าเบาๆ “ถือว่าราบรื่นดี เลือกหญิงสาวเกิดวันเวลาเดียวกันได้จำนวนหนึ่ง หากโชคดีอาจจะจับตัวคนร้ายได้”

“มีกี่คนหรือ”

หลินเถิงคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่พูดไม่ได้จึงบอกจำนวนไป

“หนึ่งร้อยหกคน? ใต้เท้าหลินจะมีลูกมือจับตามองคนมากมายเช่นนี้หรือ”

หลินเถิงยิ้มอย่างขมขื่น “ทำสุดความสามารถ คงเลือกแค่สิบคนก่อน”

ลั่วเซิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็พูดว่า “หากใต้เท้าหลินเชื่อใจข้า ข้าช่วยหาลูกมือจำนวนหนึ่งมาจับตามองสตรีเหล่านี้ได้”

หลินเถิงประหลาดใจ “คุณหนูลั่วมีลูกมือมากมายขนาดนี้เลยหรือ”

ลั่วเซิงพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้ามีเงิน”

หลินเถิงเงียบ

คำพูดนี้ของคุณหนูลั่วช่างทำให้เขามั่นใจจริงๆ เป็นตามนั้นจริงๆ เมื่อเงินมากมายโปรยลงไป จะกังวลว่าไม่มีลูกมือหรือ

แต่แบบนี้รบกวนคุณหนูลั่วเกินไปแล้ว เขาไม่ได้เป็นอะไรกับคุณหนูลั่วเสียหน่อย จะให้คุณหนูลั่วเสียเงินแบบนี้ได้อย่างไร

หลินเถิงยิ่งคิดยิ่งละอาย จู่ๆ ก็กำหมัดประสานมือให้ลั่วเซิง “คุณหนูลั่วช่วยเหลือขนาดนี้ หลินเถิงไร้สิ่งใดตอบแทน…”

“อะไรนะ ท่านจะเป็นนายบำเรอให้คุณหนูเราหรือ” เสียงอุทานของหงโต้วดังขึ้นแทรกหลินเถิง

หลินเถิงยังคงอยู่ในท่ากำหมัดประสานมือ ใบหน้าของเขางงงัน

เป็นนายบำเรอของคุณหนูลั่วอะไรกัน เขาไม่ได้พูดเสียหน่อย!

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท