รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] – บทที่ 1030 ปราบปรามความชั่วร้าย ทำลายศพโบราณ ข้าหลี่เทียนซือเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว!

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

บทที่ 1030 ปราบปรามความชั่วร้าย ทำลายศพโบราณ ข้าหลี่เทียนซือเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว!

ศพเน่าเปื่อยหวาดผวา ไม่คาดคิดว่ามันลงมือด้วยตนเองแล้วก็ยังไม่อาจทำสิ่งใดได้ ฝาโลงโลหะกลายเป็นเศษชิ้นส่วน นี่เป็นเรื่องที่มันคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง!

นั่นไม่ใช่ฝาโลงธรรมดา หล่อหลอมขึ้นมาจากมหาเต๋าแร่ทองวัชระ ไหลเวียนด้วยกฎเกณฑ์สูงสุด ไม่อาจกระเทือนได้โดยง่าย ยอดฝีมือขอบเขตคลุมฟ้าทั่วไปไม่อาจแม้กระทั่งทิ้งร่องรอยเอาไว้ได้ และไม่ต้องพูดถึงเรื่องการทำลายเลย

ยามนี้เพียงแค่หนึ่งกระบี่ ฝาโลงก็พังทลายลงเป็นชิ้น ๆ จะให้มันไม่ตกตะลึงได้อย่างไร

“ไม่มีหนทางกลับไปมีชีวิตแล้ว อย่างไรเสียก็แค่สูญสลาย!”

เสียงของมันเย็นเยียบ ไม่ได้วางแผนจะหนีออกไปแต่อย่างใด และมันก็เตรียมพร้อมจะเสียสละตนเองอย่างถึงที่สุด เพื่อสร้างความหวังในการฟื้นคืนชีพของบรรพจารย์คนอื่น ๆ

เสียงตู้มดังขึ้น ทั้งร่างของมันราวกับมีไฟติดขึ้นมา แสงสว่างไร้ที่สิ้นสุดระเบิดออกเจิดจ้าทั่วทั้งสุสานโบราณ พร่างพราวอย่างถึงที่สุด

ณ ดินแดนใหม่

“บรรพจารย์ซิน…จบสิ้นแล้ว หลังจากนี้ หลังจากนี้จะต้องสูญสลายอย่างสมบูรณ์!”

ประมุขนิกายมองออกว่าศพเน่าเปื่อย หรือก็คือบรรพจารย์ซิน ใช้พลังชีวิตทั้งหมดจุดไฟขึ้นมา หลังจากนี้ลมหายใจความตายที่หายไปแล้วของบรรพจารย์ซินจะกลับมาอีกครั้ง

กลับตายให้เป็น จากเป็นสู่ตาย ทั้งหมดจะเกิดขึ้นอย่างง่ายดายได้อย่างไร เขารู้แจ้งชัดดีว่าหลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด บรรพจารย์ซินจะสลายหายไปอย่างสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือสิ่งใดอยู่อีก

กลุ่มสุสานโบราณ

ร่างกายของบรรพจารย์ซินลุกโหมด้วยแสงอันเจิดจ้า พริบตาต่อมาพลันเปลี่ยนกลายเป็นหมอกดำไร้ขอบเขต ลมหายใจความตายแผ่กระจายออกไปอย่างไร้สิ้นสุด ให้ความรู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมาก ประหนึ่งถูกบีบคอเอาไว้ให้หายใจลำบาก

กระทั่งพวกลั่วสุ่ยเองก็ได้รับผลกระทบ ทุกคนต่างขมวดคิ้ว ภายในใจเกิดความผันผวน อารมณ์สั่นไหว

ต้าเต๋อยังดี มู่อวี๋ในมือเขาช่วยยับยั้งลมหายใจความตายเอาไว้ ทำให้ไม่ได้รับผลกระทบใด ยังคงตั้งสมาธิกับการสวดมนต์ดังเคย

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

บรรพจารย์ซินรู้ว่ามันเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว หากไม่สามารถจบเรื่องทั้งหมดได้โดยไว บรรพจารย์คนอื่นจะต้องเสียโอกาสในการฟื้นคืนชีพไปจนหมดสิ้น!

“ตาย!”

มันพุ่งตรงไปด้านหน้า ฝ่ามือโครงกระดูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง หมอกดำตวัดม้วนเข้ามา มือกระดูกเปรียบประหนึ่งมังกรดุร้ายน่าสะพรึงกลัวสองตัว เปี่ยมด้วยพลังและลมหายใจความตายอันไร้ขอบเขต หมายระเบิดลงมือสังหาร!

ฟิ้ว!

กระบี่ฉุนจวินเปล่งแสงเจิดจ้า ทะลุผ่านม่านหมอกสีดำ ปะทะเข้ากับบรรพจารย์ซิน

สามารถมองออกได้ว่ายามนี้บรรพจารย์ซินรู้สึกหวาดหวั่นมากเพียงใด การปะทะเข้ากับกระบี่ฉุนจวิน เขาจะนำพลังใดไปทนต้านรับได้

หลี่จิ่วเต้าแย้มยิ้ม ไม่กังวลใจในสิ่งใด พลังของกระบี่ฉุนจวินไม่ได้ระเบิดออกมาอย่างเต็มที่

“เถ้าถ่านสู่เถ้าถ่าน ฝุ่นธุลีสู่ฝุ่นธุลี ความตายไม่อาจหลีกหนี หยุดดิ้นรนต่อเสียเถิด”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ “เอาล่ะ ไปตามเส้นทางที่ควร ข้าจะให้เจ้าได้หลับสบายไปตลอดกาล ไม่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเช่นนี้อีกแล้ว”

เพียงชายหนุ่มคิดกระบี่ฉุนจวินก็พลันเปล่งแสงเจิดจ้ายิ่งขึ้น บรรพจารย์ซินถูกกวาดล้าง มลายสิ้นไปภายใต้แสงสว่างพร่างพราวทันทีโดยไม่เหลือแม้นธุลี!

“ปรารถนาฝึกฝนนับร้อยพันกัลป์ ไม่อาจฝึกฝนได้เพียงพริบตา หากสามารถละทิ้งวิถีทั้งหลาย กลับอึดใจบรรลุ…”

ต้าเต๋อยังคงสวดมนต์ต่อ เสียงพุทธะพิเศษเหนือสามัญ เสียงจากโลงศพในสุสานหลักดังมากขึ้น หลายโลงเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง

ปัง! ปัง! ปัง!

ในตอนนั้นเอง ฝาโลงทั้งหลายก็ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป ศพเน่าเปื่อยของเหล่าบรรพจารย์ที่อยู่ด้านในถูกสังหารสิ้น

“ไปสบายเถิด”

หลี่จิ่วเต้าเอ่ยเสียงเรียบ กระบี่ฉุนจวินเปล่งประกายอย่างถึงที่สุดอีกครั้ง ศพเน่าเปื่อยของเหล่าบรรพจารย์ถูกกวาดล้างจดหมดสิ้นด้วยแสงกระบี่!

“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ข้าเป็นเพียงแค่คนมีน้ำใจผู้หนึ่ง”

ชายหนุ่มแย้มยิ้มออกมาเผยให้เห็นฟันซี่ขาวสะอาด

“ขอบคุณบ้าอันใด!”

ครั้นประมุขนิกายได้ยินคำพูดของหลี่จิ่วเต้า โทสะในใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที

บ้าไปแล้วหรือ ขอบคุณอะไร ยามนี้พวกเขามีเพียงแค่ความคิดอยากฆ่าคน ความพยายามผ่านกาลเวลานับไม่ถ้วนพังทลายลงสิ้นแล้ว เขาอยากจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ ทว่ากลับไร้น้ำตา รู้สึกเจ็บปวดใจมาก!

“ช่วงจังหวะย่ำแย่เกินไปแล้ว เรื่องกลับเกิดขึ้นในยามที่ไม่มีเหล่าผู้ยิ่งใหญ่อยู่ หากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่อยู่ เรื่องทั้งหมดจะต้องไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน เหล่าบรรพจารย์จะต้องไม่เป็นอะไร!”

เขากัดฟันแน่น อึดอัดคับข้องใจเป็นอย่างมากจริง ๆ ฆ่าเขาเสียยังรู้สึกดีกว่า!

เหล่าผู้อาวุโสปล่อยโฮแล้ว พวกเขาส่งเสียงดังเอะอะ ทุกอย่างไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนี้ได้ จะต้องล้างแค้นให้แก่เหล่าบรรพจารย์!

“ไม่มีทางปล่อยไปเช่นนี้แน่นอน!”

ประมุขนิกายเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องการแก้แค้นให้เหล่าบรรพจารย์เลย พูดถึงเพียงพลังของคนเหล่านี้ บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ย่อมไม่ปล่อยพวกเขาไปแน่!”

“เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีทางยอมให้ ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ ในดินแดนเก่ามีพลังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!”

เหล่าผู้ยิ่งใหญ่อ่อนไหวเป็นอย่างมากต่อปัญหาในดินแดนเก่า

พลังที่พวกหลี่จิ่วเต้าถือครองนั้นเกินกว่าขีดจำกัดอย่างเห็นได้ชัด สิ่งนี้จะต้องไม่เป็นที่ยอมรับ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีวันปล่อยไป

สิ่งที่รอคอยพวกหลี่จิ่วเต้าอยู่คือหนทางตัน!

“ก่อนหน้าก็เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนไม่ใช่หรือ? ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ เกินขีดจำกัดสองตนปรากฏขึ้นในดินแดนเก่า หลังจากเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ทราบก็เข้าไปจัดการ ทำให้ ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ ทั้งสองปฏิเสธตนเอง สุดท้ายก็พังทลายลงเสียเอง”

เขาเอ่ยยกตัวอย่างขึ้นมา

“ถูกต้อง เป็นเช่นนั้น เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ไม่มีทางยอมให้ ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ เหนือขีดจำกัดในดินแดนเก่ามีตัวตนอยู่!”

“เรื่องนี้ข้าเองก็รู้เช่นกัน!”

ผู้อาวุโสบางส่วนเอ่ยออกมา ต่างทราบถึงสถานการณ์ของ ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ ทั้งสอง

ในหมู่พวกเขายังมีผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยออกมาด้วยความไม่เข้าใจ “เหตุใดเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ถึงไม่กำจัด ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ ทั้งสองโดยตรงเล่า? เพราะหลังจากที่ ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ ทั้งสองปฏิเสธตัวเองแล้ว ปัญหามากมายก็ถูกทิ้งไว้บนดินแดนเก่า ทุกสรรพสิ่งในดินแดนเก่ามีโอกาสอย่างมากที่จะถูกทำลายลง!”

เห็นได้ชัดว่า ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ ทั้งสองนั้น หมายถึงผู้เบิกทางและศิษย์พี่หญิง

ปัญหาเหล่านั้นที่ผู้อาวุโสคนนี้เอ่ยถึง ชัดเจนว่าเป็น ‘สำนึกโรค’ ของผู้เบิกทางและศิษย์พี่หญิง ความคิดที่ต้องการทำลายทุกสรรพสิ่ง

“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว”

ประมุขนิกายส่ายหัว “ทุกสรรพสิ่งในดินแดนเก่ามีโอกาสอย่างมากที่จะถูกทำลายลงหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร! เพียงแค่ ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ เพียงสองคน ไฉนเลยจะทำลายทุกสรรพสิ่งในดินแดนเก่าได้ อย่างเดียวที่จะสูญสิ้นคือ ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ เหล่านั้น ดินแดนเก่าจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน”

“ความคิดของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ พวกเราไม่อาจหยั่งถึงได้”

“ข้าเองก็ไม่รู้ความคิดที่แท้จริงของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่”

“ทว่าจากการคาดเดาของข้า เหล่าผู้ยิ่งใหญ่ไม่สังหาร ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ ทั้งสองตนโดยตรงก็เพื่อให้เริ่มต้นเส้นทางการปฏิเสธตนเอง เกิดความคิดอยากทำลายทุกสรรพสิ่งขึ้นมา บางทีเหล่าผู้ยิ่งใหญ่อาจต้องการลบล้างสิ่งมีชีวิตบนดินแดนเก่าออกไป เพื่อเริ่มทุกสิ่งขึ้นใหม่”

“หรือไม่ก็ เหล่าผู้ยิ่งใหญ่อาจต้องการลองดูว่าดินแดนเก่าปรากฏ ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ เหนือขีดจำกัดอีกหรือไม่!”

“ตอนนี้ไม่ใช่ว่ามี ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ เหนือขีดจำกัดปรากฏขึ้นอีกแล้วหรือ?”

ประมุขนิกายเอ่ยสิ่งที่ตนเองคาดเดาออกมา

เหล่าผู้ยิ่งใหญ่อ่อนไหวและให้ความสนใจกับดินแดนเก่าเป็นอย่างมาก แทบไม่เอ่ยถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับดินแดนเก่า ขนาดเขาเองยังไม่เคยได้ยินเหล่าผู้ยิ่งใหญ่เอ่ยถึงเรื่องในดินแดนเก่าให้ฟังเลย

นอกจากนี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดผู้ยิ่งใหญ่จึงไม่กวาดล้าง ‘สิ่งมีชีวิตมายา’ ทั้งสองโดยตรง ทุกสิ่งล้วนมาจากการคาดเดาของเขาเท่านั้น

“เอาล่ะ หยุดสนทนาและคาดเดาเถิด รอจนกว่าเหล่าผู้ยิ่งใหญ่จะกลับมา!”

ประมุขนิกายโบกมือ ยุติการพูดคุยเกี่ยวกับดินแดนเก่า ดินแดนเก่า…ไม่เหมาะแก่การสนทนามากมาย

กลุ่มสุสานโบราณ

หลังจากทำลายเหล่าศพเน่าเปื่อยในสุสานหลักแล้ว พวกหลี่จิ่วเต้าก็ออกจากสุสานโบราณ

“ศพทั้งหมดไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีกลุ่มสุสานโบราณอีกต่อไป”

เขาหยิบตะเกียงน้ำมันออกมา ด้านในมีเปลวเพลิงเบาบางติดอยู่ ดูเหมือนกับตะเกียงน้ำมันธรรมดาให้แสงสว่างในบ้านเรือน

แน่นอนว่านี่ก็เป็นสิ่งที่เขาแลกเปลี่ยนมาจากบรรพจารย์ฝู

เป่าเพียงแผ่วเบา เปลวเพลิงก็พลันขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา ทะเลเพลิงอันเดือดพล่านปรากฏขึ้นกวาดล้าง ทั้งสุสานโบราณถูกเผาจนหมดสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว

“ไปเถิด”

หลี่จิ่วเต้าพาพวกลั่วสุ่ยไปจากที่นี่ เข้าไปด้านในรถม้า ให้อสูรทั้งเก้าลากรถม้าออกเดินทางอีกครั้งไปในจักรวาลดวงดารา

‘สุสานโบราณในโลกแห่งการฝึกฝนไม่เหมือนกับสุสานโบราณในดาวเคราะห์สีฟ้าเลย…’

ภายในรถม้า หลี่จิ่วเต้านอนลงบนเก้าอี้โยก ดวงตาปิดลงระหว่างครุ่นคิดในใจ

สุสานโบราณของโลกแห่งการฝึกตน ในความเห็นของเขาแล้ว ส่วนใหญ่กลายเป็นแดนปีศาจ อย่างไรเสียศพเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา ต่างก็เป็นผู้ฝึกตนที่ก้าวเดินบนเส้นทางการฝึกฝน

โดยเฉพาะยิ่งสุสานเก่าแก่เท่าใด ศพเหล่านั้นก็ยิ่งพิเศษขึ้น ก่อนหน้านี้ยามมีชีวิตแข็งแกร่งน่าตื่นตะลึงเพียงใด หลังตายกลายเป็นปีศาจก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น

‘คิดดูแล้วก็เป็นเรื่องปกติ ศพของผู้ฝึกตน ไฉนจะเหมือนกับศพของปุถุชน…’

‘ศพผู้ฝึกตน แตกต่างจากศพคนทั่วไปมาก จึงเกิดปีศาจขึ้นได้มากกว่า…เพราะศพเหล่านั้นไม่เต็มใจที่จะสูญสลายหายไป!’

หลังคิดเสร็จ เขาก็รำพึงในใจขึ้นมาอีกประโยค ‘แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเพราะลูกหลานอกตัญญู คิดถึงความทรงพลังของร่างศพแล้วจึงช่วยเหลือพวกเขาให้กลายเป็นปีศาจ เลี้ยงดูเหล่าศพชั่วร้าย’

นี่คือสิ่งที่เขาเพิ่งประสบมา

ลูกหลานอกตัญญู เลี้ยงดูเหล่าศพให้กลายเป็นปีศาจชั่วร้าย

‘ศพชั่วร้าย…นี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อันตรายมากเกินไป ยังดีที่มีวาสนากับบรรพจารย์ฝู ทำให้ได้รับสมบัติจำนวนมากมา ข้าควรทำความดีให้มากขึ้น จะได้ไม่ทำให้วาสนาต่อบรรพจารย์ฝูสิ้นลง’

‘เอาล่ะ เริ่มตั้งแต่วันนี้ ข้า ‘หลี่เทียนซือ’ จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ กำจัดเหล่าความชั่วร้าย สลายสิ้นศพโบราณ!’

หลี่จิ่วเต้าตัดสินใจแล้ว หลังจากนี้ในทุกอาณาจักรที่ไป เขาจะเดินดูภายในสุสานโบราณ ตรวจสอบว่ามีศพโบราณแสนชั่วร้ายอยู่หรือไม่

หากมีเขาจะทำลายศพโบราณเหล่านั้นให้สิ้นซาก

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้โยก

‘ก้าวแรกของเทียนซือ แน่นอนว่าต้องเป็นการวาดยันต์ เช่นยันต์ผนึกศพ ยันต์ปราบศพ ยันต์จัดการวิญญาณ…’

เขายิ้มขึ้นมาพร้อมเดินไปที่โต๊ะ เตรียมตัวจะวาดยันต์

แน่นอนว่าเขาไม่เคยเป็นนักพรต ย่อมไม่รู้จักวิธีการวาดยันต์เหล่านั้น

ทว่าเขาเคยดูหนังผีดิบมามากจากดาวเคราะห์สีฟ้า ด้านในมีการเขียนยันต์จำนวนมาก เขาจดจำยันต์เหล่านั้นได้อย่างชัดเจน การวาดขึ้นมาอีกครั้งไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย

‘ยันต์ไม่ใช่จุดสำคัญ แต่สำคัญว่าใช้สิ่งใดวาด!’

ไม่สำคัญว่ารู้วิธีวาดยันต์หรือไม่

เขาไม่จำเป็นต้องวาดยันต์ที่แท้จริง เพียงแค่เขียนขึ้นมาแบบมั่ว ๆ ยังสามารถใช้ปราบปรามเหล่าศพได้

เพราะเขามีชาดที่แลกมาจากบรรพจารย์ฝูอยู่!

ทำชาดให้กลายเป็นหมึก สิ่งที่วาดออกมาด้วยหมึกชาดนี้จะต้องมีความสามารถในการสยบศพอย่างไม่อาจจินตนาการถึง

ดังนั้นเขาจึงสามารถวาดสิ่งใดก็ได้ตามต้องการ

เพียงแต่รู้สึกว่าการวาดให้ดีจะทำให้ดูเชี่ยวชาญและทรงพลังมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นเขาจึงเตรียมวาดยันต์อย่างดี

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]

Status: Ongoing

‘หลี่จิ่วเต้า’ ชายหนุ่มผู้ถูกส่งตรงจากดาวเคราะห์สีฟ้ามายังโลกแห่งการฝึกตน ทว่ากลับไร้ซึ่งคุณสมบัติใด ๆ ในการเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหันมาตกปลา วาดภาพและเขียนกลอนขาย

อันที่จริงหลี่จิ่วเต้ารู้เพียงเล็กน้อยว่า เจ้าแมวน้อยที่มาหาตนเป็นครั้งเป็นคราวเพื่อขอปลากินนั้น แท้จริงแล้วคือพยัคฆ์ขาว ส่วนชายผมขาวที่แข่งเขียนพู่กันกับเขาเป็นตัวตนระดับบรรพกาล และที่จะลืมไปไม่ได้ สตรีผู้งดงามที่มาร้องขอให้เขาช่วยวาดรูปอยู่ทุกวัน นางถึงกับเป็นเซียนในตำนาน!

ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “เอาล่ะ…เช่นนั้น ข้าเป็นใครกัน?”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท