ตอนที่ 465 ธารดาราร่วงหล่น
ตอนนี้นอกจากพวกจี้หยวนแล้ว มีผู้โดยสารมากมายชมภาพเรือเหาะออกจากท่าเรือบนดาดฟ้า คนที่นั่งยานข้ามแดนครั้งแรกมากมายอดตกตะลึงไม่ได้ ชื่นชมความอัศจรรย์ของสิ่งประดิษฐ์จวนเซียน
ยามหลอมเรือเหาะจวนเร้นจิตใช้สมบัติธงหยินหยางหลอมใบเรือเหาะ ดังนั้นตอนกลางวันพลังยอดหยางสาดส่องใบเรือ วงแสงสีทองย่อมปรากฏ แม้ว่าไม่มีลมอะไร แต่ใบเรือกลับเริ่มทยอยพัดขึ้น
ใบเรือส่งเสียงสะบัดดังฮูมมาจากกลางเรือ ยามลอยตัวขึ้นสูงเรือเหาะเริ่มมุ่งไปข้างหน้า ระดับปราณของผู้ฝึกเซียนบนเรือเหาะไม่เท่ากัน ทั้งมีคนธรรมดาอยู่ด้วย ดังนั้นการเร่งความเร็วเลยค่อนข้างช้า
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็มีค่ายกลอยู่ ความเร็วยังคงระดับเหมือน ‘เหาะเหิน’ ทั้งรู้สึกเหมือนมีแรงผลักดันเล็กน้อย สิ่งนี้ทำให้คนบนดาดฟ้ารู้สึกแปลกใหม่เป็นพิเศษยิ่งกว่าเดิม คนธรรมดารุ่นเยาว์ไม่น้อยต่างตื่นเต้นจนตะโกนลั่น ข้างกายพวกจี้หยวนก็มีคนประเภทนี้เช่นกัน
“ว้าว… ว้าว… พวกเรากำลังลอย… ลอยขึ้นมาแล้ว…”
เด็กคนหนึ่งเสียอาการเต็มที่ ส่งเสียงตะโกนห่างจากท่าเรือยอดเขาไปช้าๆ หน้าแดงก่ำด้วยตื่นเต้นมากเกินไป ทำให้พวกจี้หยวนหันมอง
เมื่อเห็นเด็กตะโกนเช่นนี้ ผู้อาวุโสด้านข้างที่คล้ายบิดารีบคว้าตัวเด็กมาปิดปาก พูดภาษาทางการติดสำเนียงถิ่นสอนเด็ก
“อย่าเอะอะๆ เจ้าเด็กน้อย โดยรอบคือท่านเซียน จริงอยู่ว่าทุกท่านล้วนเปี่ยมเมตตา…”
จี้หยวนได้ยินสำเนียงนี้แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก ทั้งฟังเข้าใจโดยคร่าว เมื่อเห็นชายคนนั้นมองมาด้วยสีหน้าตึงเครียด จี้หยวนกับเหล่าผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกส่วนใหญ่ล้วนยิ้มตอบ
เห็นชัดว่าบิดาของเด็กคนนั้นกังวลมากเกินไป อย่าว่าแต่พวกเขา แม้แต่เหล่าภูตมรรควิถีตื้นเขิน ตอนนี้ก็ยังตื่นเต้นไม่หยุด ส่วนใหญ่ทุกคนล้วนเป็น ‘คนบ้านนอก’ ไม่มีใครหัวเราะเยาะกัน
เมื่อเรือเหาะเร่งความเร็วขึ้นทีละน้อย ความรู้สึกเหมือนสายลมเย็นพัดผ่านยิ่งเด่นชัด แต่มีค่ายกลป้องกันอยู่เช่นเดียวกัน ไม่ถึงขั้นลมกวาดพัดคนกระเด็น
ยามออกเรือกับจอดเทียบท่า ความรู้สึกต่างกันโดยสิ้นเชิง คล้ายว่ามีแค่ตอนเดินเรือที่สมบูรณ์ ทั้งเหมือนว่าไม่ได้มีแค่คนธรรมดาที่รู้สึกเช่นนี้ ตอนนี้เรือเหาะทั้งลำเหมือนเพิ่งเริ่มโลดแล่นอย่างแท้จริง ทุกหนแห่งมีชีวิตชีวาขึ้นมา
จี้หยวนยังเห็นว่ามีผู้ฝึกปราณเหาะเหิน ล่องตามเรือเหาะของจวนเร้นจิต แขนเสื้อยาวสองข้างเริงระบำ ดูโดดเด่นมาก
“อาจารย์ พวกเขาเหาะเหินทำไม เดิมก็โดยสารเรือเหาะอยู่ไม่ใช่หรือ การลอยตาม… สิ้นเปลืองพลังเกินไปกระมัง”
ผู้พูดคือกวนเหอศิษย์ของเซียนหยางหมิง เดิมเขาคิดจะพูดว่า ‘การทำเช่นนี้โง่เขลาเกินไปแล้ว’ แต่คิดแล้วเปลี่ยนเป็นการพูดโดยอ้อมหน่อยดีกว่า
เซียนหยางหมิงเงยหน้ามองผู้ฝึกปราณที่เหาะเหินตามเหล่านั้น ก่อนเอ่ยปากกล่าวเบาๆ
“เจ้าคิดว่าพวกเขาทำเพื่อความสนุกหรือ ผิดแล้ว พวกใบเรือหยินหยางของเรือเหาะหยินหยางจวนเร้นจิตอัศจรรย์อย่างยิ่ง พลังยอดหยางยังถูกดึงดูดมา ผู้ฝึกปราณพวกนั้นแจ้งกับจวนเร้นจิตล่วงหน้า บ้างรู้จักมักคุ้นกัน บ้างจ่ายค่าตอบแทนส่วนหนึ่ง ตอนนี้ลอยขึ้นฟ้าเพื่ออาศัย ‘ธงหยินหยาง’ มหึมานี้มารวบรวมพลังยอดหยาง พอกลางคืนเจ้าจะเห็นว่ามีคนใช้วิธีการคล้ายคลึงกันมารวบรวมพลังยอดหยินด้วย”
จี้หยวนได้ยินแล้วใจเต้นทันที ตอนนี้ทุกช่วงเวลาหนึ่งเขาอาศัยฤทธิ์สุราจากอำพันมังกร รวมถึงวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินของตน ชักนำพลังดารามาสลายบาดแผลสุดท้ายที่เหลือจากอสนีเคราะห์ทีละน้อย
ดังคำกล่าวว่ากล้ามเนื้อทลายกระดูกเคลื่อนหนึ่งร้อยวัน แม้ว่าหลายปีนี้อาการบาดเจ็บของเขายังไม่ดีขึ้น แต่มาถึงขั้นนี้ได้ จี้หยวนก็จุดธูปขอบคุณสวรรค์แล้ว เดิมเขาไม่ใช่ผู้ข้ามด่านเคราะห์ ต่อให้ผ่านพ้นอสนีเคราะห์แต่ไม่ถือว่าสลายเคราะห์ได้ กอปรกับเป็นอสนีบาตผิดธรรมดา อาการบาดเจ็บเช่นนี้ยุ่งยากที่สุด
จี้หยวนคนเดียวสำแดงวิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน แม้ว่าสร้างความรู้สึกเหมือนธารดาราร่วงหล่นได้ แต่ถึงอย่างไรพลังก็มีขีดจำกัด ก่อนหน้านี้ทำอะไรล้วนราบรื่น แต่อานุภาพจากอสนีบาตสุดท้ายกลับไม่อาจสลาย ทำให้จี้หยวนข่มอาการบาดเจ็บจากอสนีเคราะห์จนเกือบเป็นความเคยชินอย่างหนึ่งแล้ว
ตอนนี้หากอาศัยค่ายกลซับซ้อนเลิศล้ำของเรือเหาะจวนเร้นจิตจะได้ผลมากกว่าหรือไม่
‘ควรค่าแก่การลอง!’
หลังจากได้ข้อสรุปเช่นนี้ จี้หยวนถามฉิวเฟิงที่อยู่ด้านข้างโดยไม่ลังเล เรื่องแบบนี้ถามพวกติดบ้านอย่างจูหยวนจื่อเห็นชัดว่าไม่เหมาะสม
“สหายยุทธ์ฉิว หากกลางคืนข้าคิดอาศัยใบเรือหยินหยางรับพลังยอดหยินด้วย ตอนนี้ไปบอกสหายยุทธ์จวนเร้นจิตโดยตรง หรือจำเป็นต้องนัดล่วงหน้าสองสามวัน ต้องจ่ายค่าตอบแทนประมาณเท่าไหร่”
“ท่านจี้อยากรวบรวมพลังยอดหยินด้วยหรือ”
“ไม่ผิด”
ฉิวเฟิงได้ยินแล้วมองไปทางหัวเรือเล็กน้อย จากนั้นค่อยกล่าวกับจี้หยวน
“พูดตามหลักการคือต้องแจ้งล่วงหน้าจริงๆ ได้รับอนุญาตจากจวนเร้นจิตเมื่อไหร่ค่อยขึ้นไป ถึงอย่างไรตรงนี้กเป็นทำเลทอง แต่ถ้าท่านจี้มีความประสงค์ ข้าจะไปถามพร้อมท่าน”
“ถ้าอย่างนั้นย่อมดียิ่งแล้ว!”
จี้หยวนยิ้มพลางตอบรับ
พวกจูหยวนจื่อที่อยู่ด้านข้างคิดว่าเป็นเรื่องการฝึกปราณ แน่นอนว่าไม่ถามมากความ ดังนั้นเลยไม่พูดอะไร แค่มองจี้หยวนกับฉิวเฟิงจากไปทางดาดฟ้าตรงหัวเรือพร้อมกัน ในใจแค่แอบคาดเดาอะไรเท่านั้น
โดยทั่วไปตรงเสากระโดงบางแห่งบนดาดฟ้าส่วนหน้าจะมีผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตดูแล คนสัญจรโดยรอบอ้อมผ่านตรงนี้ได้
เมื่อฉิวเฟิงกับจี้หยวนเดินไป ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตสองคนตรงนั้นถึงกับจำพวกเขาได้ หรือกล่าวว่ารู้จักจี้หยวนเป็นหลัก พวกเขาลุกขึ้นประสานมือกล่าวทักทายก่อน
“สหายยุทธ์เขาล้อมหยกมีธุระหรือ”
ฉิวเฟิงรีบก้าวไปข้างหน้าก่อนประสานมือคารวะตอบ
“สหายยุทธ์ทั้งสอง ข้าน้อยอยากมาถามสักหน่อย หากต้องการอาศัยเรือเหาะดูดซับพลังยอดหยิน ต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นอะไร เมื่อไหร่จะถึงคราวรับพลัง”
ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตสองคนมองจี้หยวนตามจิตใต้สำนึกก่อนถามฉิวเฟิงประโยคหนึ่ง
“สหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกคนต้องการใช้งานหรือ”
ตอนนี้จี้หยวนค่อยคารวะเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก
“ใช่ว่าสหายยุทธ์เขาล้อมหยกต้องการใช้งาน มีแค่ข้าคนแซ่จี้ต้องการอาศัยประโยชน์จากใบเรือหยินหยาง”
เมื่อเห็นว่าจี้หยวนต้องการยืมพลังดังคาด คนหนึ่งในนั้นกล่าวตอบทันที
“อ้อ ที่แท้มีแค่ผู้อาวุโสคนเดียว ถ้าอย่างนั้นคงไม่เป็นไรมาก เพิ่มมาคนหนึ่งใช่ว่าไม่ได้ คืนนี้สามารถเหาะเหินติดตามได้ ค่าตอบแทนต้องดูเวลาที่สหายยุทธ์ดูดซับพลังยอดหยิน หากทุกวันโคจรพลังทั้งคืน เจ็ดวันต้องจ่ายหยกวิญญาณห้าธาตุหนึ่งชั่ง”
จี้หยวนได้ยินแล้วสบายใจ ที่แท้ก็คำนวณตามเวลา เขายังกลัวว่าจะคำนวณตามจำนวน คิดว่าแปดส่วนตนคงเป็นผู้ดูดซับพลังยอดหยินมากมาย สัญชาตญาณเช่นนี้ค่อนข้างแม่นยำ ถึงเวลาหากไม่มีจ่ายคงน่าอักอ่วนอยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นยิ่งดี คืนนี้ข้าคนแซ่จี้คิดโคจรพลัง เอ่อ ต้องการหลักฐานอะไรหรือไม่”
ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตคนนั้นพยักหน้า
“ผู้อาวุโสนำยันต์คำสั่งติดตัวมาหรือไม่”
จี้หยวนได้ยินแล้วหยิบยันต์คำสั่งออกมาจากแขนเสื้อ ผู้ฝึกปราณคนนั้นรับไว้ ก่อนยื่นนิ้วมือออกมาแตะบนนั้นเล็กน้อย สำแดงวิชาท่องคาถาสองประโยคค่อยส่งคืนจี้หยวน
“เรียบร้อย ถึงตอนนั้นสหายยุทธ์สามารถลอยขึ้นฟ้าได้ตามสะดวก”
“ขอบคุณมาก! อืม จริงสิ หากก่อเรื่องใหญ่หน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง”
“ก่อเรื่องอะไรหรือ สร้างความเสียหายต่อเรือหรือไม่”
ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตเอ่ยถามอย่างระวัง พวกเขารู้ว่าคนผู้นี้อาจเป็นผู้มากอภินิหาร
จี้หยวนส่ายศีรษะเล็กน้อย
“ไม่สร้างความเสียหายต่อตัวเรือ แค่อาจส่งผลต่อความรู้สึกมากหน่อย มีเสียงอสนีฝนกระหน่ำเล็กน้อยเท่านั้น”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นย่อมไม่เป็นไร ยามผู้ฝึกเซียนอย่างพวกเราสำแดงวิชา มักเกิดลักษณ์ประหลาดบ้าง ผู้อาวุโสวางใจเถอะ!”
“ดีๆ ถ้าอย่างนั้นก็ดี!”
เมื่อได้รับอนุญาตจี้หยวนอารมณ์ดีขึ้นมา หลังกล่าวขอบคุณแล้วจากไปพร้อมฉิวเฟิง ส่วนผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตก็สื่อจิตแจ้งเรื่องนี้กับผู้ดูแลบนเรือหลังจากนั้นไม่นาน
…
ใช่ว่าความเร็วของเรือเหาะข้ามแดนว่องไวนัก แต่ถือว่าเป็นสิ่งที่เสถียรและผ่อนคลายที่สุดในบรรดาพาหนะเหาะเหิน หลายครั้งคนบนนั้นยังไม่รู้สึกเลยว่าตนลอยอยู่ ระดับความราบเรียบถึงขั้นดีกว่าเรือบนพื้นน้ำ แม้แต่ความส่ายสั่นยังน้อยมาก ยิ่งไม่มีทางเมาเรือแน่นอน
ชั้นสองของโถงโดยสารมีพื้นที่ว่างเป็นเอกลักษณ์แห่งหนึ่ง นั่นคือลานขนาดเล็ก ตรงกลางคือกระจกแผ่นมหึมาราบเรียบ สิ่งนี้ไม่ใช่พื้นธรรมดา สิ่งสะท้อนคือภาพภูผาธาราเบื้องล่างทุกแห่งหนที่เรือเหาะเคลื่อนผ่าน
ตอนกลางวันคนธรรมดา ผู้ฝึกปราณ ภูตมากมาย… ล้วนมาที่นี่เพื่อชมภาพอัศจรรย์เช่นนี้
ตกกลางคืนด้วยความพิเศษของใบเรือหยินหยาง ทำให้แสงดาวเหนือศีรษะบนดาดฟ้าโดยเฉพาะแสงจันทร์ยิ่งเจิดจรัสมาก งดงามเกินคำบรรยาย ก่อนนอนผู้โดยสารบนเรือต่างมาชื่นชมทิวทัศน์งามบนดาดฟ้า
คืนนี้ก็เช่นกัน หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน สีใบเรือเหลือบแสงดาวกับแสงจันทร์ชั้นหนึ่งทีละน้อย ต่างจากสีทองเมื่อตอนกลางวันอย่างเด่นชัด
ผู้ฝึกปราณหลายคนรวมถึงภูตส่วนน้อยลอยขึ้นฟ้า บ้างเหยียบอาวุธศักดิ์สิทธิ์ บ้างยืนบนเมฆลม คอยตามด้านหลังใบเรือ อาบไล้แสงจันทร์พร้อมกัน
คนจากเขาล้อมหยกล้วนอยู่บนดาดฟ้าโดยไม่ขาดใครสักคน นอกจากชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนแล้ว สิ่งสำคัญคือพวกเขามาดูว่าจี้หยวนจะทำอะไร
จี้หยวนมองเหล่าผู้ฝึกเซียนเขาล้อมหยกซึ่งเปี่ยมความสงสัยโดยรอบ แม้แต่จูหยวนจื่อยังแสร้งชมทิวทัศน์อย่างวอกแวก เขายิ้มพลางส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ จากนั้นค่อยก้าวเท้าเหยียบสายลมเย็นขึ้นไป
เมื่อลอยขึ้นฟ้าเกินห้าจั้ง การป้องกันจากค่ายกลของเรือเหาะเหมือนอ่อนกำลังลงมาก โดยรอบคือสายลมคลั่งดังหวีดหวิว ผมยาวของจี้หยวนสะบัดไปด้านหลังเพราะสายลมพัดกระหน่ำ เสื้อผ้าบนตัวโบกพลิ้วจนเกิดเสียงดัง
เขาไม่ควบคุมลมเพื่อกำจัดผลกระทบพวกนี้ แต่เว้นระยะห่างจากผู้ฝึกปราณคนอื่นอย่างเหมาะสม จากนั้นค่อยสงบจิตชะล้างใจช้าๆ เมื่อถึงเวลาอันควรจี้หยวนกวาดมองรอบทิศ ก่อนเอ่ยปากกล่าวประโยคหนึ่ง
“สหายยุทธ์ทุกท่าน โปรดเตรียมอาวุธศักดิ์สิทธิ์มารองรับ”
หลังจากกล่าวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่รอให้มีคนเอ่ยถาม จี้หยวนสะบัดแขนเสื้อโคจรพลังรอบตัวแล้ว
‘วิวัฒน์ฟ้าดิน ธารดาราเจิดจรัส’
ภายในเขตแดนยักษ์กลางฟ้าดินซึ่งสะท้อนจากจิตวิญญาณจี้หยวนเอ่ยกล่าวเช่นนี้ จากนั้นฟ้าดาราที่ก่อเกิดจากตัวหมากมากมายส่องสว่างชั่วพริบตา ธารดารากลางเขตแดนวิวัฒน์ออกจากตัวจี้หยวน
พริบตายามความจริงความลวงสอดประสาน ใบเรือหยินหยางมหึมาโบกพลิ้วต่อเนื่องด้วยสัมผัสถึงมรรคซ่อนเร้น ส่องสว่างฉับพลันเหมือนตอบสนอง รองรับเขตแดนที่จี้หยวนโคจรออกมา
พริบตาต่อมาพลังฟ้าดารากับแสงจันทร์ไร้สิ้นสุดร่วงหล่น พลังยอดหยินเปลี่ยนเป็นเข้มข้นและหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ…
ฮูม…
รอบเรือใหญ่เกิดภาพมายาเพลิงยอดหยินทอดยาว
ในความรางเลือนเรือเหาะจวนเร้นจิตล่องกลางธารดาราโดยไม่รู้ตัว โดยรอบคือแสงดาวเจิดจรัส เรือทั้งลำเหมือนกลายเป็นจันทร์กระจ่างทอแสงเพลิง
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้แม้แต่จี้หยวนยังผิดคาดมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นบนเรือ ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตที่นั่งขัดสมาธิตรงใบเรือลุกขึ้นมานานแล้ว ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่กลางลำเรือรีบออกมาจากห้องโดยสาร ยอดอาคารแต่ละแห่งบนดาดฟ้ามีคนยืนเต็มไปหมดแล้วเช่นกัน
“ธารดาราร่วงหล่น?”
หนึ่งในผู้ดูแลเรือเหาะสองคนของจวนเร้นจิต เบิกตาโพลงยามเอ่ยกล่าว ส่วนอีกคนพึมพำกับตัวเองเช่นกัน
“นี่เรียกว่าก่อเรื่องเล็กน้อยหรือ!?”