ตอนที่ 466 ดาวจรัสทั่วฟ้าหวนคืนสู่ข้า
ผู้ดูแลเรือเหาะจวนเร้นจิตมองอย่างอึ้งงัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตกับเหล่าผู้โดยสารบนเรือเหาะคนอื่น
สำหรับคนธรรมดาโดยรอบคือทิวทัศน์งดงามชวนตะลึงจนร้องเสียงหลง ประสบการณ์แล่นล่องท่ามกลางธารดาราเช่นนี้ ภาพฝันราวสัมผัสธารดาราเจิดจรัสระยะประชิดเช่นนี้ ทำให้ทุกคนลุ่มหลงลืมตัว
บางคนอดพิงกาบเรือไม่ได้ ยื่นมือออกไปคิดสัมผัสแสงดาวไหลวนโดยรอบ ถึงขั้นมีความรู้สึกเหมือนวาดผ่านกระแสน้ำ
“นั่งเรือข้ามแดนพร้อมเทพเซียน โชคดีเพียงใด! โชคดีเพียงใด!”
ชายชราคนหนึ่งตื่นเต้นจนตัวสั่นเล็กน้อย เบิกตากว้างเขม็ง ต้องการจดจำภาพนี้เข้าสมอง
สำหรับเหล่าผู้ฝึกปราณ ระดับความตกตะลึงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงตรงหน้าเทียบกับคนธรรมดาแล้วมีแต่จะเหนือกว่า เทียบกับคนธรรมดาซึ่งไม่เข้าใจอะไรแล้ว พวกเขารู้ดีว่าภาพตรงหน้ามีความหมายลึกซึ้งมากกว่านั้น
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใบเรือหยินหยางของเรือเหาะจวนเร้นจิตทำได้แน่ ไม่ใช่เด็ดขาด!”
ผู้ฝึกปราณชราคนหนึ่งพุ่งตัวจากท้ายเรือเข้าประตูโถง ยืนบนดาดฟ้าท้ายเรือมองธารดาราโดยรอบ ท่ามกลางแสงดาวพร่าเลือนมีดวงดาวลอยอยู่ในนั้น ใช่ว่าดวงดาวแน่นิ่งไม่ขยับ แต่มีกฎเกณฑ์เป็นของตนอยู่รางๆ นี่ถือว่าไม่ใช่แสงดาวธรรมดาแล้ว แต่เป็นมหามรรคธารดาราอย่างแท้จริง
“มีคนอาศัยใบเรือหยินหยางสำแดงวิชา!”
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างชายชรา นั่นคือผู้ฝึกปราณผมดำขลับทั้งศีรษะแต่ใบหน้ากลับแก่ชรา แม้ว่าเสียงฟังดูเหมือนราบเรียบ แต่จากสีหน้าย่อมมองออกว่าเขารู้สึกสั่นสะท้านเช่นกัน
“ใคร? เจ้าสำนักหรือบรรพจารย์จวนเร้นจิตมาเยือนด้วยตัวเองหรือ”
ชายชราคนก่อนมองฟ้าเหนือใบเรือเหาะตามจิตใต้สำนึก ตรงนั้นเหล่าผู้ฝึกปราณยังลอยตามเรือ แต่บางแห่งมีแสงธรรมมากมายไหลวนไม่หยุด แสงสีหนาแน่นจนเห็นไม่ชัดว่าข้างในเป็นใคร
ทั้งสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง คนที่ปรากฏตัวภายหลังพลันเปลี่ยนเสียง
“พลังยอดหยินกับพลังฟ้าดาราเข้มข้นเช่นนี้ หากไม่ดูดซับคงสิ้นเปลืองเหลือเกิน!”
“ไม่ผิด เสร็จเรื่องค่อยแจ้งจวนเร้นจิต แสดงความจริงใจก็พอ!”
ทั้งสองคนไม่สงวนท่าทีอีก สะบัดแขนเสื้อเรียกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ตนใช้ดูดซับออกมาแล้ว โคจรพลังดึงดูดธารดารานอกเรือ พลังฟ้าดารากับแสงจันทร์ที่ดูดซับมาส่วนใหญ่กลายเป็นพลังยอดหยิน
ผู้ฝึกปราณที่ใช้วิธีเดียวกับทั้งสองคนมีไม่น้อย บ้างหวั่นเกรงท่าทีของจวนเร้นจิต เริ่มแรกแค่สังเกตนัยเร้นลับซึ่งอาจหยั่งรู้ ภายหลังเห็นว่ามีคนลงมือมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
เดิมการฝึกปราณคือการแสวงหาความอิสระ ในเมื่อจวนเร้นจิตไม่ได้ออกหน้าว่าห้ามทำอะไร พวกเขาจะวางมาดทำไมเล่า
ภูตกับปีศาจบางส่วนลงมือช้าสุด ใช่ว่าพวกเขารู้สึกเกรงใจกว่าผู้ฝึกเซียน แต่ถึงอย่างไรเรือเหาะลำนี้ก็เป็นอาณาเขตเซียน คนต่างเผ่าอย่างพวกเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามเกินไป ตอนนี้ในเมื่อเซียนทุกคนลงมือแล้ว แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่เดิมพึ่งพาแสงจันทร์อย่างพวกเขาย่อมดูดกลืนอย่างอดรนทนไม่ไหว
ตอนนี้ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตย่อมไม่มีแรงมาสนใจคนอื่น คอยรักษาค่ายกลเรือเหาะเต็มกำลัง ธารดาราที่ปรากฏกะทันหันนี้น่าตกตะลึงจริงๆ ฟ้าดาราเจิดจรัสงดงามนัก มีคลื่นกระหน่ำเหมือนธารดาราแท้จริง
เหล่าผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตกลัวเรือเหาะล่มกลางธารดารา หากค่ายกลเกิดเหตุไม่คาดฝันจริงก็ยากบอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ในเมื่อรู้ว่าผู้สูงส่งกำลังสำแดงวิชา แน่นอนว่าย่อมมีการควบคุม ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตไม่กล้าเดิมพัน
แต่นอกจากร่วมกันรักษาค่ายกล ผู้ดูแลจวนเร้นจิตสองคนยังแบ่งสมาธิสังเกตใบเรือหยินหยางด้วย หากพูดตามตรงแล้ว ปัจจุบันผู้รับประโยชน์มากที่สุดไม่ใช่เหล่าผู้ฝึกปราณซึ่งบินตามเรือ ยิ่งไม่มีทางเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นซึ่งตอนนี้กำลังสำแดงวิชารับพลังดาราบนเรือ หากแต่เป็นเรือเหาะลำนี้เอง
ทุกครั้งยามเรือเหาะเผยวิชาดูดพลังยอดหยางกับยอดหยินตอนกลางวันและกลางคืน ถือเป็นการหลอมเรือเหาะครั้งหนึ่ง
ผู้ดูแลรับผิดชอบเรือเหาะมีเกณฑ์เดียวกับเซียนอาวุโสผู้คุ้มกันเขาล้อมหยก มรรควิถีไม่มีทางด้อยเกินไป ทั้งสองคนรู้ดีว่าความจริงธารดาราทั่วฟ้านี้ตามเรือเหาะอยู่
พวกเขารักษาค่ายกลเต็มกำลัง นอกจากป้องกันเหตุไม่คาดฝันแล้ว ยังมีความคิดว่าหลอมธารดารามาระดับหนึ่งได้หรือไม่ ต่อให้คิดเกินตัวอยู่บ้าง แต่ใช่ว่าอยากนำมาทั้งหมด ถ้าหลอมได้ เรือเหาะที่เดิมเป็นยอดสมบัติจวนเร้นจิตย่อมร้ายกาจขึ้นแน่!
“หากหลอมธารดารานี้เข้ากับเรือเหาะ…”
“หยุดพูด จดจ่อกับการโคจรพลัง!”
ทั้งสองคนกลับมาถึงห้องเงียบพิเศษแห่งหนึ่งภายในโถงโดยสารแล้ว พวกเขานั่งขัดสมาธิบนเบาะรองสำแดงวิชาไม่หยุด วางไข่มุกทิพย์เรืองแสงเทพมากมายบนค่ายกลทั่วผนังห้อง
เพียงพริบตาเรือเหาะเปล่งแสงสว่างกว่าเดิม นานเข้ามายาเพลิงยอดหยินโดยรอบโหมกระหน่ำขึ้นเช่นกัน เพลิงนี้จี้หยวนไม่ใช่คนกระตุ้น แต่ค่ายกลเรือเหาะตอบสนองเอง เริ่มหลอมพลังดาราตั้งแต่ต้น
บนดาดฟ้าเรือเหล่าผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกล้วนนั่งขัดสมาธิ หยกประดับมากมายลอยเหนือศีรษะ คล้ายดวงดาวมากมาย ดึงดูดพลังยอดหยินโดยรอบมา
พวกเขาเหมือนกับคนอื่น หลังจากตกตะลึงแล้วไม่ทิ้งโอกาสฝึกปราณหายาก
จูหยวนจื่อดูดซับพลังยอดหยินตามความเหมาะสมอยู่ด้านข้างพลางเอ่ยปากกล่าว
“คนจวนเร้นจิตตอบสนองไม่ช้า แต่วาดฝันสวยหรูเกินไปแล้ว ท่านจี้สำแดงวิชาก่อเกิดธารดาราร่วงหล่น มีหรือจะลำบากทำเพื่อคนอื่น!”
เป็นอย่างที่จูหยวนจื่อกล่าว จี้หยวนสำแดงวิชากลางอากาศตรงที่ตนอยู่อย่างต่อเนื่อง กระตุ้นวิชาอัศจรรย์ฟ้าดินถึงขีดสุด ทำให้เกิดเหตุการณ์ธารดาราเจิดจรัส สุดท้ายคือทำเพื่ออาการบาดเจ็บของตน เมื่อเห็นผลลัพธ์ดีเช่นนี้จึงเกิดความคิดส่วนหนึ่ง
จี้หยวนยินดีให้ผู้ฝึกปราณคนอื่นรับประโยชน์บ้าง ถึงอย่างไรเขาก็ควบคุมพลังดารามากขนาดนี้ไม่ได้ แต่ไม่มีทางที่เขาจะรักษาธารดาราเต็มกำลัง ทำให้จวนเร้นจิตหลอมสำเร็จอยู่ด้านล่าง เขายังต้องจ่ายเงินนะ!
หลังจากคงสภาพราวหนึ่งเค่อ จี้หยวนลงมือแล้ว แม้ว่าธารดาราเหมือนก่อตัวชั่วพริบตา แต่นั่นเป็นเพราะภาพจากเขตแดนวิวัฒน์ฟ้าดินของจี้หยวนเหมือนจริงเกินไป พลังดาราแท้จริงยังต้องสะสมทีละน้อย ถึงตอนนั้นค่อยเป็นช่วงหนาแน่นที่สุด
ตอนนี้ทั้งตัวจี้หยวนปกคลุมด้วยแสงดาวหนาแน่น รอบตัวคือวงแสงมากมาย คล้ายมีจี้หยวนเคลื่อนไหวซ้อนกันนับไม่ถ้วน
ในเขตแดนร่างมายาของจี้หยวนเบิกตากว้าง เอ่ยคำบัญชาด้วยเสียงทรงพลัง
‘ธารดาราทั่วฟ้า หวนคืนสู่ตัวข้า’
กำหนดปราณเข้าร่างกายอย่างเรียบง่าย สิ่งที่วิชาอัศจรรย์ฟ้าดินสำแดง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นพลังยอดหยินเข้าสู่ร่างกาย
ฮูม… ฮูม…
แม้ว่าไม่ได้ยินเสียง แต่การรับรู้ในใจทุกคนรวมถึงคนธรรมดามีเสียงคลื่นระลอกหนึ่งดังขึ้น
เมื่อขับเคลื่อนความคิด ธารดารากวัดแกว่ง
ตอนนี้จี้หยวนสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง อาศัยใบเรือหยินหยางและจักรวาลแขนเสื้อของตน กอปรกับการวิวัฒน์ฟ้าดินและการควบคุมเขตแดน ทำสี่อย่างพร้อมกันโดยมีจี้หยวนเป็นศูนย์กลาง ในธารดารามีจันทร์กระจ่างปรากฏ แสงดาวไร้สิ้นสุดม้วนตัวเหมือนแม่น้ำ แสงจันทร์กระจ่างราวน้ำวนหมุนเคลื่อน
จี้หยวนแบ่งสมาธิเป็นสองส่วน ส่วนน้อยดูดซับพลังยอดหยินซึ่งคงสภาพไว้ ส่วนใหญ่ล้วนดื่มด่ำพลังยอดหยินที่ชักนำมา ธารดาราชวนประหวั่นสายนั้นเหมือนถาโถมเข้าสู่เขตแดนภูผาธาราของจี้หยวน หลั่งรินตรงขอบฟ้าดาราเป็นทางโค้งมากมาย จากนั้นค่อยพุ่งออกจากเขตแดนชั่วพริบตา ถาโถมเข้าแขนซ้ายตามการเคลื่อนจิตของจี้หยวน
พลังยอดหยางอสนีแกร่งพันรอบกายใจ พลังยอดหยินไร้สิ้นสุดเหมือนกระแสน้ำหลากท่วมฟ้าแผ่ปราณเย็น ทิ้งตัวลงมาจากเก้าชั้นฟ้า
‘นี่คือธารดาราทิ้งตัวลงจากเก้าชั้นฟ้าอย่างแท้จริง!’
จี้หยวนยังมีเวลาคิดเช่นนี้ จากนั้นค่อยเห็นพลังยอดหยินปะทะอสนีแกร่ง ระเบิดเป็นคลื่นมรรคซ่อนเร้นไร้สิ้นสุด
วู้ม… ตูม… วู้ม… ตูม…
ซ่าๆๆๆ…
บนท้องฟ้าเหนือเรือเหาะในโลกภายนอก คลื่นเลือนรางมากมายแผ่ซ่านทั่วทิศโดยมีจี้หยวนเป็นศูนย์กลาง คนที่สัมผัสได้ไม่ว่าเป็นคนธรรมดาหรือผู้ฝึกปราณ ภูตหรือปีศาจล้วนรู้สึกว่าตัวชา ทั้งรู้สึกว่ามีแรงกดดันจากอานุภาพน่ากลัวพัดผ่านเป็นระลอก
ภายในบรรดาภูตมารปีศาจบางส่วน พวกขวัญหนีดีฝ่อง่ายถูกทำให้ตกใจจนขดตัวกลม แม้แต่พลังยอดหยินยังไม่ดูดซับ ตอนนี้ไม่ราบเรียบไร้คลื่นลมดังเมื่อครู่ ธารดาราโหมกระหน่ำทำให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยหยุดชะงักนานแล้ว ต่อให้มีความสามารถก็หยุดมือสังเกตการเปลี่ยนแปลง
เดิมเขตแดนคือสิ่งที่วิวัฒน์จากพลังจิตวิญญาณและกายใจ ต่อให้เขตแดนของจี้หยวนคือฟ้าดินกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต กล่าวโดยรวมคือคุณสมบัติทางกายยังส่งผลอย่างมาก ไม่มีทางดูดซับพลังยอดหยินมากขนาดนี้ได้จริง
อย่าว่าแต่จี้หยวนในตอนนี้ ต่อให้เป็นผู้สูงส่งเซียนจริงแท้มานานปีมาเองก็ไม่มีทางดูดซับพลังดารานี้จนหมด แต่จี้หยวนดูดซับพลางอาศัยพลังชะล้างแขนซ้าย การเผาผลาญนั้นมากกว่าที่ตัวเขาคิดไว้อยู่บ้าง
จี้หยวนคิดไม่ถึงว่าเคราะห์อสนีที่เห็นชัดว่าเป็นธนูแกร่งหมดแรงบินแล้ว ตอนนี้กลับเผยความแข็งแกร่งเกินกว่าเหตุออกมา ถึงกับมีแนวโน้มว่าจะยืนหยัดไม่ซ่านสลาย จี้หยวนมีหรือจะยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ มิฉะนั้นคงเป็นโรคเรื้อรังร้อยปีเข้าจริงแน่
ถึงอย่างไรปริมาณพลังดาราตอนนี้ก็มากมหาศาล จี้หยวนคิดเสี่ยงย้าย ‘สนามรบ’ เข้าร่างทั้งหมด อาศัยสิ่งนี้มาบรรเทาเคราะห์อสนีที่เหลือ ด้วยพลังดารายอดหยินที่กระตุ้นออกมามหาศาล ทุกแห่งจึงยังอยู่ในสภาพปะทะกัน
ตูม ครืน…
อานุภาพอสนีบาตอย่างหนึ่งแผ่ออกมาจากตัวจี้หยวน ฟ้าคำรามเลือนรางจนไม่ได้ยิน แต่กลับทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนใจสั่น
โครม ครืน…
ตอนนี้มีเสียงอสนีดังขึ้นจริง ผู้มีปราณอ่อนแอด้อยสมาธิไม่น้อยย่อตัวลงตามจิตใต้สำนึก
หลังจากเสียงฟ้าคำรามแท้จริงเพียงหนึ่งเดียวครั้งแรกดังผ่านไปเป็นเวลาประมาณสิบกว่าลมหายใจ
ฟุ่บ…
ธารดาราทั้งหมดสลายไปทันที แสงดาวรอบเรือเหาะที่เหลือจางลง
ความจริงเป็นเพราะจี้หยวนเก็บเขตแดนธารดารา สลายวิชาอัศจรรย์ฟ้าดิน ความเร็วยามแสงดาวไหลวนว่องไวเพียงใด เมื่อสิ้นข้อผูกมัดของจี้หยวน ลำพังพลังใบเรือหยินหยางย่อมไม่สามารถคงสภาพการควบรวม สาดส่องผืนดินหายไปทันที
แต่ด้วยการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ชวนตะลึงเกินไป ในสายตาทุกคนจึงเหมือนธารดารากว้างใหญ่ก่อนหน้านี้ถูกจี้หยวนดูดซับไปจนเกลี้ยงทันที
ใบเรือหยินหยางบนเรือเหาะยังมีแสงดาวเลือนราง คล้ายคลึงกับช่วงก่อนจี้หยวนสำแดงวิชา แต่เกรงว่าเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ก่อนหน้าแล้ว ตอนนี้ใบเรือหยินหยางดูมืดสลัวหม่นแสง
ตอนนี้ร่างกายจี้หยวนมีแสงดาวมากมายเป็น ‘เงาซ้อน’ ทำให้ตัวเขายังเลือนรางไม่ชัดเจน ผู้ฝึกปราณที่เหาะเหินโดยรอบเว้นระยะห่างจากจี้หยวนระดับหนึ่งเพื่อแสดงความเคารพ แต่ล้วนอยากเห็นผู้สูงส่งท่านนี้อย่างชัดเจน
ผู้ฝึกปราณกับคนธรรมดาด้านล่างก็เช่นกัน นอกจากเขาล้อมหยกกับคนจากจวนเร้นจิตบางส่วนที่ทราบสถานการณ์แล้ว ทุกคนต่างอยากเห็นผู้สูงส่งกลางวงแสงเงาซ้อนอย่างชัดเจน
แต่ตอนนี้จี้หยวนกำจัดเคราะห์อสนีจนร่างกายผ่อนคลาย นอกจากไม่หวังว่าจะถูกเฝ้ามองแล้ว เขายังต้องเสริมความมั่นคงอย่างเร่งด่วน ไม่มีเวลามาเรียกร้องความสนใจ
ด้วยเหตุนี้ทุกสายตาจึงเห็นแค่บนฟ้ามีประกายแสงวาบผ่าน ผู้สูงส่งลึกลับคนนั้นกลายเป็นแสงเคลื่อนไหวพุ่งเข้าประตูห้องโดยสารบนเรือเหาะ หายลับจากไปเช่นนี้
มีแค่คนจากเขาล้อมหยกที่ได้ยินเสียงสื่อจิตของจี้หยวน
‘คืนนี้หยั่งรู้ ข้าคนแซ่จี้ขอกลับเข้าห้องพักปิดด่านสองสามวัน’