ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 501 ไฟไหม้

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 501 ไฟไหม้

ทะเบียนราษฎรกองเต็มโต๊ะ

ซุนซื่อหลางยิ้มพูดว่า “แม่ทัพใหญ่ท่านค่อยๆ ดู ข้าไม่รบกวนแล้ว”

แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มพลางพยักหน้า “ใต้เท้าซุนเชิญตามสบาย”

เมื่อซุนซื่อหลางออกไปแล้ว แม่ทัพใหญ่ก็หุบยิ้ม จ้องมองทะเบียนราษฎรเหล่านั้นด้วยแววตาวิบวับ

รายชื่อเหล่านี้ถูกแบ่งตามทิศเหนือ ใต้ ออก ตกและกลางห้าเมือง แต่ละเมืองแบ่งออกตามตำบล

แม่ทัพใหญ่ลั่วเงียบครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือไปหยิบทะเบียนม้วนหนึ่งขึ้นมาพลิกดู

ยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน ทุกครั้งที่กวาดตาเห็นสตรีที่เกิดวันนี้ เขาก็จะจดลงในกระดาษ

ทุกชื่อที่เขียนลงบนกระดาษสีขาวล้วนเป็นสตรีที่เพิ่งมีอายุสิบเจ็ดปี

ขณะที่เขียนชื่อเหล่านี้ แม่ทัพใหญ่ลั่วรู้สึกหนักอึ้ง เมื่อเขาหยิบม้วนทะเบียนเมืองทิศตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของจวนลั่วขึ้นมาและเปิด ในนั้นมีวันเกิดของลั่วเซิงเขียนไว้ชัดเจน ซึ่งก็คือยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน

แม่ทัพใหญ่ลั่วจ้องตัวหนังสือเล็กๆ บรรทัดหนึ่ง เลือดสูบฉีดในทรวงอกอย่างรุนแรง

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เขาเก็บทะเบียนเล่มนี้ไว้ใต้ทะเบียนจำนวนหนึ่งเงียบๆ และหยิบทะเบียนเล่มก่อนหน้านี้ขึ้นมาดูต่อไป

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ รายชื่อที่เปิดดูแล้วกองสูงขึ้นเรื่อยๆ ทว่ารายชื่อที่ยังไม่ได้ดูนั้นมีมากกว่า

ซุนซื่อหลางเดินเข้ามา ยิ้มพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ ยามเที่ยงแล้ว พักก่อนเถอะ ไปกินข้าวด้วยกัน”

แม่ทัพใหญ่ลั่วลังเลครู่หนึ่ง ปิดทะเบียนรายชื่อที่เปิดไว้ “ก็ดี ดูจนตาล้าหมดแล้ว”

ซุนซื่อหลางเหลือบมองทะเบียนบนโต๊ะ แอบทำเสียงจิ๊จ๊ะ

แม่ทัพใหญ่ลั่วช่างกล้าหาญ หากเขาดูรายชื่อมากมายเช่นนี้คงปวดหัวแย่

เมื่อคำนึงถึงสถานะของแม่ทัพใหญ่ลั่ว ย่อมกินแก้ขัดในที่ว่าการไม่ได้ ซุนซื่อหลางจึงพาแม่ทัพใหญ่ลั่วไปหอสุราที่อยู่ใกล้กับที่ว่าการ

เวลาเที่ยงพอดี ในหอสุราครึกครื้นอย่างยิ่ง

ซุนซื่อหลางดื่มสุราไปสองจอก เคี้ยวเนื้อตุ๋นพลางทอดถอนใจ “จะว่าไปแล้ว เนื้อตุ๋นน่ะมีหอสุราทำอร่อยที่สุดแล้ว”

ถึงแม้แม่ทัพใหญ่ลั่วจะอยู่ในอาการหดหู่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็อดเผยรอยยิ้มไม่ได้ “ใต้เท้าซุนไปหอสุราของบุตรสาวข้าเป็นประจำหรือ”

ซุนซื่อหลางยิ้ม “เป็นครั้งคราวน่ะ”

เขาน่ะอยากจะไปบ่อยๆ แต่ติดเรื่องเงินน่ะสิ

แม่ทัพใหญ่ลั่วนึกถึงราคาของร้านเถื่อนก็เข้าใจรอยยิ้มเขินอายของซุนซื่อหลางดี เขายิ้มพูดว่า “เมื่อข้าเสร็จธุระแล้วจะเลี้ยงใต้เท้าซุนดื่มสุราที่นั่นนะ”

ซุนซื่อหลางตาเป็นประกาย กล่าวขอบคุณจากใจจริง “เช่นนั้นก็ขอบคุณแม่ทัพใหญ่แล้ว”

ก่อนหน้านี้เสนาบดีจ้าวเลี้ยงไปหนึ่งมื้อ เขายังกินไม่พอเลย

คิกๆ เห็นทีช่วงนี้จะดวงดี

ขณะที่ครุ่นคิดเช่นนี้ ซุนซื่อหลางก็เกริ่นขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่ รายชื่อมากมายขนาดนี้ท่านจะดูคนเดียวไหวหรือ เหตุใดจึงไม่ให้ลูกน้องมาช่วยเล่า”

“เรื่องบางเรื่องคนรู้ยิ่งน้อยยิ่งดี แม้รายชื่อจะมีมาก แต่ใช้เวลาสักวันสองวันก็น่าจะดูหมด”

เมื่อได้ยินแม่ทัพใหญ่ลั่วพูดเช่นนี้ ซุนซื่อหลางก็รู้งาน ไม่ได้ถามต่ออีก แต่ชูจอกขึ้นพูดว่า “ท่านแม่ทัพใหญ่ช่างลำบากจริงๆ ข้าขอดื่มอวยพรให้ท่าน”

“เป็นหน้าที่น่ะ ข้าต้องขอบคุณที่ใต้เท้าซุนช่วยเหลือถึงจะถูก”

ทั้งสองพูดเกรงใจกันไปมา บรรยากาศบนโต๊ะอาหารกลมเกลียวอย่างยิ่ง

ครานี้เองก็มีเสียงฮือฮาดังขึ้นจากภายนอก

“เสียงอะไรน่ะ” ใต้เท้าซุนถือจอกสุรามองไปที่หน้าต่างตามสัญชาติญาณ

แม่ทัพใหญ่ลั่ววางจอกสุราลง ขมวดคิ้วพูดว่า “เหมือนกับเสียงตีฆ้อง”

ตีฆ้อง?

ใต้เท้าซุนใจกระตุก เขารีบลุกไปดูที่หน้าต่าง

แม่ทัพใหญ่ลั่วก็เดินไปด้วยเช่นกัน

“เหมือนกับว่าที่ไหนไฟไหม้” ซุนซื่อหลางลูบเคราพูด

แม่ทัพใหญ่ลั่วรีบพูดว่า “ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากที่ว่าการแต่ละแห่ง ลองลงไปดูกันเถอะ”

ซุนซื่อหลางเห็นด้วย “ไป ไปดูกัน”

กลางวันแสกๆ บ้านใครไฟไหม้กัน ช่างไม่ระวังเอาเสียเลย

ทั้งสองเดินมาถึงถนนอย่างเร่งรีบแล้วเดินตามฝูงชนไปข้างหน้า ทันใดนั้นก็เห็นสถานที่ที่กำลังมีควันดำพวยพุ่ง

ซุนซื่อหลางชะงักงัน

หากเขาดูไม่ผิด เหมือนกับว่าที่นั่นจะเป็นที่ว่าการกรมครัวเรือน…ที่ว่าการกรมครัวเรือนจริงๆ ด้วย!

หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ซุนซื่อหลางก็วิ่งไปทันที

เดิมแค่จะมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่ที่ไฟไหม้คือที่ว่าการของตนเอง

แม่ทัพใหญ่ลั่วข่มความยินดีในแววตาไว้และรีบเดินตามไป

กรมครัวเรือนวุ่นวายไปหมด ประชาชนที่มาช่วยดับไฟทะลักเข้ามา

“เกิดอะไรขึ้น” ซุนซื่อหลางตะโกน

นักการในที่ว่าการกรมครัวเรือนคนหนึ่งพูดด้วยใบหน้าซีดเผือดว่า “รายงานใต้เท้า โถงรองไฟไหม้ขอรับ ตอนนี้ยังไม่ทราบสาเหตุ”

ทันทีที่ได้ยินว่าเกิดขึ้นที่โถงรอง ซุนซื่อหลางก็ไม่มีกะจิตกะใจจะถามอีก เขาเร่งเดินไปทันที

โถงรองเป็นสถานที่ที่เขาทำงานทุกวัน หากถูกไฟไหม้ พวกเขาจะเกิดปัญหาใหญ่

เมื่อเร่งไปถึงที่เกิดเหตุ ซุนซื่อหลางก็อดชะงักงันไม่ได้

สถานที่ที่เดิมศักดิ์สิทธิ์และสง่างามเต็มไปด้วยควันสีดำ ไฟลุกไหม้อย่างน่าสะพรึง

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…” ซุนซื่อหลางพึมพำ มิอาจยอมรับความจริงที่ที่ทำงานของตนถูกไฟไหม้ได้

“แย่แล้ว!” แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าพลันเปลี่ยน พุ่งตัวเข้าไปในกองไฟ

นักการคนหนึ่งห้ามแม่ทัพใหญ่ลั่วไว้ทันที “ท่านแม่ทัพใหญ่ ข้างในอันตราย ท่านเข้าไปไม่ได้นะขอรับ!”

นักการมองซุนซื่อหลางอย่างทำอะไรไม่ถูก

ซุนซื่อหลางตั้งสติได้ รีบเข้ามาห้ามปรามแม่ทัพใหญ่ลั่ว “ท่านแม่ทัพใหญ่ ไฟรุนแรงเช่นนี้เข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้นะขอรับ อย่าบุ่มบ่ามเลย”

แม่ทัพใหญ่ลั่วยิ้มอย่างขมขื่น “ใต้เท้าซุน ท่านก็รู้ ทะเบียนราษฎรเหล่านั้นยังอยู่ข้างใน…”

“นั่นก็ช่วยไม่ได้ เหตุใดจึงเกิดเรื่องแบบนี้นะ” ทันทีที่ซุนซื่อหลางคิดถึงผลที่ตามมาก็ปิดหน้าร้องไห้

เมื่อเห็นซุนซื่อหลางร้องไห้ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็ยืนกรานเข้าไปในทะเลเพลิงไม่ได้อีก กลายเป็นเขาที่พูดปลอบซุนซื่อหลางแทนว่า “ใต้เท้าซุนอย่าร้องไห้เลย ไฟไหม้เป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยากที่สุด นี่ไม่ใช่ความผิดของท่าน…”

เรื่องไฟไหม้ที่ว่าการกรมครัวเรือนแพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว

จักรพรรดิหย่งอันทรงยังไม่ได้พบเสนาบดีกรมครัวเรือนที่ขอเข้าเฝ้าเพื่อขอประทานอภัย แต่กลับเจอแม่ทัพใหญ่ลั่วก่อน

“เกิดอะไรขึ้น”

“กระหม่อมและซุนซื่อหลางกำลังกินข้าว ที่ว่าการกรมครัวเรือนก็เกิดไฟไหม้ขึ้นมา…”

“ทะเบียนราษฎรเล่า” จักรพรรดิหย่งอันทรงไม่อยากฟังเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง พระองค์ทรงถามตรงๆ

แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าหวาดผวา “ที่ที่ไฟลุกไหม้คือโถงรอง เป็นที่ที่กระหม่อมใช้ดูทะเบียนราษฎร รายชื่อเหล่านั้นถูกเผาหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ…ฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าที่ว่าการกรมครัวเรือนไฟไหม้มีลับลมคมใน เกรงว่าจะมีคนจงใจทำ!”

แน่นอนว่าจักรพรรดิหย่งอันเองก็ทรงคิดเช่นนี้ กระทั่งสงสัยขุนนางที่มาขอประทานอภัยเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็ข่มความสงสัยไว้ชั่วคราว ตรัสด้วยพระพักตร์เคร่งเครียดว่า “ให้องครักษ์จิ่นหลินและกรมยุติธรรมร่วมมือกันตรวจสอบเรื่องไฟไหม้กรมครัวเรือนนี้ทันที จงทำให้ความจริงปรากฎ!”

“กระหม่อมน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”

แม่ทัพใหญ่ลั่วกลับถึงจวนแม่ทัพใหญ่ก็นั่งลงบนตั่งเตี้ยในห้องหนังสือแล้วถอนหายใจยาว

ถือว่าตบตาไปได้ชั่วคราว ส่วนภายหน้าจะดำเนินไปถึงจุดที่เลวร้ายที่สุดหรือไม่คงต้องรอดูกันต่อไป

ทันทีที่หลินเถิงทราบเรื่องนี้ก็ไปหาลั่วเซิง

“คุณหนูลั่วทราบเรื่องกรมครัวเรือนไฟไหม้หรือไม่”

ลั่วเซิงพยักหน้าเบาๆ “รู้แล้วเจ้าค่ะ”

หลินเถิงเงียบลงครู่หนึ่ง ถามหยั่งเชิงว่า “ได้ยินว่าครานั้นบิดาท่านกำลังดูทะเบียนราษฎรในกรมครัวเรือน…”

ลั่วเซิงยิ้มๆ “เพราะว่าท่านนั้นมีคำสั่งใหม่อีกแล้ว บอกว่าก่อนหน้านี้ผิดพลาด ผู้ที่ต้องกำจัดทิ้งจริงๆ คือสตรีที่เกิดยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน”

หลินเถิงยังไม่ทันโมโหก็ได้ยินเด็กสาวตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเกิดวันนั้น”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท