ตอนที่ 467 ผู้สูงส่งมาแค่วันเดียว
ผู้สูงส่งแปลงเป็นแสงจากไป เหล่าภูตมารปีศาจบนเรือกลับชักช้าไม่กล้าลุกขึ้น อสนีบาตเมื่อครู่แค่ได้ยินเสียงก็ประหวั่นนัก ราวกับอานุภาพสวรรค์ยิ่งใหญ่แปรเคราะห์มาเยือน สำหรับพวกเขาถือเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดบนโลก ไม่รู้สึกตัวกลับมาอยู่ครู่ใหญ่
ในเมื่อจี้หยวนจากไปแล้ว ธารดารารอบเรือเหาะจวนเร้นจิตซ่านสลาย ถือเป็นการประกาศว่างานเลี้ยงยอดหยินคืนนี้จบลง แม้ว่าใบเรือยอดหยินยังดึงดูดพลังยอดหยินมา แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์สำคัญเมื่อครู่แล้ว ตอนนี้ถือว่าธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกปราณชราสองคนบนดาดฟ้าท้ายเรือหยุดโคจรพลังนานแล้ว เห็นแสงดาวบนฟ้าสลาย ทั้งเห็นว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์รูปขวดในมือสั่นแล้วเกิดเสียงดัง คล้ายว่าบรรจุน้ำถึงครึ่งขวด
“ตั้งแต่ต้นจนจบผ่านไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม เก็บเกี่ยวน้ำแท้ยอดหยินได้มากเช่นนี้”
“โชคไม่เลวจริงๆ แค่ไม่รู้ว่าผู้สำแดงวิชาเมื่อครู่เป็นอริยเทพจากไหนกันแน่ มีความสัมพันธ์อะไรกับจวนเร้นจิต”
“เรื่องนี้ไม่อาจทราบได้”
ทั้งสองคนพูดพลางจับจ้องอาวุธศักดิ์สิทธิ์รูปขวดในมือแต่ละคน จากนั้นค่อยอึ้งงันเล็กน้อยก่อนสบตากัน เห็นแววตกตะลึงในดวงตาอีกฝ่าย
“ผู้สูงส่งคนนั้นดูดซับธารดาราทั้งแถบหรือ”
“น่าจะใช่…”
ต่อให้รู้ว่าธารดาราเมื่อครู่ไม่ใช่ธารดาราแท้จริง แต่พลังยอดหยินที่เกิดจากแสงจันทร์และพลังดาราหนาแน่นเป็นของจริง ใช้อะไรบางอย่างดูดซับไปในชั่วพริบตา
…
หลังจากคนของเขาล้อมหยกได้ยินเสียงสื่อจิตของจี้หยวน ทุกคนต่างมองหน้ากัน จากสีหน้าทำให้ทราบว่าคนกลุ่มน้อยนี้น่าจะได้ยินเสียงสื่อจิตของจี้หยวนแล้ว
“ท่านจี้กลับไปปิดด่านแล้ว พวกเจ้าฝึกปราณที่นี่อีกหน่อย หรือชื่นชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนก็ได้ ข้ากลับไปคุ้มกันท่านจี้ก่อน”
จูหยวนจื่อลุกขึ้นมา ยามเสื้อโบกไหวเงาร่างหายไปเหมือนภาพมายาแล้ว
เมื่อจูหยวนจื่อจากไป เห็นชัดว่าบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์แห่งเขาล้อมหยกผ่อนคลายลงไม่น้อย เว่ยหยวนเซิงยิ่งมองฉิวเฟิงอาจารย์ตนด้วยสีหน้าตื่นเต้นยากปกปิด
“อาจารย์ ธารดาราทั่วฟ้าเมื่อครู่ ท่านจี้เป็นคนทำหรือ”
ฉิวเฟิงมองเขาอย่างขบขัน ทั้งกวาดมองเหล่าผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์ซึ่งทำตัวเหมือนเด็กช่างสงสัยโดยรอบ ยิ้มสบตากับศิษย์พี่หยางหมิงและสหายเซียนอีกสองคน
“ถ้าไม่ใช่ฝีมือท่านจี้ เจ้าคิดว่าสหายยุทธ์จวนเร้นจิตทำหรือ ต่อให้ใบเรือหยินหยางรองรับอภินิหารเช่นนั้นได้ แต่ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตบนเรือลำนี้ไม่มีมรรควิถีเช่นนั้น แม้แต่ผู้ดูแลสองคนยังห่างไกลนัก”
ตอนนี้เมื่อเห็นศิษย์รุ่นเยาว์ควบคุมความตื่นเต้นไม่อยู่ วิเคราะห์เหตุการณ์เมื่อครู่กับสิ่งที่ได้รับจากการฝึกปราณอยู่ตรงนั้น ฉิวเฟิงกล่าวกำชับประโยคหนึ่ง
“อย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ตามใจ เมื่อครู่คนที่รู้ว่าเป็นฝีมือท่านจี้มีไม่มาก คุยกันแค่ภายในก็พอ”
“ศิษย์ทราบแล้ว!”
“ขอรับ!”
“ทราบแล้วอาจารย์อา!”
เมื่อศิษย์เขาล้อมหยกรับคำ หยางหมิงกับเซียนเขาล้อมหยกคนอื่นเห็นว่ามีเหล่าผู้ฝึกปราณสวมชุดนักพรตสีทองเดินมาทางนี้อย่างรีบเร่งแล้ว พวกเขาคือผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตนั่นเอง
ตอนนี้ผู้ดูแลเรือเหาะจวนเร้นจิตคนหนึ่งกำลังพาศิษย์สองคนเดินมาถึงบริเวณดาดฟ้าที่คนของเขาล้อมหยกนั่งขัดสมาธิอยู่ คนยังมาไม่ถึงก็คารวะก่อนแล้ว
“คารวะสหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกท่าน!”
ต่อให้รู้ว่าตอนนี้จี้หยวนไม่อยู่ที่นี่แน่ แต่ผู้ดูแลเรือเหาะคนนี้ยังมองมาทางกลุ่มคนจากเขาล้อมหยกอย่างอดไม่ได้
พวกหยางหมิงกับฉิวเฟิงลุกขึ้นมาพร้อมกัน นำเหล่าศิษย์คารวะตอบ
“คารวะสหายยุทธ์จวนเร้นจิตทุกท่าน ไม่ทราบว่าทุกท่านมาหาพวกเราด้วยเหตุใด”
ผู้ดูแลจวนเร้นจิตคนนั้นจัดชุดนักพรตบนตัว ยิ้มส่ายหัวเล็กน้อยพลางกล่าว
“สหายยุทธ์หยางอย่าทำไขสือเลี่ยงบาลีเลย ไม่ทราบว่าขอคุยกับเซียนบางท่านตามลำพังได้หรือไม่”
“ศิษย์พี่ฉิว ศิษย์พี่หยาง ข้าพาเหล่าคนรุ่นเยาว์กลับห้องพักในโถงโดยสารก่อน พวกท่านคุยกับสหายยุทธ์จวนเร้นจิตเถอะ”
“ได้ รบกวนศิษย์น้องหวังแล้ว”
คนจากจวนเร้นจิตรีบประสานมือคารวะเซียนหวังเล็กน้อย เมื่อฝ่ายหลังคารวะตอบ เขามองส่งอีกฝ่ายพาคนจากไปไกล
จากนั้นผู้ดูแลจวนเร้นจิตค่อยถอนสายตากลับมากล่าวอย่างจริงจัง
“สหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกท่าน ตอนนี้ท่านจี้คนนั้นกลับห้องพักแล้วใช่หรือไม่”
หยางหมิงกับพวกศิษย์น้องมองหน้ากันก่อนเอ่ยปากกล่าว
“ท่านจี้เหนื่อยแล้ว กลับห้องพักผ่อนนานแล้ว”
เขาไม่บอกว่าจี้หยวนไปปิดด่าน แค่บอกว่าเหนื่อยแล้ว ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตไม่คลางแคลงเรื่องนี้ ผู้ดูแลคนนั้นหันกลับไปมองใบเรือหยินหยาง
“ท่านจี้วิชาแก่กล้า ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิต แต่กลับทำให้ใบเรือหยินหยางสำแดงวิชาอัศจรรย์สะเทือนใต้หล้าเช่นนี้ ตอนนี้ภาพธารดาราร่วงหล่นนั่นยังทำให้ผู้คนหลงใหล…”
ผู้ดูแลพูดถึงตรงนี้แล้วมองพวกฉิวเฟิง กดเสียงต่ำพลางกล่าว
“สหายยุทธ์ทุกท่าน ท่านจี้เป็นผู้สูงส่งแห่งเขาล้อมหยกหรือ”
ในเมื่ออีกฝ่ายถามตามตรงแล้ว พวกหยางหมิงกับฉิวเฟิงก็ได้แค่ตอบตามความจริง
“ท่านจี้มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาล้อมหยกของพวกเรา แต่เขาไม่ใช่ผู้ฝึกปราณแห่งเขาล้อมหยก”
“ทราบหรือไม่ว่าสำนักท่านจี้อยู่แห่งใด”
ฉิวเฟิงส่ายหัวพลางตอบ
“ท่านไม่เคยบอกว่ามีสำนัก ต่อให้มีก็ไม่ใช่จวนเซียนที่คุ้นเคยในปัจจุบัน”
“อ้อ…”
ผู้ดูแลจวนเร้นจิตคนนี้ลังเลครู่หนึ่ง ครุ่นคิดก่อนเอ่ยถาม
“สหายยุทธ์ทุกท่านพอเข้าใจวิชาที่ท่านจี้ฝึกหรือไม่ เอ่อ ข้าน้อยหมายความว่าพรุ่งนี้หรือวันหน้าท่านจี้คงดึงดูดพลังดาราเพื่อฝึกปราณอีกกระมัง หากเป็นเช่นนั้นช่วยแจ้งวันเวลาโดยคร่าวได้หรือไม่ ทางที่ดีคือบอกพวกเราก่อนล่วงหน้าสักเล็กน้อย พวกเราจะวางค่ายกล โคจรค่ายกลเรือเหาะถึงขีดสุด ถือว่าช่วยหนุนท่านอีกแรง!”
“หึๆๆ…”
เหล่าเซียนเขาล้อมหยกหัวเราะแล้ว
“พวกเราเข้าใจความคิดของสหายยุทธ์ แต่ท่านจี้อิสระเสรีมาตลอด ทำอะไรตามใจปรารถนา ผู้ตื้นเขินอย่างพวกเราย่อมไม่ทราบวิชาเร้นลับของท่าน ทั้งไม่รู้ว่าท่านจะชักนำพลังดาราอีกหรือไม่ สหายยุทธ์ เหตุการณ์ลักษณ์ดารานี้คือสิ่งที่ไม่อาจร้องขอ”
“เฮ้อ พวกเรามีหรือจะไม่รู้ ดังนั้นเลยมาลองเลียบเคียงถามสหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกท่าน จริงสิ ในเมื่อทุกท่านจะไปเกาะนิรันดร์แดนเหนือ ถ้าอย่างนั้นคงไปงานชุมนุมเซียนพเนจรกระมัง”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว!”
“ท่านจี้ไปด้วยหรือ”
“ท่านจี้ย่อมไปด้วย!”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ผู้ดูแลแซ่โจวแห่งจวนเร้นจิตประสานมืออีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนสหายยุทธ์ทุกท่านแล้ว เชิญพักผ่อนบนเรือเหาะตามสบาย วันหน้าพวกเราค่อยมาเยี่ยมเยียนอีก เมื่อถึงงานชุมนุมเซียนพเนจรโปรดชี้แนะพวกเราจวนเร้นจิตด้วย!”
พวกหยางหมิงกับฉิวเฟิงดวงตาวาววาบเล็กน้อย พวกเขารีบคารวะตอบ
“แน่นอนๆ พวกเราเขาล้อมหยกไม่ได้เข้าร่วมงานชุมนุมเซียนพเนจรหลายปี ถือว่ายังต้องให้สหายยุทธ์จวนเร้นจิตชี้แนะ!”
“โธ่ ไม่หรอกๆ ไม่พูดถึงท่านจี้ซึ่งร่วมทางมากับพวกท่าน เซียนจูก็เป็นบุคคลร้ายกาจเช่นกัน พวกเราช่วยชี้แนะกันก็พอ!”
“ฮ่าๆๆ ใช่ ช่วยชี้แนะกัน!”
“สหายยุทธ์ทุกท่านเชิญพักผ่อน ขอตัว!”
“ขอไม่ไปส่ง!”
ผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตมาไวกลับเร็ว ใช่ว่าไม่อยากพูดมากความ แต่มีบางคำถามไม่สะดวกจะล้วงลึก พวกเขายังอยู่บนเรือ ทั้งใกล้ผู้สูงส่งคนนี้มาก ใกล้ถึงขั้นจิตวิญญาณส่องสว่างรู้สึกได้ ดังนั้นประเด็นสนทนาเจาะลึกเช่นนี้ อย่างน้อยต้องรู้จักผู้สูงส่งอย่างเป็นทางการก่อนค่อยถามได้ มิฉะนั้นจะล่วงเกินโดยง่าย
สำหรับเขาล้อมหยกที่ไม่ไปงานชุมนุมเซียนพเนจรหลายปี การเชื่อมสัมพันธ์กับจวนเร้นจิตล่วงหน้าย่อมถือว่าเป็นเรื่องดี แม้ว่าพึ่งพาบารมีท่านจี้ แต่อุปนิสัยของท่านจี้คนจากเขาล้อมหยกถือว่ารู้จักดี เรื่องแบบนี้ย่อมไม่ถือสา
ภายในเรือนรับรอง จูหยวนจื่อนั่งข้างโต๊ะไม้กลางลาน ชงชาร้อนหนึ่งกามาดื่มช้าๆ
ส่วนจี้หยวนนอนตะแคงอยู่ในห้องนานแล้ว เข้าสมาธิหลับฝัน รับรู้การเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย
อสนีเคราะห์สร้างความลำบากแก่เขามาหลายปีแล้ว สภาพร่างกายตอนนี้เหมือนคนวิ่งเวทเทรนนิ่งมานานถอดตัวถ่วงขาหนักอึ้งออกทันที เปลี่ยนเป็นผ่อนคลายหาใดเปรียบ การโคจรพลังยิ่งปลอดโปร่ง ในที่สุดก็ฟื้นตัวกลับมาอย่างสมบูรณ์
แต่ด้วยตอนท้ายจี้หยวนวางแผนชักนำอานุภาพอสนีเคราะห์ที่เหลือเข้าร่างกาย อาศัยสิ่งนี้มาบรรเทาการปะทะทีละอย่าง ทำให้ตอนนี้ร่างกายยังชาอยู่บ้าง แต่เทียบกับความเจ็บปวดเมื่อก่อนแล้ว ความชาเช่นนี้สบายกว่ามาก
ในเขตแดนภูผาธารา ตัวจี้หยวนซึ่งวิวัฒน์จากจิตสำนึกหลับตาหยั่งรู้ ดวงดาวบนฟ้าเลือนราง มีพยับเมฆแถบหนึ่งบดบัง ภายในนั้นมีเสียงอสนีบาตดังกระหึ่ม
นี่คือสิ่งที่เกิดจากความคิดดวงจิต บ่งชี้ถึงการยกระดับของวิชาอสนี
ดังคำกล่าวว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ต่อให้จี้หยวนรู้สึกว่าตนบากบั่นด้านการฝึกปราณมาตลอด แต่ไม่ถือว่าโดดเด่นอะไร
อย่างวิชาอสนี ล้วนพึ่งบัญชาเวทอสนีทั้งสิ้น ปัจจุบันสู้กับอสนีเคราะห์มานาน เขาคนแซ่จี้หยั่งรู้วิชาอสนีจากความเจ็บปวด ถือว่าก้าวขึ้นไปอีกขั้นแล้ว
ไม่พูดถึงอย่างอื่น อย่างน้อยมาถึงวันนี้บัญชาเวทอสนีที่ยังไม่ฟื้นคืน จี้หยวนมีแนวคิดหลอมมันกลับคืนมาบางส่วนแล้ว ปัจจุบันเวทอสนีร้ายกาจนัก หากฟื้นฟูอย่างแท้จริงย่อมเป็นวิชาระดับไพ่ตายแน่ เมื่อเรียกใช้คงเหมือนอสนีเคราะห์เยือนโลกา
ตอนนี้ปัญหาติดตัวเพียงหนึ่งเดียวของจี้หยวนก็คือพลังยอดหยินกัดเซาะมากเกินไป แม้แต่จี้หยวนซึ่งห้าธาตุสมบูรณ์ยังหยินหยางขัดแย้งอยู่บ้าง โชคดีว่าจี้หยวนมีวิธีปรับอย่างรวดเร็ว ชักนำเพลิงสมาธิมาควบคุมความพลุ่งพล่านทั่วร่างอย่างระวัง ทั้งถือโอกาสขัดเกลากายเนื้อ แต่การขัดแย้งจากความต่างคนละขั้วไม่ดีกว่าอสนีบาตฟาดผ่าเท่าไหร่
แม้ว่าตอนแรกบอกว่าสองสามวัน แต่คราวนี้จี้หยวนนอนหลับถึงครึ่งเดือน
ครึ่งเดือนนี้ทุกวันตอนกลางคืน ไม่ว่าเป็นผู้ฝึกปราณจวนเร้นจิตหรือผู้ฝึกปราณบนเรือเหาะ รวมถึงคนธรรมดามากมายล้วนเฝ้ารออะไรบางอย่าง
แม้แต่เหล่าภูตซึ่งถูกเสียงอสนีคืนนั้นทำให้ตกใจเกินทน ภายหลังยังไปเฝ้ารอทุกคืน ต่อให้ตกใจบ้างก็ไม่อาจเสียประโยชน์ อีกอย่างการฝึกปราณคือพื้นฐาน เสียหายบ้างจะเป็นไรเล่า!
น่าเสียดายว่าภาพความงามยามเรือเหาะขับเคลื่อนกลางธารดาราไม่เกิดขึ้นอีก ตามข่าวลือบนเรือเหาะคือหลังจากผู้สูงส่งคนนั้นสำแดงวิชาช่วงคืนแรก เขาดูดซับพลังยอดหยินเพียงพอแล้ว ดังนั้นเลยไม่ต้องออกมาก่อเรื่องใหญ่อีก
คิดดูแล้วก็ใช่ เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามหลายคนได้รับพลังยอดหยินค่อนข้างมาก เหล่าผู้ฝึกปราณต่างเห็นธารดาราทั่วฟ้าคืนนั้นล้วนถูกผู้สูงส่งคนนั้นเก็บไป
ผู้สูงส่งที่เก็บธารดาราคนเดียวรับพลังไปเท่าไหร่ไม่อาจคาดคิด ถ้าไม่ใช่ว่ามรรควิถีของตนสูงส่งถึงขั้นไม่อาจจินตนาการได้ก็มีสมบัติวิเศษอัศจรรย์ถึงขั้นไม่อาจคาดคิดอยู่ในมือ ยิ่งมีโอกาสสูงว่าเข้าทำนองทั้งสองอย่าง
ตอนนี้คนจากจวนเร้นจิตกลับไม่ร้อนรนแล้ว ขอแค่ติดต่อกับจี้หยวนได้ก็พอ เปรียบเทียบกับผู้ฝึกปราณคนอื่นซึ่งไม่รู้แม้แต่ข่าวคราวแล้วดีกว่ามาก อนาคตยังอีกยาวไกล
วันแรกยามจี้หยวนออกด่าน ทิวทัศน์ล่างเรือเหาะกลายเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่แล้ว