บทที่ 540 แสวงการล้างแค้น
“ใต้เท้าอู๋ ชาตื่นรู้นี่จะมีขายในร้านที่เปิดวันพรุ่งนี้ด้วยหรือไม่ขอรับ?” หลังได้สติกลับคืน หลี่จื่อหยางก็เมินเฉยสายตาสงสัยของผู้อื่น แต่หันไปจ้องมองอู๋ฝานด้วยสายตาตื่นเต้นยินดี กระทั่งแสดงออกซึ่งความคาดหวังออกมาเสียด้วยซ้ำ
“มีอยู่แล้วขอรับ” อู๋ฝานพยักหน้าตอบ
“วิเศษ!” หลี่จื่อหยางดวงตาทอประกายพร้อมตบฝ่ามือกับโต๊ะ “พรุ่งนี้ข้าขอไปซื้อสักหนึ่งร้อยขวด!”
ท่าทีของหลี่จื่อหยางทำให้ทั้งอู๋ฝานและคนอื่นประหลาดใจ จากนั้นพวกเขาจึงเกิดเข้าใจว่าเหตุใดเมื่อครู่อีกฝ่ายถึงชะงักไป ไม่ใช่เพราะรสชาติประหลาดของชา แต่เป็นเพราะมันดีเยี่ยมจนต้องชะงักเลยต่างหาก
เมื่อเห็นดังนั้นกลุ่มคนจึงรีบจิบดื่มชาตื่นรู้ที่อยู่ตรงหน้า และอาการถัดมาของพวกเขาก็เป็นเหมือนดังหลี่จื่อหยาง สีหน้าบ่งบอกว่าตื่นเต้นยินดีจนเปี่ยมล้น กระทั่งอดใจไม่ไหวที่จะพุ่งตัวไปซื้อชาที่ร้านของอู๋ฝาน
“หากใต้เท้าทั้งหลายต้องการซื้อหา เช่นนั้นก็ขอให้รีบซื้อสักเล็กน้อยนะขอรับ เพราะข้าไม่อาจทราบว่าชานี้จะได้รับความนิยมหรือไม่ จึงทำให้ไม่กล้าตุนสินค้าจำนวนมากเอาไว้ภายในร้าน จำนวนของสินค้าทั้งสองรายการมีค่อนข้างจำกัด ถ้าไปช้าเกรงว่าอาจไม่เหลือขอรับ” อู๋ฝานเผยยิ้มการค้าออกมา
หลังได้ลิ้มลองของดีตรงหน้ากันเรียบร้อย อู๋ฝานจึงมั่นใจว่าไม่ว่าจะเป็นไวน์สุดเหนือเมฆหรือชาตื่นรู้ก็จะได้รับความนิยม ทั้งสองคือไพ่ทางการค้าใบสำคัญ อีกทั้งก่อนหน้านี้ร้านของเขายังได้รับชื่อเสียงมาจากสัตว์เลี้ยงที่มอบให้ในวันเกิดของเจ้าฉีอีกด้วย
ชายหนุ่มราวกับได้เห็นเหรียญทองมากมายกำลังมีขางอกเดินมาหาตนเองอย่างไรอย่างนั้น
“พรุ่งนี้ข้าจะไปแต่เช้า!” หลี่จื่อหยางตอบ
“ใช่แล้ว พวกเราก็จะไปตั้งแต่เช้า!” ขุนนางอีกคนหนึ่งต่างก็เผยท่าทีแน่วแน่ออกมาเช่นกัน
ชาตื่นรู้ไม่เพียงมีรสชาติที่ดี แต่ยังสามารถคลายความอ่อนเพลีย เสริมพลังแก่ร่างกาย ของดีเช่นนี้นับเป็นสมบัติแก่ผู้ทำงานเช่นพวกเขา ถ้าไม่ทราบก็แล้วไป แต่หากทราบแล้วคงไม่มีทางพลาดมันไปอย่างแน่นอน
หลังกินดื่มกันจนสาแก่ใจ แขกภายในงานต่างก็ยินดีกันถ้วนหน้า หลี่จื่อหยางสามารถกระชับความสัมพันธ์กับอู๋ฝานได้ ส่วนชายหนุ่มก็สำเร็จเป้าหมายอย่างการนำเสนอสินค้า เรียกได้ว่ามื้ออาหารวันนี้ต่างได้รับกันทุกฝ่าย
เมื่ออู๋ฝานกลับมาถึงศาลาพักม้า ลั่วเยวี่ยและอูหย่ายังคงฝึกซ้อมกันอยู่ ลั่วเยวี่ยค่อนข้างกระหายการฝึกซ้อม อูหย่าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนาง และเพราะเป็นผู้ร้ายที่ทางการต้องการตัวนางจึงไม่อาจไปไหนได้ นอกจากสอนวิทยายุทธให้เด็กสาวอยู่ที่นี่ นางก็ไม่มีเรื่องอื่นให้ทำแล้ว
“กลับมาแล้ว? เป็นยังไงบ้าง? ได้ข่าวคราวเสด็จพ่อของข้ากับคนอื่นหรือไม่?” ทันทีที่อู๋ฝานเข้ามาในห้อง อูหย่าก็ไม่อาจรอจนเป็นฝ่ายเอ่ยถามออกมา เป็นการบ่งบอกว่านางกังวลเรื่องนี้มากเพียงใด
อู๋ฝานมองท่าทีที่ทั้งคาดหวังและกังวลของนาง ทันใดนั้นก็ไม่ทราบว่าควรบอกข่าวคราวที่ได้รับมาออกไปดีหรือไม่
“เป็นอะไรไป? รู้อะไรมาใช่หรือไม่?” อูหย่าสังเกตเห็น ท่าทีลังเลของอู๋ฝานไม่อาจหลบพ้นสายตาของนาง
“ได้ข้อมูลมาแล้วจริง ๆ แต่ไม่คิดว่าเจ้าทราบแล้วจะยินดีสักเท่าไหร่” อู๋ฝานตอบ
“ข่าวร้ายงั้นหรือ?” อูหย่าเป็นคนฉลาด เพียงได้ยินคำพูดของอู๋ฝานก็คาดเดาได้ ความกังวลที่นางแสดงออกทางสีหน้ายิ่งเลวร้ายลง
“ใช่” อู๋ฝานตอบรับ
สีหน้าของอูหย่าเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมา “ไม่ว่าจะได้รู้อะไรมาข้าก็หวังให้เจ้าพูดตามตรง ไม่เช่นนั้นแล้วจะทำข้าคิดฟุ้งซ่าน เมื่อถึงเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้นก็ยากคาดเดาใช่หรือไม่เล่า?”
อู๋ฝานครุ่นคิดตามก่อนจะตอบรับ “ข้าบอกได้ แต่เจ้าต้องรับปากว่าจะไม่บุ่มบ่ามออกไปหากไม่ได้รับอนุญาต และขอให้รออีกสักหลายวันแล้วจึงค่อยออกไปพร้อมข้าในอีกไม่กี่วันที่จะถึง”
ชายหนุ่มย่อมได้เห็นถึงความกังวลของอูหย่า หากหลอกลวงไปว่าไม่ได้ทราบอะไรมาก็คงไม่อาจทำให้นางสงบลงได้ กระทั่งจะเกิดความดื้อรั้นหาทางออกไปสืบข่าวคราวด้วยตัวเอง หรืออาจทำให้คิดฟุ้งซ่านเกินเลยจนคาดเดาพฤติกรรมถัดไปไม่ได้ ดังนั้นการบอกความจริงให้หญิงสาวทราบจึงเป็นทางเลือกที่ถูกต้อง ขอเพียงแค่นางรับปากว่าจะไม่ทำให้เรื่องราววุ่นวายกว่าที่เป็นอยู่เท่านั้น
“ได้ ข้ารับปากเจ้า!” อูหย่าพยักหน้าตอบ ใบหน้าของนางแสดงออกว่าจะทำตามที่ว่า อีกทั้งนางยังเป็นคนฉลาด เพียงแค่ท่าทีลังเลของอู๋ฝานและคำขอที่ได้ยินมานี้ นางก็คาดเดาได้แล้วว่ามันจะเป็นข่าวร้ายที่หนักหนา
“สมาชิกในราชวงศ์ของอาณาจักรหนานปิงที่ถูกจับกุมต่างถูกสังหารจนหมดสิ้น ยกเว้นเพียงแต่องค์ชายสี่อูเฉียน” อู๋ฝานมองหน้าอูหย่าพร้อมกับบอกออกมา
“ว่าอะไรนะ?!” แม้นางจะเตรียมใจมาพอสมควรแล้ว แต่พอได้ยินเรื่องจากปากของอู๋ฝานก็ยังทำให้ร่างของหญิงสาวอ่อนยวบแทบไร้สิ้นเรี่ยวแรง สีหน้าซีดเผือด สติเริ่มไม่อาจประคอง ร่างกายสั่นเทาและล้มทรุดลงกับพื้น
“พี่หญิงอูหย่า!” ลั่วเยวี่ยที่อยู่ข้าง ๆ รีบเดินเข้ามาช่วยประคอง เพื่อให้อีกฝ่ายยังคงยืนอยู่ได้
“เจ้าพูดความจริงใช่หรือไม่?” อูหย่าเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ควรเป็นข้อเท็จจริงที่สุดแล้ว” อู๋ฝานตอบกลับ “หลังเหตุการณ์ลอบสังหาร ฝ่าบาทได้ออกคำสั่งตรวจสอบเรื่องราวของอาณาจักรหนานปิง เดิมนั้นเพื่อต้องการเปิดฉากล้างแค้น แต่ก็ไม่นึกว่าจะได้ทราบเรื่องที่องค์ชายสี่อูเฉียนรอดชีวิตเพียงผู้เดียว ทั้งยังถึงขั้นขึ้นครองบัลลังก์จักรพรรดิ แต่หลังขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็มีท่าทีเอนเอียงเข้าหาอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยอย่างศิโรราบ และเพราะมันเป็นเรื่องเกี่ยวพันไปถึงอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย ทางฝ่าบาทจึงล้มเลิกแผนส่งกำลังทหารเป็นการชั่วคราว”
อูหย่ารับฟังพลางหลับตาลง ท่าทีนี้บ่งบอกถึงความสิ้นหวังที่นางเผชิญ กระทั่งหลั่งน้ำตาสองสายไหลผ่านแก้มจนเปียกชื้น
“ขอแสดงความเสียใจด้วย” อู๋ฝานไม่ทราบว่าควรปลอบนางเช่นไร ไม่ว่าใครได้ทราบข่าวเช่นนี้ก็คงมีแต่ใจสลาย
“ต้องล้างแค้น!” อูหย่าลืมตาขึ้น นอกจากน้ำตาที่หลั่งออกมาจากดวงตา นัยน์ตาคู่นั้นก็แสดงชัดถึงความเกลียดชังและจิตสังหารอันท่วมท้นที่ไม่อาจปิดบัง “ข้าต้องแก้แค้น!”
“อย่าเพิ่งผลีผลาม!” อู๋ฝานที่เห็นอาการของนางก็ตื่นตระหนก เขากำลังกลัวว่านางจะโกรธแค้นจนไม่สนอื่นใดและพุ่งตัวออกไปเสียเดี๋ยวนี้ หากเป็นเช่นนั้นหญิงสาวคงถูกสังหารโดยไม่อาจออกไปจากนครเหยียนหยาง
“อู๋ฝาน เจ้าต้องช่วยข้า!” ทันใดนั้นเองที่นางคุกเข่าลงตรงหน้าอู๋ฝานด้วยสีหน้าอ้อนวอน “…ข้าขอร้อง”
“เรื่องนี้…” อู๋ฝานค่อนข้างลังเล เห็นได้ชัดว่าความตายของราชวงศ์หนานปิงเป็นฝีมือของอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย และอีกฝ่ายคือมหาอำนาจที่มีกำลังทัดเทียมกับอาณาจักรเหยียนเฟิง มันห่างไกลเกินกว่าหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์เช่นชายหนุ่มที่มีกำลังคนเพียงหลักร้อยจะทำอะไรได้ ด้วยกำลังปัจจุบันของเขา ต่อให้คิดอยากช่วยอูหย่าล้างแค้นคนของอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย ก็เกรงว่าคงไม่ต่างกับเป็นการนำไข่ไปกระทบหิน ต่อให้ตนคือผู้เล่นที่มีชีวิตเป็นอมตะก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี
อีกทั้งอาณาจักรสุ่ยเยวี่ยยังยิ่งใหญ่อย่างมาก อูหย่าอยากล้างแค้น แต่จะสังหารผู้ใด? สมาชิกราชวงศ์แห่งอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย? หรือเป็นขุนพลที่รับหน้าที่กระทำตามคำสั่งกับอาณาจักรหนานปิง? หรือจะเป็นการทำลายทั้งอาณาจักรสุ่ยเยวี่ย?
“ลุกขึ้นก่อน” อู๋ฝานวางมือบนไหล่ของอูหย่าก่อนจะช่วยประคองให้นางลุกขึ้นยืน