ตอนที่ 585 เธออย่าพูดเรื่องไร้สาระ
ขณะที่ฉินมู่หลานและเยวี่ยจงจีกำลังคุยกัน หวังโหย่วเหรินก็เดินเข้ามาหา ก่อนจะเอ่ยถาม “พวกเธอกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ?”
หลี่หมิงฮุ่ยได้ยินแบบนี้ก็รีบโบกมือแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่มีอะไรครับ”
ฉินมู่หลานก็ไม่ได้พูดมากอยู่แล้ว แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าต่อ
หลังจากฉินมู่หลานและเซี่ยปิงหรุ่ยเดินออกไประยะหนึ่งแล้ว หลี่หมิงฮุ่ยก็อดหันมองเยวี่ยจงจีแล้วพูดขึ้นเสียไม่ได้ “จงจี ฉินมู่หลานคนนี้ไม่ธรรมดาเลยนะ หล่อนร่วมงานกับตู้เยว่เอ๋อร์ ก็ตรวจสอบทุกอย่างเกี่ยวกับตู้เยว่เอ๋อร์หมดเลย นายว่าทำไมหล่อนถึงมีความสามารถขนาดนี้กันนะ ตรวจสอบเรื่องแบบนี้ได้ แล้วดูจากอายุหล่อนแล้ว ก็เหมือนจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเราไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้หล่อนกลับประสบความสำเร็จแล้ว”
เยวี่ยจงจีได้ยินแบบนี้ ก็จ้องมองฉินมู่หลานมากขึ้น ก่อนจะเอ่ยว่า “ก็จริง ทำไมหล่อนถึงเก่งกาจขนาดนี้นะ”
แต่ไม่ว่าจะอยากพูดมากแค่ไหน เขาก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ตอนนี้ตู้เยว่เอ๋อร์ได้มีหน้ามีตาอยู่ในตระกูลเยว่มากขึ้นเรื่อย ๆ ความทะเยอทะยานของหล่อนก็เริ่มมากขึ้น โชคดีที่หล่อนไม่มีทายาทให้สืบสกุล มิฉะนั้นไม่รู้เลยว่าคุณปู่จะลำเอียงขนาดไหน
เอลล่าและชิโยโกะมองเห็นทุกอย่างจากตรงนี้ได้อย่างชัดเจน แต่พวกหล่อนฟังไม่เข้าใจ ได้แต่รู้สึกว่าฉินมู่หลานและเยวี่ยจงจีดูสนิทสนมกัน
“ฉินมู่หลานคนนี้นี่ช่างสามารถจริง ๆ ดูเจ้าฮ่องกงสองคนนั้นสิ อยู่รอบตัวหล่อนทุกวันเลย”
เอลล่าพยักหน้าแล้วกล่าวเห็นด้วย “ใช่แล้ว ช่างสามารถมาก”
เซเลน่ากำลังเดินอยู่ข้างๆ พวกหล่อนสองคน เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ก็อดกล่าวไม่ได้ “พวกเธอว่างกันขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงได้ชอบนินทาคนอื่นลับหลัง อยู่ต่อหน้านักศึกษาฉินพูดแค่ไม่กี่คำ แต่พอลับหลังอยู่ในที่ของพวกเธอก็เปลี่ยนอารมณ์เลยนะ”
เอลล่านึกไม่ถึงว่าเซเลน่าจะเปิดปากพูด ตั้งแต่เริ่มแรก คนจากทางฝั่งอังกฤษทั้งสองคนไม่ค่อยพูดมากอยู่แล้ว
ชิโยโกะหันไปมองไปเซเลน่า แต่ไม่ได้ตอบกลับ อยู่ต่อหน้านักศึกษาอเมริกาและอังกฤษพวกนี้ หล่อนไม่กล้าพูดเยอะ เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าเลือกปฏิบัติเป็น
และเอลล่าก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หล่อนไม่อยากโดนอาจารย์โอเว่นด่า ก่อนหน้านี้ตัวเองก็เคยทำให้อาจารย์คับข้องใจมาแล้ว ถ้าหากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกนิดนึง อาจจะโดนต่อว่าอีกครั้ง
หลังจากคนกลุ่มหนึ่งเดินทางมาถึงโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนแล้ว พวกคณบดีและผู้อำนวยการโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนแห่งปักกิ่งออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ตอนแรกเขามองหลินไคจงและหลัวซงผิงอย่างกระตือรือร้น แต่สุดท้ายพวกเขาทั้งสองหลับหันไปชี้ที่ฉินมู่หลานแล้วเอ่ยขึ้นว่า “คณบดีครับ แค่บอกนักศึกษาฉินก็พอแล้ว ต่อไปให้เธอนำทางพวกเรา”
คณบดีกัวเฟิงได้ยินแบบนี้ก็มองพวกเขาทั้งสองด้วยความสงสัย เพียงแต่คนมากมายอยู่ที่นี่ เขาจึงไม่ถามอะไรมากมายนัก แต่กลับมองไปที่ฉินมู่หลานแล้วเอ่ยขึ้นแทน “นักศึกษาฉิน ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเริ่มกันเลยเถอะครับ”
กัวเฟิงยิ้มแล้วโบกมือ พลางกล่าวว่า “ไม่รบกวนหรอกครับ”
ก่อนหน้านี้แพทย์แผนจีนโดนกดดันมามาก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสถานที่เยี่ยมชมของนักศึกษาแลกเปลี่ยนได้ เขาจะมีความสุขก็ไม่สายเกินไป “พวกเราไปที่ล็อบบี้กันก่อนเถอะครับ”
หลังจากมาถึงแล้ว กัวเฟิงก็นำเสนอประวัติของโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนและการก่อสร้าง สาขาหลักที่ยอดเยี่ยมและเนื้อหาอื่น ๆ ฉินมู่หลานก็เดินตามอยู่ข้างกาย แปลเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว ด้วยความกลัวว่าประเทศญี่ปุ่นจะฟังจับใจความไม่ทัน จึงพูดเป็นภาษาญี่ปุ่นด้วย
กัวเฟิงอดไม่ได้ที่จะหันมองฉินมู่หลานมากขึ้น ไม่แปลกใจเลยเลยที่ให้เธอเป็นมัคคุเทศก์ ที่แท้นักศึกษาคนนี้ก็เชี่ยวชาญหลายภาษานี่เอง
กลุ่มคนกำลังเดินพูดคุยกัน จนกระทั่งไปถึงแผนกยาแผนจีน ฉินมู่หลานก็เริ่มนำเสนอต้นกำเนิดของการแพทย์แผนจีนขึ้นมา นอกจากนี้ยังเล่าเรื่องสั้นเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนอีกหลายเรื่อง ให้ทุกคนฟังอย่างหนำใจ
กัวเฟิงที่อยู่ข้าง ๆ อดมองฉินมู่หลานด้วยความประหลาดใจเสียนไม่ได้ ได้แต่รู้สึกว่านักศึกษาคนนี้เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เพียงแต่เมื่อฉินมู่หลานพูดสรุปตำราเปิ๋นเฉ่ากังมู่หรือเค้าโครงบัญชีโอสถ ตลอดจนกระทั่งพูดถึงจินคุ่ยเย่าเลวี่ย ที่เป็นตำราว่าด้วยการรักษาโรคทั่วไป หลังจากนั้นก็พูดถึงสูตรยาสมุนไพรอีกหลายชนิด เขาจึงทราบว่า นักศึกษาคนนี้จะต้องมีทักษะทางการแพทยืที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน เนื่องจากเธอไม่ได้กล่าวแบบพื้นเพทั่วไป แต่ลงรายละเอียดลึกมาก
พวกนักศึกษาแลกเปลี่ยนจากอเมริกาและอังกฤษต่างงุนงงเมื่อได้ฟัง ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้สักเท่าใด
แต่ถึงอย่างนั้น นักศึกษาหลายคนจากญี่ปุ่นและฮ่องกง ต่างฟังกันอย่างหนำใจ ยามาโมโตะหันมองฉินมู่หลานอย่างกระตือรือร้นแล้วเอ่ยถามว่า “นักศึกษาฉิน เมื่อสักครู่เธอเพิ่งพูดถึงตำรับยาบำรุงหยาง ไม่ทราบว่าช่วยอธิบายลงรายละเอียดได้ไหม”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็หันมองยามาโมโตะ ก่อนจะเอ่ยว่า “อาจารย์ยามาโมโตะคะ เรื่องนี้ฉันไม่สามารถลงรายละเอียดให้ได้ค่ะ เนื่องจากเป็นตำรับยาของคนอื่นเขา หากฉันพูดมากเกินไปทำให้คนอื่นได้ทราบ เช่นนั้นจะไม่ถือว่าเป็นการเปิดเผยสูตรตำรับยาเหรอคะ”
ยามาโมโตะได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก
เหตุผลที่พวกเขามาประเทศจีนเพื่อเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ก็เพื่อเรียนรู้สูตรยาลับเพิ่มเติม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศจีนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการแพทย์แผนจีนมากนัก จนถึงขั้นปราบไม่ให้ใช้ ดังนั้นพวกเขาจึงมีอกาสได้ค้นพบสูตรยาและตำราทางการแพทย์โบราณ เพียงแต่ยังไม่ได้ของดีไปไม่เยอะนัก พวกเขาจึงต้องการที่จะรู้เพิ่มมากกว่านี้ แต่ตอนนี้เหมือนจะเป็นปัญหานิดหน่อย
เซี่ยปิงหรุ่ยรู้สึกรำคาญคนที่หวังอยากได้สูตรตำรับยามาก ตระกูลเซี่ยของพวกเขาสืบทอดการแพทย์แผนจีนมาหลายชั่วอายุคน จึงมีคนมากมายหวังอยากขโมยสูตรตำรับยาลับที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ หล่อนจึงรู้ซึ้งดี
“อาจารย์ยามาโมโตะคะ สูตรตำรับยาลับถือเป็นสมบัติส่วนบุคคล เพราะฉะนั้นฉันจึงพูดมากไม่ได้ค่ะ”
ฉินมู่หลานยังตั้งใจแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างพิถีพิถันด้วย
ยามาโมโตะแสร้งหัวเราะสองสามครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
ชิโยโกะรู้สึกทนดูไม่ไหว ตอนแรกเธอคิดว่าประเทศญี่ปุ่นของตัวเองพัฒนาไปไกลกว่าประเทศจีนมาก พวกเขายอมเดินทางมาประเทศจีนก็ถือเป็นการให้ค่าประเทศจีนมากพอแล้ว แต่ฉินมู่หลานกลับไม่สำนึกในเรื่องที่พวกเขาทำเลยสักนิด อีกทั้งยังทำให้พวกเขาอับอายอยู่หลายครั้ง แล้วแบบนี้จะให้ทนได้อย่างไร
“ฉินมู่หลาน เธออย่ามาทำเกินไปหน่อยเลย อาจารย์ยามาโมโตะก็แค่ถามเธอ เป็นการให้ค่าเธอ เธออย่ามาทำตัวหน้าด้าน”
“เหอะ…ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นพวกเธอช่วยแบ่งปันข้อมูลเทคโนโลยีภาพสีของประเทศพวกเธอให้พวกเราได้ไหม ถ้าเธอตอบผลงานของคนอื่นได้ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญเธอตอบมาหน่อย”
ชิโยโกะได้ยินคำพูดนี้ ก็แทบไม่อยากเชื่อหูของตัวเอง
“เธอ…ทำไมเธอถึงหน้าด้านแบบนี้นะ”
เทคโนโลยีภาพสีสามารถแบ่งปันข้อมูลสู่ภายนอกได้อย่างนั้นหรือ เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นความลับ เนื่องด้วยเทคโนโลยีนี้ ประเทศของพวกเขาจึงมีทีวีช่องสีมากว่าสิบปีแล้ว และทั้งทีวีสีและสายการผลิตต้องเสียค่าใช้จ่าย
เซี่ยปิงหรุ่ยเหลือบมองชิโยโกะหลังจากได้ยินแบบนี้ ก่อนจะพูดขึ้น “แล้วที่เธอเพิ่งพูดเมื่อกี้ มันไม่หน้าด้านเหรอ“
“ฉัน…”
ชิโยโกะพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง
เป็นหลินไคจงที่ทำให้เรื่องต่าง ๆ สงบลงด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไปชมกันต่อเถอะครับ ยังมีอีกหลายที่เลยที่ยังไม่ได้เดินชม”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ คนอื่นก็ต่างพยักหน้าแล้วกล่าว “ตกลง พวกเราเดินต่อกันเถอะ”
หลังจากนั้นกัวเฟิงก็พาทุกคนไปเดินชมอีกครั้ง และทุกครั้งที่ฉินมู่หลานเดินไปตรงไหน ก็จะเล่าเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนขึ้นในเวลาที่เหมาะสมตลอด เธอเอ่ยติดตลก ทำให้คนอื่นจำได้ขึ้นใจ
หลี่หมิงฮุ่ยอดมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถามเสียไม่ได้ “นักศึกษาฉิน ทักษะแพทย์แผนจีนของเธอก็ดีมากใช่ไหม”
ฉินมู่หลานยังไม่ทันได้ตอบ เซี่ยปิงหรุ่ยก็กล่าวด้วยความภาคภูมิใจ “เรื่องนั้นแนนอนอยู่แล้ว มู่หลานแค่จับชีพจรก็รู้ได้เลยว่าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติอย่างไร ”
หลี่หมิงฮุ่ยไม่ค่อยเชื่ออยู่แล้ว ท้ายที่สุดแล้ว แพทย์แผนจีนที่มีฝีมือดีที่เขาเคยเจอส่วนใหญ่มีอายุเยอะกันทั้งนั้น คนที่อายุน้อยที่สุดก็ประมาณห้าสิบถึงหกสิบปี แต่ฉินมู่หลานเพิ่งอายุไม่เท่าใดเอง
เพียงแต่เมื่อนึกถึงการผ่าตัดที่ฉินมู่หลานทำมาก่อนหน้านี้ หลี่หมิงฮุ่ยก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจนิดหน่อย
“จริงเหรอ ทำไมสหายฉินถึงได้เก่งขนาดนี้”
เซี่ยปิงหรุ่ยเหลือบมองหลี่หมิงฮุ่ย ก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นให้มู่หลานลองตรวจนายเถอะ ปฏิบัติให้เห็น จะได้รู้กันไปเลยว่ามู่หลานเก่งขนาดไหน”
เมื่อได้ฟังคำพพูดนี้ หลี่หมิงฮุ่ยก็เริ่มสนใจขึ้นมาทันที เขาหันไปมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถาม “นักศึกษาฉิน ได้ไหม?”
เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่ต้องห้าม เธอจึงพยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นทันที “ได้อยู่แล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยจับชีพจรให้ฉันหน่อยนะ”
กัวเฟิงเห็นท่าทางของพวกเขา ก็รีบยกยิ้มแล้วบอกกล่าว “ทางนั้นมีห้องให้นั่งพัก พวกเราไปตรงนั้นกันเถอะครับ” อันที่จริงเขาก็อยากเห็นเหมือนกัน ว่าทักษะแพทย์แผนจีนของฉินมู่หลานจะดีหรือเปล่า
หลังจากอาจารย์และนักเรียนจากอเมริกาและอังกฤษฟังคำแปลของหลินไคจงแล้วก็ดูให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก
เซเลน่าอดพูดไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวช่วยตรวจให้ฉันด้วยได้ไหม ฉันก็อยากลองศาสตร์แพทย์แผนจีนเหมือนกัน”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้อยู่แล้ว”
หลังจากคนกลุ้มหนึ่งมาถึงห้องพักแล้ว ฉินมู่หลานก็เริ่มตรวจชีพจรของหลี่หมิงฮุ่ย เพียงแต่เมื่อเธอยื่นมือไปจับ สีหน้าของเธอก็ดูถอดสีลงนิดหน่อย
เมื่อเห็นสีหน้าของฉินมู่หลาน หลี่หมิงฮุ่ยก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที
“ทำไมเหรอนักศึกษาฉิน หรือว่าชีพจรของฉันผิดปกติ?”
ฉินมู่หลานดึงมือกลับ เธอส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นจึงกล่าว “วางใจ ไม่มีปัญหาอะไรมาก มีแค่ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ”
เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ หลี่หมิงฮุ่ยก็รีบถามกลับ “ปัญหาเล็กน้อยอะไรเหรอ?”
“นาย…แน่ใจเหรอว่าจะให้ฉันพูดตอนนี้?”
หลี่หมิงฮุ่ยไม่ต้องคิด พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นตามตรง “ใช่ พูดมาเลยเถอะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ไม่ได้พูดให้ชัดเจนมากนัก เพียงแค่กล่าวว่า “นักศึกษาหลี่ ตอนนี้ร่างกายของนายไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก เดี๋ยวฉันจะสั่งยาให้นาย นายเอากลับไปต้มกินเองก็พอ”
ฉินมู่หลานลงมือเร็วมาก หลังจากเขียนใบสั่งยาแล้วก็ยื่นตรงไปให้หลี่หมิงฮุ่นทันที
หลี่หมิงฮุ่ยรับใบสั่งยาไปแต่แล้วก็ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร รู้สึกเหมือนกำลังขี่หลังเสือที่ลงได้ยาก ถึงแม้ว่าเขาจะทราบว่าฉินมู่หลานมีทักษะทางการแพทย์ดีมาก แต่เรื่องการแพทย์แผนจีนนี้ ต้องสั่งสมประสมการณ์ไปมาก ๆ จึงจะเก่ง ดูจากท่าทางของฉินมู่หลาน ดูไม่ค่อยเหมือนคนเก่งเลย เพราะฉะนั้นจะมากินยาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้
ถึงแม้ว่าเซี่ยปิงหรุ่ยจะไม่ได้จับชีพจรของหลี่หมิงฮุ่ย แต่หลังจากดูใบสั่งยาที่ฉินมู่หลานเขียนให้แล้ว ก็ทราบได้ทันทีว่าเขามีปัญหาเรื่องอะไร ตอนนี้เมื่อเห็นท่าทางของหลี่หมิงฮุ่ยดูลังเล จึงอดพูดไม่ได้ “มู่หลานเขียนใบสั่งยาให้นายแล้ว นายก็รับเอาไว้สิ”
หลี่หมิงฮุ่ยได้ยินคำพูดของเซี่ยปิงหรุ่ย จึงอดถามไม่ได้ “นักศึกษาเซี่ย ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยบอกฉันก่อนได้ไหมว่าร่างกายของฉันผิดปกติตรงไหนเหรอ นักศึกษาฉินถึงได้เขียนใบสั่งยาให้”
ตอนแรกเซี่ยปิงหรุ่ยก็ไม่ยากพูดมาก แต่ดูท่าทางหลี่หมิงฮุ่ยจะไม่ค่อยเชื่อใจ จึงทำให้หล่อนไม่ค่อยมีความสุข พูดขึ้นตามตรง “สูตรยานี้ช่วยบำรุงไตและเพิ่มพลังชี่ เพราะฉะนั้นนายเองควรจะหัดยับยั้งชั่งใจเสียบ้างนะ”
“พรูดด…”
ตอนแรกหวังโหย่วเหรินกำลังดื่มน้ำ เพราะเขาเดินไปเดินมาเยอะมากจนกระหายน้ำ แต่หลังจากได้ยินคำพูดนี้ น้ำในปากของเขาก็พุ่งออกมา แม้แต่เยวี่ยจงจีเองก็อดหันไปมองหลี่หมิงฮุ่ยเสียไม่ได้
หลี่หมิงฮุ่ยรู้สึกมึนงงเมื่อเห็นทั้งสองจับจ้องมา จึงหันไปมองเซี่ยปิงหรุ่ยแล้วเอ่ยว่า “เธออย่าพูดพล่อย ๆ นะ”
“ฉันเปล่าพูดจาพล่อย ๆ นะ ที่ฉันพูดทั้งหมดเป็นความจริง”