ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 505 น่าสนุก

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 505 น่าสนุก

องค์หญิงฉางเล่อพูดด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “เจ้าวางปิ่นลงก่อนแล้วข้าจะส่งเจ้าออกไป”

ลั่วเซิงเก็บมือกลับไป

องค์หญิงฉางเล่อลอบถอนหายใจ มองเด็กสาวที่สงบนิ่งแล้วถามว่า “เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะตะโกนเรียกคนมาหรือ”

ลั่วเซิงยิ้ม “เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ องค์หญิงจะทำได้อย่างไร”

องค์หญิงฉางเล่อมองตาลั่วเซิงด้วยความรู้สึกซับซ้อนเล็กน้อย “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าเจ้าไม่ได้สูญเสียความทรงจำ”

ผู้ที่ยืนตรงหน้านางคนนี้ เหมือนกับว่ายังคงเป็นอาเซิงที่รู้จักนางอย่างดีคนนั้น

ทว่าดวงตาที่เรียบเฉยของอีกฝ่ายกลับย้ำเตือนนางว่าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

“ไปเถอะ” องค์หญิงฉางเล่อทรงหักห้ามความหวั่นไหวในใจและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราเรียบ

ทั้งสองเดินออกจากเรือนวิเวกพร้อมกัน

จังหวะที่ก้าวเท้าออกจากประตู ลั่วเซิงเหลียวกลับไปมองครู่หนึ่ง

ท่ามกลางกลิ่นหอมที่อบอวล ดวงตาที่งดงามแผ่ความเมตตาของโซ่วเซียนเหนียงเหนียงกำลังมองพวกนางเงียบๆ

นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างนอกต่างพากันคารวะองค์หญิงฉางเล่อ

องค์หญิงฉางเล่อเชิดคางขึ้นเล็กน้อย เดินผ่านนางกำนัลเหล่านี้โดยไม่ชายตามองแม้แต่น้อย

ลั่วเซิงสงบนิ่งยิ่งกว่า นางเดินเคียงข้างองค์หญิงฉางเล่อ ทั้งสองราวกับยังคงเป็นสหายที่สนิทสนมกันคู่นั้น

องค์หญิงฉางเล่อฝืนยิ้มตลอดทาง ส่งลั่วเซิงไปยังประตูใหญ่

ลั่วเซิงหยุดลง ยิ้มพูดว่า “องค์หญิงไม่ต้องส่งแล้วเพคะ”

องค์หญิงฉางเล่อเองก็ยิ้มให้เช่นกัน “อาเซิงเดินทางปลอดภัย”

นางมองดูรถม้าของจวนลั่วค่อยๆ เคลื่อนจากไปด้วยสายตาเยือกเย็น จนเมื่อเลี้ยวหายไปจากสายตาจึงเดินสาวเท้าเข้าไปข้างใน

ห้องบรรทมมีม่านมากมาย ดูหรูหราและสงบ

รูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นสง่างามราวกับดอกอวี้หลันที่เบ่งบานเงียบๆ คนผู้นั้นคือซูเย่าจอหงวนผู้มีชื่อเสียงแห่งต้าโจว

ซูเย่าในบัดนี้ถอดเครื่องแบบทำงานสีเขียวออก สวมชุดยาวสีขาวดุจพระจันทร์ ทำให้เขางดงามราวกับหยกและดูไร้ที่ติ

“คุณหนูลั่วไปแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยถามขึ้น

“ไปแล้ว” องค์หญิงฉางเล่อนั่งบนตั่งคนงามอย่างเกียจคร้าน สีหน้าดูไม่ออกว่าสุขหรือทุกข์

ซูเย่าเงียบลงครู่หนึ่ง

ตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน เขาเคยเจอสตรีที่เข้าหาเขามากมาย สตรีเหล่านั้นล้วนมีสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

และด้วยเหตุนี้เขาจึงสามารถอ่านใจพวกนางออกได้แทบจะในทันทีที่สบตา

ทว่าตอนนี้มีสตรีสองคนที่ทำให้เขาต้องครุ่นคิดอย่างหนัก คนแรกคือคุณหนูลั่ว อีกคนหนึ่งคือองค์หญิงฉางเล่อที่อยู่ตรงหน้า

“องค์หญิงถามหรือยังพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงฉางเล่อยกจอกชาขึ้นมาจิบคำหนึ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถามแล้ว นางยอมรับว่าจำไม่ได้แล้ว”

ซูเย่ายิ้มจางๆ “เห็นทีกระหม่อมจะตัดสินได้ถูกต้อง”

องค์หญิงฉางเล่อวางจอกชาลง มือข้างหนึ่งเท้าคางอย่างเกียจคร้าน “อาลักษณ์ซูช่างสังเกตจริงๆ”

“ขอบพระทัยคำชมขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงฉางเล่อแตะชุดยาวของซูเย่าด้วยเท้าเปล่า ถามขึ้นเบาๆ ว่า “แล้วเจ้ายังรู้เรื่องอะไรที่ข้าไม่รู้อีกหรือไม่”

ซูเย่ามององค์หญิงฉางเล่ออย่างลึกซึ้ง ค่อยๆ พูดว่า “กระหม่อมยังรู้ว่าวันเกิดของคุณหนูลั่วคือยามเหม่าวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉิน”

องค์หญิงฉางเล่อยืดกายขึ้นตรง ตามองซูเย่านิ่ง “เจ้ารู้ได้อย่างไร”

เสด็จพ่อคัดเลือกนางสนมอีกครั้ง นางย่อมรู้คุณสมบัติประหลาดนั่น นางยังเคยคิดว่าอาเซิงเกิดวันนั้น

แต่นางและอาเซิงสนิทสนมกันมาหลายปี แต่กลับไม่รู้วันเกิดที่แน่ชัดของอาเซิง

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก วันเกิดของคนๆ หนึ่งเกี่ยวข้องกับชะตาชีวิต ย่อมไม่อาจเปิดเผยง่ายๆ

ในเมื่อเช่นนี้ การที่ซูเย่ารู้ย่อมทำให้นางประหลาดใจอย่างยิ่ง

เมื่อได้ยินคำถามขององค์หญิงฉางเล่อ ซูเย่าก็ยิ้มแล้วพูดว่า “องค์หญิงทรงอย่าลืมว่ากระหม่อมเคยหารือเรื่องงานแต่งกับคุณหนูลั่วตอนอยู่จินซา”

องค์หญิงฉางเล่อกระจ่าง พูดขึ้นทีละพยางค์ว่า “เช่นนี้นี่เอง”

เงียบไปครู่หนึ่ง นางมองตาของซูเย่าถามว่า “เจ้าบอกข้าเพราะสิ่งใด”

ซูเย่ายิ้มบางๆ “กระหม่อมแค่บอกสิ่งที่กระหม่อมรู้แก่องค์หญิงเท่านั้น”

องค์หญิงฉางเล่อเม้มปากเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าต้องการให้ข้ารับนางเข้าวังหรือ”

ซูเย่าส่ายศีรษะ “มิใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมแค่บอกสิ่งที่กระหม่อมรู้ เรื่องอื่นขึ้นอยู่กับองค์หญิง”

องค์หญิงฉางเล่อลุกขึ้นเดินไปมา

นางเดินเท้าเปล่าจึงไม่มีเสียง แต่กลับเหมือนกับเหยียบลงบนหัวใจของซูเย่า ทำให้เขากังวล

แน่นอนว่าเขาไม่ได้สงบนิ่งดังเช่นภายนอก เขาอยากรู้การตัดสินใจขององค์หญิงฉางเล่อ

ซูเย่ากะพริบตาสองสามที ใบหน้ายังคงนิ่งสงบ

องค์หญิงฉางเล่อหยุดลงกะทันหัน มือขาวเนียนแตะลงบนแผ่นอกของเขาเบาๆ “ข้าคิดดูแล้ว คิดว่าอาเซิงเข้าวังเป็นนางสนมน่าจะสนุกมาก”

ซูเย่าโค้งริมฝีปากยิ้ม “อันที่จริงกระหม่อมก็คิดเช่นนั้น”

ทั้งสองสบตากันแล้วหัวเราะ

ไม่รู้ว่าลมพัดเข้ามาจากทางไหน พัดจนม่านพลิ้วไหว กลิ่นหอมจางๆ ลอยละล่อง สายตาของซูเย่าลุ่มลึกกว่าเดิม

องค์หญิงฉางเล่อผลักเขาออกเบาๆ พูดกึ่งยิ้มว่า “อาลักษณ์ซู เจ้าควรไปได้แล้ว”

ซูเย่าเงียบลงครู่หนึ่ง คารวะองค์หญิงฉางเล่อ “กระหม่อมทูลลา”

ลั่วเซิงกลับถึงเรือนเสียนอวิ๋นย่วนก็ขัดสีฉวีวรรณ เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมดแล้วจึงรู้สึกว่ากลิ่นหอมที่ค้างอยู่ในจมูกหายไป

โค่วเอ๋อร์เดินเข้ามา พูดเสียงเบาว่า “คุณหนู คนที่เฝ้าจวนองค์หญิงส่งข่าวมาเจ้าค่ะ”

งานเลี้ยงหงเหมินครานี้ ลั่วเซิงย่อมเตรียมการไว้เผื่อสถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดเกิดขึ้น การส่งขอทานคอยเฝ้าจับตาดูคือหนึ่งในแผนการนั้น

“พูดมาเถอะ”

โค่วเอ๋อร์พูดเสียงเบา “หลังจากที่ท่านออกมาครู่หนึ่ง ซูเย่าก็ออกจากจวนองค์หญิงไปเงียบๆ”

ลั่วเซิงเลิกคิ้ว สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ

ตามประสบการณ์แล้ว ที่ที่มีซูเย่าปรากฏตัวล้วนไม่มีเรื่องดี

การพบกับองค์หญิงครานี้ นางและองค์หญิงฉางเล่อนับได้ว่าฉีกหน้ากันอย่างสมบูรณ์แล้ว ด้วยนิสัยไม่ยอมคนขององค์หญิงฉางเล่อ ต้องแก้แค้นนางในภายหน้าแน่นอน

การไปฟ้องฝ่าบาทตรงๆ วิธีที่ไม่ฉลาดเช่นนี้ องค์หญิงฉางเล่อคงไม่ทำ เช่นนั้นอีกฝ่ายจะเริ่มลงมือจากทางไหนนะ

จิตใจลั่วเซิงปั่นป่วน จมอยู่ในความคิด

องค์หญิงฉางเล่อ ซูเย่า…

นางพลันคิดขึ้นได้ในทันใด สั่งโค่วเอ๋อร์ว่า “เรียกหงโต้วมา”

โค่วเอ๋อร์รู้สึกผิดหวังอย่างรุนแรง

นางรอแสดงฝีมือเพื่อช่วยแบ่งเบาความกังวลคุณหนู เหตุใดจู่ๆ จึงเรียกหงโต้วมานะ หงโต้วนอกจากจะแทะเมล็ดแตงโมเป็นแล้ว ยังทำอะไรเป็นอีก

สาวใช้ตัวน้อยสาปแช่งในใจ นางเม้มปากไปเรียกหงโต้วเข้ามา

“คุณหนูมีคำสั่งอะไรเจ้าคะ” หงโต้วส่งสายตาได้ใจให้โค่วเอ๋อร์และยิ้มถาม

ลั่วเซิงพยักหน้าให้โค่วเอ๋อร์เบาๆ “โค่วเอ๋อร์ เจ้าไปเฝ้าข้างนอกก่อนเถอะ”

โค่วเอ๋อร์ “…”

สาวใช้ตัวน้อยออกไปเฝ้าประตูอย่างเศร้าโศก

หงโต้วยกมุมปากขึ้นสูง “คุณหนูโปรดสั่ง”

ลั่วเซิงจิบชาคำหนึ่ง ถามอย่างสงบว่า “ตอนที่อยู่จินซา ก่อนที่ข้าจะถูกเซิ่งจยาหลานลอบทำร้าย ข้ามีความสัมพันธ์กับซูเย่าถึงขั้นไหนแล้ว”

“ความสัมพันธ์หรือเจ้าคะ” หงโต้วกะพริบตาสองสามที “ไม่มีความสัมพันธ์อะไรนะเจ้าคะ ยังไม่ทันฉุดเขากลับมาเลย”

“แสดงว่าวันที่ข้าฟื้นขึ้นมาเป็นวันที่น้าสะใภ้ใหญ่ไปหารือเรื่องงานแต่งที่ตระกูลซูครั้งแรกใช่หรือไม่”

หงโต้วพยักหน้า “เจ้าค่ะ ก่อนหน้านั้นพวกฮูหยินผู้เฒ่าคิดว่าท่านทำตัวเหลวไหลจึงไม่ได้สนใจ เมื่อเห็นท่านเกิดเรื่องจึงหวาดกลัว ไปหาตระกูลซูเจ้าค่ะ”

ลั่วเซิงขมวดคิ้วเล็กน้อย

สองครอบครัวคุยเรื่องแต่งงาน ตามหลักแล้วทั้งสองฝ่ายต้องยินยอมก่อนจึงจะทำนายดวงชะตาของสองฝ่าย ซึ่งก็หมายความว่าไม่มีทางที่ซูเย่าจะรู้วันเกิดของนาง

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท