บทที่ 1421 ความโปรดปรานของหญิงงาม
อย่าแม้แต่จะคิด!
ตอนนั้นเอง เฉินซีร่างแข็งค้าง ไม่แม้จะมีปลายเท้าใดยื่นไปเบื้องหน้า
ที่ด้านนอกห้องโถง เฟยเหลิ่งชุ่ยเม้มริมฝีปากที่เหยียดยิ้มเมื่อเห็นสิ่งนี้ นางหันหลังจากไปพร้อมกับพาเฉินฮ่าวผู้กำลังสนุกสนานกับคราวซวยของพี่ชายไปด้วย
หลังจากนั้น บรรยากาศภายในห้องโถงก็ตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันอีกครั้ง
ความงามอันละเอียดลออและเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของสตรีทั้งห้าบัดนี้เจือไปด้วยความขุ่นเคือง พวกนางไม่ได้พูดสิ่งใดหากเม้มปากมองเฉินซีอย่างคับข้อง สายตาขื่นขมที่จ้องมองมานั้นทำเอาชายหนุ่มสะท้านชาไปทั้งตัว เขาทำได้เพียงยิ้มออกมาอย่างเก้อเขินและกลับไปนั่งที่
แต่แม้ที่นั่งของเขาจะดีเพียงใด เขาก็ยังรู้สึกคล้ายตนกำลังนั่งอยู่บนเบาะรองที่ปูไปด้วยเข็มคม รู้สึกอึดอัดไม่น้อย เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับการนั่งเก้าอี้ลงทัณฑ์เพื่อรอการพิพากษา
“หลังจากผ่านไปหลายปี ในที่สุดเจ้าก็เพิ่งมีความคิดที่จะกลับมาเนี่ยนะ?” ท้ายที่สุด ย่าชิงก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนา นางเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม ดวงตาใสพิสุทธิ์ เส้นผมสีดำสนิทนุ่มสลวยราวผืนน้ำตก เช่นเดียวกับใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่ง
เฉินซีถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดก็มีใครสักคนพูดขึ้นเสียที อย่างน้อยนั่นก็ช่วยทำลายความเงียบงันอันแสนตึงเครียดได้ดีทีเดียว
ทว่ายังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้รู้สึกเบาใจ ดวงตาสี่คู่ก็จับจ้องมาเป็นตาเดียว แววตาที่ขมขื่นนี้ช่างเหมือนกับใบมีดที่กรีดหัวใจของเฉินซีให้สั่นสะท้าน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินซีก็ค่อย ๆ ยิ้มออกมาอย่างยากเย็นพร้อมกับลูบจมูกของตนแก้ความเก้อเขิน ริมฝีปากเผยอออกคล้ายตั้งใจจะพูดบางสิ่ง หากสุดท้ายก็ต้องปิดมันให้สนิทตามเดิมด้วยไม่รู้ว่าจะตอบคำถามของย่าชิงอย่างไร
“โถ่เอ๊ย ท่านช่วยอธิบายให้พวกเราได้เข้าใจสักหน่อยเถิด จะโกหกหรือพูดจริงก็ช่าง อย่างน้อยท่านก็ช่วยบอกพวกเรามาสักอย่างที” ย่าชิงถอนหายใจเบาๆ
คำพูดที่สิ้นลงกลายเป็นเหมือนก้อนหินที่ตกลงสู่พื้นทะเลสาบ หญิงสาวอีกสี่คนที่เหลือค่อย ๆ พูดตามไม่ต่างผืนน้ำที่กระเพื่อมไหล
“สำหรับข้า เขาน่ะมีความผิด” ตู้ชิงซีเบะปาก ใบหน้าที่เยือกเย็นของนางฉาบไปด้วยความโศกศัลย์
“พี่เฉินซี มิใช่ว่าท่านเก่งเรื่องพูดจาโอ้โลมกับสาว ๆ หรอกหรือ? ไยตอนนี้จึงได้เงียบไปเล่า? หรือว่าผ่านไปไม่กี่ร้อยปี พวกเราล้วนแต่กลายเป็นคนแปลกหน้าของท่านไปแล้ว?” มู่เหยาพูดด้วยน้ำเสียงชวนเวทนา ดวงตาอย่างจันทร์เสี้ยวของนางคล้ายมีน้ำตาคลอหน่วย
“ข้ารู้แล้ว! ที่แท้พวกเราก็เสียเวลาร้อยปีไปโดยเปล่าประโยชน์! ให้ตายเถิด พวกเราไม่มีอะไรจะพูดกับท่านแล้ว” เหยียนเหยียนตะโกนลั่น ราวกับกำลังเสียใจ ผิดหวัง และโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด
“ความงามนั้นมิอาจคงอยู่ถาวร อนิจจา ข้าคิดว่าแม้เราจะรอคอยจนเส้นผมผลัดสีขาว ก็ไม่อาจได้เห็นวันที่เขาจะเปลี่ยนใจ” อวิ๋นน่ารำพันโศก
เฉินซีรู้สึกปวดหัวตุบ มีเพียงยิ้มแหย ๆ ที่เขาพอจะให้แทนคำตอบเท่านั้น เหตุใดผู้หญิงพวกนี้จึงกลายเป็นคนเช่นนี้กันไปหมด? นี่จะคุยกับแบบปกติไม่ได้หรืออย่างไร?
แน่นอนว่าทำได้เพียงแต่บ่นเรื่องนี้อยู่ในใจ ตัวเขาเองก็รู้ดีว่าตนให้พวกนางผิดหวังและไม่เคยให้ความชัดเจนกับอีกฝ่ายเลยสักครั้ง
ทั้งที่เวลาผ่านไปนานร่วมร้อยปี แต่พวกนางก็ยังคงเฝ้ารอเขา เรื่องนี้ทำให้ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ในเมื่อเขาผิดเต็มประดาเช่นนี้ แล้วจะให้อ้างสิ่งใดเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองได้อีกเล่า?
โชคดีที่หลังจากนั้นไม่นานเฟยเหลิ่งชุ่ยก็เข้ามาในห้องโถงพร้อมกับข้ารับใช้ การมาถึงของคนเหล่านั้นทำให้หญิงงามทั้งห้าหยุดพูดในทันที เฉินซีถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
หลังจากที่เฟยเหลิ่งชุ่ยออกคำสั่งให้ข้ารับใช้จัดเตรียมอาหารและสุราชั้นดี นางก็ยิ้มบาง ๆ และหันหลังจากไป
ระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ ในที่สุดเฉินซีก็สามารถอาศัยจังหวะวุ่นวายพูดขัดขึ้น “เอาละ กินข้าวแล้วก็มาคุยกันเถอะ อีกไม่นานข้าก็ต้องไปจากที่นี่อีกครั้ง ไม่ง่ายเลยที่พวกเราจะได้มารวมตัวกันสักคราหนึ่ง”
ไปจากที่นี่? พวกนางตกอยู่ในความตะลึง หัวใจดวงน้อย ๆ พลันบีบรัดแน่น สีหน้าแปรเปลี่ยนไปจนเห็นได้ชัด นับตั้งแต่เฉินซีไปจากราชวงศ์ซ่ง พวกนางก็อยู่ในตระกูลเฉินมาโดยตลอด ความปรารถนาเดียวของพวกนางคือการได้พบเฉินซีอีกครั้ง
การรอคอยนี้กินเวลานานร่วมร้อยปี และในที่สุด ‘จอมหักอกสาว’ เฉินซีก็กลับมาแล้ว จะให้พวกนางดูดายมองเขาเดินจากไปอีกครั้งได้อย่างไรกัน
หญิงสาวทั้งห้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมฝาดในอก พวกนางลุกขึ้นยืนเพื่อมุ่งหน้าไปยังโต๊ะอาหาร แต่ละคนล้วนยุ่งอยู่กับธุระของตนและไม่มีใครพูดถึงเรื่องของเฉินซีอีก
สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มผ่อนคลายลงอย่างมาก ทว่าหลังจากนั้นไม่นานเขาก็รู้สึกว่าตนช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก นี่เขากำลังใช้การจากไปเป็นข้อแก้ตัวจริง ๆ น่ะหรือ?
กระนั้นความคิดฟุ้งซ่านก็เป็นอันต้องหยุดลง…
“เฉินซี เจ้าลองนี่สิ ตอนที่ข้ารู้ว่าเจ้ากลับมา ข้าก็ได้เตรียมสิ่งนี้ไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ ข้าจำได้ว่าอาหารจานแรกที่เจ้าเรียนตอนเป็นพ่อครัววิญญาณฝึกหัดในร้านอาหารนทีกระจ่างคือกุ้งดำทอดกรอบ จานนี้นี่แหละ” ตู้ชิงซีผู้แสนเย็นชาบัดนี้กลับมีรอยยิ้มสดใส นางคีบเนื้อที่ขาวราวหยกของกุ้งวางลงในถ้วยของเฉินซี
“พี่เฉินซี ท่านยังจำอาหารจานนี้ได้หรือไม่ หลายปีก่อนท่านทำให้ข้ากิน ในช่วงไม่กี่ปีก่อน ข้าเริ่มเรียนรู้สูตรอาหารนี้ในยามว่าง ไหน ๆ แล้วก็ลองชิมดูหน่อยเถิดว่ามันถูกปากท่านหรือไม่” ใบหน้านวลเนียนของมู่เหยาขึ้นสีแดงระเรื่อ นางเบี่ยงหน้าเล็กน้อยอย่างเขินอายขณะที่คีบอาหารให้เฉินซี หญิงสาวไม่กล้าแม้แต่จะสบตาด้วยซ้ำ ราวกับได้เปลี่ยนแปลงไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิง
“เฉินซี นี่คือสุราที่เราดื่มร่วมกันในวันที่เราพบกันครั้งแรก เจ้ายังจำรสชาติของมันได้หรือไม่? ว่าแล้วก็ลองชิมดูสิว่ารสชาติมันเปลี่ยนไปหรือยังคงเหมือนเดิม” ย่าชิงรินสุราให้เฉินซีช้า ๆ จากนั้นนางยื่นจอกในมือเรียวเล็กให้อย่างสงวนท่าที หากดวงตาใสกระจ่างกลับทอประกายสิเน่หายิ่ง
“เฉินซี…”
“เฉินซี…”
ทั้งเหยียนเหยียนและอวิ๋นน่าก็ร่วมวงไปกับเขาด้วย พวกนางตัดอาหารและรินสุราให้ทั้งสายตาที่เปี่ยมด้วยความรัก การแสดงออกของพวกนางมีเพียงความอบอุ่นเป็นกันเองที่มากล้นเสียจนชายหนุ่มแทบจะอิ่มในความรู้สึกแห่งการถูกรักที่ท่วมท้นนี้
เคยมีคำกล่าวไว้ว่า ความโปรดปรานของหญิงงามยากยิ่งจะรื่นรมย์ ในที่สุดตอนนี้เขาก็เข้าใจมันเสียที สาวงามทั้งห้ากำลังปรนนิบัติเขาด้วยความกระตือรือร้น ดวงหน้างดงามแดงระเรื่อเอียงอาย หากเป็นคนอื่น ๆ ก็คงจะตาร้อนด้วยนึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น ในใจของเฉินซีกลับมีความอึดอัดซ่อนเร้น สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ค่อนข้างผิดแผกราวพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ และนั่นทำให้เขารู้สึกกังวลแทนที่จะมีความสุข ชายหนุ่มทำได้เพียงเงียบเสียงลงและกินทุกอย่างที่ถูกนำมาวางไว้ตรงหน้า มันมากเสียจนเขาไม่มีโอกาสได้เงยหน้าจากชามอยู่นานทีเดียว…
สำหรับสุรานั้น เขาดื่มมันทุกครั้งที่ถูกส่งมาถึงมือ ถึงขนาดที่ต้องควบคุมปราณเซียนเอาไว้และเร่งให้ตนเมามาย ด้วยหวังจะให้ความเมานั้นช่วยปลดปล่อยเขาจากบรรยากาศที่งดงามแต่ชวนอึดอัดเช่นนี้
ที่ด้านนอกห้องโถง เฉินฮ่าวกำลังแอบดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทั้งดวงตาเบิกกว้าง อดนึกชื่นชมระคนอิจฉาในตัวพี่ชายไม่ได้ แหม ความสามารถของท่านพี่ในการหว่านเสน่ห์นั้นช่างไม่ธรรมดาจริง ๆ!
ทว่าในเวลาต่อมา เฟยเหลิ่งชุ่ยผู้มีสีหน้าเยือกเย็นก็ลากหูของเขาออกไป…
…
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น เฉินซีตื่นจากอาการเมามาย สติสัมปชัญญะยังคงมึนงงอยู่ไม่น้อย
เมื่อคืนเขาเมาหนักมากจริง ๆ เมาเสียจนเรียกได้ว่าภาพตัด แม้ในความเป็นจริงนั้น ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขา ชายหนุ่มไม่มีทางจะเมาหยำเปได้ถึงเพียงนี้…
แต่เขาจำเป็นต้องเมา!
ถ้าหากไม่เมา มีหรือจะหลีกหนีจากความงามที่เจือไปด้วยความขมขื่นเช่นนั้นได้?
แน่นอนว่าไม่มีทาง
เฉินซีโคจรปราณเซียนภายในร่างกาย ทันใดนั้น ฤทธิ์สุราที่คงเหลืออยู่ก็พลันจางหายไป ร่างกายกลับมาสดชื่นกระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะพ่นลมออกมาด้วยความโล่งอก
ครั้นเมื่อเขานั่งลงบนเตียงและนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เสียงหัวเราะขื่นก็ดังออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ความรักช่างร้ายกาจเสียจริง!
“ท่านปู่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว นี่เจ้าค่ะผ้าซับหน้า” เด็กหญิงตัวเล็กในชุดคลุมยาวปักลายดอกไม้เดินเข้ามา นางมีดวงตาสีดำสนิท ใบหน้าขาวเนียนที่งดงามและสงบนิ่งของนางส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้
นางคือเฉินอวิ๋นอวิ๋นที่ถือผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เด็กน้อยท่าทางนอนสอนง่ายและฉลาดเฉลียวผู้นี้ค่อย ๆ ส่งผ้าผืนดังกล่าวให้กับผู้เป็นปู่
เฉินซีอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นเด็กหญิงตัวน้อย ๆ คนนี้ เขาโน้มตัวลงไปอุ้มหลานสาวขึ้นมานั่งข้าง ๆ กัน ก่อนจะกอดและหอมแก้มนางด้วยความเอ็นดู “อวิ๋นอวิ๋นน่ารักสำหรับปู่เสมอ”
“ท่านปู่ ให้ข้าเช็ดหน้าให้ท่านนะเจ้าคะ” อวิ๋นอวิ๋นพูดเสียงใสกังวาน ดวงตาที่สดใสดังดวงดาวของนางคล้ายมีความคาดหวังอยู่ในนั้น
แน่นอนว่าเฉินซีไม่มีทางปฏิเสธ เขายิ้มและยื่นหน้าออกไปให้นางได้ทำตามใจ อันที่จริงแล้วเขาเองก็เพลิดเพลินกับการปรนนิบัติของหลานสาวยิ่งนัก ความรู้สึกอันอบอุ่นใจนี้ช่างยากจะอธิบายเป็นคำพูดใด ๆ
มันเป็นความรู้สึกของการเป็นปู่!
อวิ๋นอวิ๋นซับไปตามใบหน้าของเขาด้วยความตั้งใจและพิถีพิถัน หลังจากเช็ดหน้าเสร็จ นางก็ยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปลูบศีรษะของเฉินซีเบา ๆ
แม้มันจะดูอบอุ่น ทว่าเฉินซีก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างแปลก เขาจึงอดถามไม่ได้ “อวิ๋นอวิ๋น เจ้าเช็ดหน้าท่านพ่อกับท่านแม่บ่อยหรือไม่?”
อวิ๋นอวิ๋นส่ายหน้า “ปกติข้าเช็ดแต่เจ้าเทาน้อยเจ้าค่ะ”
เฉินซีชะงัก “ใครคือเจ้าเทาน้อย?”
ตอนนั้นเอง อวิ๋นอวิ๋นก็แตะที่ริมฝีปากเล็ก ๆ สีแดงระเรื่อของตนก่อนจะซุกหน้าลงในอ้อมกอดของเฉินซีและพูดอย่างเขินอาย “เจ้าเทาน้อยเป็นสัตว์เลี้ยงที่ท่านพ่อมอบให้แก่หลานเจ้าค่ะ มันเป็นพังพอนขาวตาม่วงที่น่ารักมาก ๆ เลย”
ฉับพลัน ใบหน้าของเฉินซีมืดมนลงทันที นี่เขาได้รับการดูแลเยี่ยงสัตว์เลี้ยงอย่างนั้นหรือ!
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ที่เฉินซีทำได้เพียงยิ้มแหย ๆ อยู่เช่นนั้น ชายหนุ่มอุ้มหลานสาวเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนก่อนจะพาอีกฝ่ายเดินออกจากห้อง “มาเถอะ ปู่จะพาไปกินข้าวเช้า”
“ท่านปู่ พี่สาวชิงซี พี่สาวมู่เหยา พี่สาวย่าชิง พี่สาวเหยียนเหยียน และพี่สาวอวิ๋นน่าขอให้ข้าถามคำถามท่านสักสองสามข้อเมื่อท่านตื่นเจ้าค่ะ” อวิ๋นอวิ๋นพิงไหล่ของเขาขณะที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใสแจ๋ว
พี่สาว? เฉินซีทำหน้าแปลกใจ “อวิ๋นอวิ๋น พวกนางเป็น…”
เมื่อเฉินซีพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนไม่รู้ควรจะให้อวิ๋นอวิ๋นเรียกพวกนางว่าอะไร น้า? ไม่ได้ พวกนางอาวุโสมากกว่านั้น ย่า? นั่นก็ไม่ได้อีก พวกนางยังไม่ใช่คู่บำเพ็ญของเขา
พอคิดได้เช่นนั้น เฉินซีก็พลันพูดไม่ออก “ช่างเถอะ อวิ๋นอวิ๋นยังเด็กอยู่” เขาได้แต่คิดในใจเช่นนั้น นางอยากเรียกอะไรก็ให้นางเรียกไป…
“พวกนางจะถามอะไรหรือ?” เฉินซีถาม
อวิ๋นอวิ๋นเอียงศีรษะครุ่นคิดก่อนจะตอบอย่างรวดเร็ว “พวกพี่สาวมีคำถามเดียวกันเจ้าค่ะ พวกนางถามว่าใครคือซูชิงเยียน เซี่ยเวย เป้ยหลิง ชุยชิงหนิง เหลียงปิง อาซิ่ว เตียนเตี้ยน…”
นางพูดชื่อเหล่านั้นยาวเป็นหางว่าวก่อนจะหยุดเพื่อสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพูดต่อ “พวกเขาขอให้ข้าถามท่านว่าผู้หญิงเหล่านี้เป็นใคร มาจากไหน มีความสัมพันธ์แบบใดกับท่าน และพวกนางหน้าตางดงามกว่าชิงซิ่วอี้ เจิ้นหลิวชิง หรือฟ่านอวิ๋นหลานหรือไม่…”
ไม่นานนักผู้เป็นปู่ก็ถอนหายใจยาว “อวิ๋นอวิ๋น เจ้ายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจเรื่องเช่นนี้”
อวิ๋นอวิ๋นเบิกตาใสพิสุทธิ์ของนางให้โตกว้าง “ท่านปู่ ท่านไม่ชอบหรือเจ้าคะ เช่นนั้นหลานจะไม่ถามแล้ว”
เฉินซีบีบจมูกเล็ก ๆ ของหลานสาวอย่างอ่อนโยน “เอาละ ๆ อย่างไรปู่ก็รักอวิ๋นอวิ๋นที่สุด”
เด็กหญิงตัวน้อยหัวเราะร่า “ถึงอย่างนั้น ท่านปู่ก็ต้องดีกับท่านย่าด้วยนะเจ้าคะ”
ท่านย่า?
แน่นอนว่านางหมายถึงชิงซิ่วอี้
หากไม่มีชิงซิ่วอี้แล้ว ก็คงไม่มีเฉินอัน และหากไม่มีเฉินอัน ก็คงไม่มีเฉินอวิ๋นอวิ๋นอยู่ตรงนี้
ครั้นเมื่อเขาคิดถึงชิงซิ่วอี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา เห็นทีเขาคงมีเรื่องของความรักเข้ามาพัวพันมากเกินไปแล้ว แต่ก็น่าแปลกนักที่มันกลับไม่เคยส่งผลกระทบมาถึงเขาโดยตรงเลย…
“พี่ใหญ่ ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว มาพบกับคนของตระกูลและสหายของท่านเถอะ” ตอนนั้นเอง เฉินฮ่าวก็พูดขึ้นทั้งสาวเท้ามาจากที่ไกล
เฉินซีกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง เขาพยักหน้าเป็นการรับรู้ก่อนจะพยายามสลัดความคิดอันวุ่นวายออกไปจากหัว
ในตอนนี้ เขาตัดสินใจแล้วว่าหลังจากที่ได้พบกับคนตระกูลเฉินและเตรียมการทุกอย่างเป็นอันเรียบร้อยแล้ว เขาจะกลับไปยังภพเซียนทันที
เรื่องของอดีตก็เป็นแค่อดีตเท่านั้น ท้ายที่สุดเขายังมีเส้นทางให้ต้องเลือกเดินเป็นของตัวเอง บางทีเมื่อก้าวไปยังจุดสูงสุดแห่งมหาเต๋า เขาก็คงมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้