ตอนที่ 1546 ถ้อยคำเลอะเลือน
เสียงน้อมส่งไทเฮาที่ดังขึ้นนอกรถม้ายิ่งทำให้ไทเฮาเสียใจยิ่งกว่าเดิม นางซบหน้าลงบนหมอนอิงพลางเปล่งเสียงร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะทน
เมื่อส่งรถม้าของไทเฮาจากไปบรรดาเชื้อพระวงศ์ต่างไปยืนล้อมผู้อาวุโสที่สุดของตระกูล จากนั้นเอ่ยถาม
“ท่านลุง พวกเราจะทำเช่นใดต่อไปดีขอรับ”
“ตามคนตระกูลมู่หรงมาที่วังหลวงให้หมด พวกเราจะคุกเข่าอยู่หน้าวังหลวงนี่แหล่ะ!”
ผู้อาวุโสยังถือจดหมาของเซียวหรงเหยี่ยนอยู่ในมือ
“จดหมายนี่คือหลักฐานมัดตัวว่ามู่หรงเหยี่ยนคือเซียวหรงเหยี่ยน คือหลักฐานว่าเขาทรยศแคว้นต้าเยี่ยนไปแต่งงานกับจักรพรรดินีต้าโจวและมีลูกด้วยกัน ใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ต้าเยี่ยนนานแล้ว เราต้องทำให้ฝ่าบาทได้สติ ยอมสังหารเซียวหรงเหยี่ยนและรับไทเฮากลับมาจากตำหนักพักผ่อน”
เมื่อผู้อาวุโสที่สุดของตระกูลออกคำสั่งคนที่เหลือในตระกูลต่างแยกย้ายกันไปส่งข่าวทันที
สิ่งที่ไทเฮากล่าวกับเชื้อพระวงศ์ถูกรายงานไปถึงมู่หรงลี่ซึ่งอยู่ในวังหลวงอย่างรวดเร็ว เมื่อมู่หรงลี่ได้ยินว่ามารดาของเขาเปิดเปิงฐานะที่แท้จริงของท่านอาเก้าราวกับคนเสียสติเขาจึงผุดลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ
มู่หรงไห่เป็นคนมาขอรับหน้าที่คุ้มกันไทเฮาไปส่งยังตำหนักพักผ่อนจากเขาเอง มู่หรงไห่ขอให้มู่หรงลี่เชื่อใจในตัวเขา นี่คือสิ่งที่เขาได้จากการเชื่อใจมู่หรงไห่อย่างนั้นหรือ!
“มู่หรงไห่อยู่ที่ใด เขาตายไปแล้วอย่างนั้นหรือ! เขาบังอาจปล่อยให้เชื้อพระวงศ์เหล่านั้นเข้าใกล้ไทเฮายังไม่เท่าใด ทว่า ไทเฮากุเรื่องใส่ร้ายท่านอาเก้าราวคนเสียสติเช่นนี้เขายังยืนเฉยไม่ทำสิ่งใดอีกหรือ!”
มู่หรงหลี่เอ่ยถามเสียงดัง
“จางกวนล่ะ จางกวนก็ไม่ช่วยหยุดยั้งไทเฮากล่าวถ้อยคำเลอะเลือนเหล่านั้นหรือ”
“ทูล…ทูลฝ่าบาท ตอนที่รองหัวหน้าไปถึงไทเฮาทรงตรัสออกมาหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ ที่สำคัญไทเฮานำจดหมายที่ผู้สำเร็จราชการเคยเขียนถึงของจักรพรรดิองค์ก่อนออกมาเป็นหลักฐานด้วย ตอนนี้เหล่าเชื้อพระวงศ์กำลังจะคุกเข่าหน้าวังหลวงเพื่อบีบให้ฝ่าบาทสังหารผู้สำเร็จราชการพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารองครักษ์ผู้นั้นคุกเข่ารายงานเรื่องทั้งหมดให้มู่หรงลี่ฟัง จากนั้นก้มศีรษะคำนับแนบพื้นอย่างไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอีก
มู่หรงลี่กำมือที่ไขว้อยู่ทางด้านหลังแน่น
“หากพวกเขาอยากคุกเข่าก็ปล่อยให้คุกเข่าไป”
คืนที่หิมะตกหนักคืนนั้น เหล่าเชื้อพระวงศ์ทยอยกันมายังวังหลวง พวกเขาคุกเข่าอยู่หน้าวังหลวง ชูจดหมายที่มู่หรงเหยี่ยนเคยเขียนถึงจักรพรรดิองค์ก่อนของต้าเยี่ยนขึ้นเหนือศีรษะเพื่อขอร้องให้จักรพรรดิต้าเยี่ยนจับคนทรยศมู่หรงเหยี่ยนมาลงโทษ
ไป๋ชิงเหยียนเดินทางไปถึงเมืองอันซุ่นอย่างปลอดภัยท่ามกลางการอารักขาของทหารค่ายอันผิงของหลิ่วผิงเกา
แม่ทัพคุ้มกันเมืองและคนของทางการของเมืองอันซุ่นออกมายืนรอต้อนรับนอกเมืองนานแล้ว ไป๋ชิงเหยียนลงจากหลังม้า นางเดินเข้าไปในเมืองพร้อมกับเจ้าเมืองและแม่ทัพคุ้มกันเมืองอันซุ่น ตอนนี้ชาวบ้านล้วนกักตัวอยู่แต่ในจวนของตัวเอง ร้านค้าแผงลอยตามท้องถนนแทบไม่มีเลย ชาวบ้านซึ่งสวมผ้าปิดหน้าคุกเข่าอยู่สองข้างทางของถนนอย่างเว้นระยะห่างอย่างพอดีจนถนนดูโล่งกว่าปกติ ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนและเหล่าทหารก็ยังไม่ประมาท พวกนางยังคงสวมผ้าปิดหน้าที่ชุบยาเพื่อป้องกันไว้ก่อนอยู่ดี
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ส่งยาและเสบียงอาหารมาให้พวกเราพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้นชาวบ้านเมืองอันซุ่นคงต้องหิวโซจนต้องออกไปขออาหารจากผู้อื่นเหมือนชาวบ้านเมืองลี่อี้ที่อยู่ติดกันแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ โรคระบาดคงแพร่กระจายรุนแรงจนยากจะควบคุมพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าเมืองอันซุ่นกล่าวถ้อยคำนี้ออกมาจากใจ แม้เขาจะเป็นคนต้าเยี่ยน ทว่า เมื่อเมืองที่เขาอยู่ต้องตกอยู่ในการปกครองของต้าโจวและเกิดโรคระบาดขึ้นเจ้าเมืองถึงรับรู้ว่าต้าโจวมั่งคั่งและสมบูรณกว่าต้าเยี่ยนเพียงใด
เท่าที่เขารู้มา หากเรื่องนี้เกิดขึ้นในต้าเยี่ยน ต้าเยี่ยนไม่มีกำลังทรัพย์มากพอที่จะให้ชาวบ้านกักตัวอยู่แต่ในจวนและให้ทางการคอยส่งอาหารให้ชาวบ้านเช่นนี้แน่นอน
ทว่า กลับกัน กฎหมายของต้าโจวรุนแรงกว่ากฎหมายของต้าเยี่ยน หากมีชาวบ้านที่ไม่ยอมทำตามกฎ แอบออกมานอกจวน พวกเขาจะถูกสังหารทิ้งทันที สถานการณ์รุนแรงจึงต้องใช้กฎหมายที่เข้มงวดกว่าเดิม นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทมากพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพคุ้มกันเมืองคือคนของต้าโจว เมื่อเห็นสภาพน่าอนาถของเมืองในการปกครองของต้าเยี่ยนและนำมาเปรียบเทียบกับเมืองในการปกครองของต้าโจว เขาจึงรู้สึกภูมิใจมาก
“มีชาวบ้านโวยวายอยากไปจากเมืองบ้างหรือไม่”
ไป๋ชิงเหยียนเห็นว่ามีร้านค้าบางร้านยังเปิดกิจการอยู่ กิจการที่ขายอาหารส่วนใหญ่ล้วนเปิดกิจการตามปกติ แผงลอยขายผักตามท้องถนนและโรงสุราก็ล้วนเปิดกิจการ ตอนนี้เจ้าของกิจการ พ่อค้าและเด็กรับใช้ล้วนคุกเข่าก้มศีรษะแนบพื้นอย่างไม่กล้าเงยหน้ามองไป๋ชิงเหยียน
สถานการณ์ในเมืองอันซุ่นดีกว่าที่ไป๋ชิงเหยียนคิดไว้ก่อนหน้านี้ นางจำได้ว่าเมืองแรกๆ ที่เกิดโรคระบาดขึ้นมีเมืองอันซุ่นรวมอยู่ด้วย เมื่อเห็นดังนี้ไป๋ชิงเหยียนจึงเอ่ยชมเจ้าเมืองและแม่ทัพคุ้มกันเมืองอันซุ่น
เมื่อเจ้าเมืองและแม่ทัพคุ้มกันเมืองได้ยินจึงมองสบตากัน สุดท้ายจึงตัดสินใจกล่าวออกมา
“ฝ่าบาท เมืองอันซุ่นพบโรคระบาดเร็ว ทว่า โรคระบาดไม่ได้รุนแรงเหมือนเมืองอื่น ตอนที่ราชสำนักประกาศห้ามไม่ให้ทางการส่งยาและสมุนไพรให้เมืองที่อยู่ในการปกครองของต้าโจว หมอท่านหนึ่งในเมืองลี่อี้ที่มีนามว่าจูเฉิงหรูแอบส่งยาสมุนไพรให้พวกเราหลายครั้ง ตอนนี้เขาถูกทางการของเมืองลี่อี้จับตัวกลับไปในฐานะกบฏ ครอบครัวของเขาถูกจับขังคุกทั้งตระกูล ได้ยินว่ากำลังกำหนดวันประหารพ่ะย่ะค่ะ ต่อมาพวกเราไม่ได้รับข่าวใดๆ จากเมืองลี่อี้อีก ไม่ทราบว่าตอนนี้ตระกูลจูจะเป็นเช่นใดบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ชิงเหยียนชะงักฝีเท้าลง นางมองไปทางแม่ทัพคุ้มกันเมืองด้วยแววตาเคร่งขรึม แม่ทัพคุ้มกันเมืองรีบคุกเข่าลงบนพื้นทันที
“กระหม่อมเคยไปขอคนจากทางการของเมืองลี่อี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ทว่า ทางนั้นไม่ยอมปล่อยตัว ครั้งนี้ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่กระหม่อมจึงอยากขอพระราชทานอนุญาตให้ส่งทูตของต้าโจวไปรับครอบครัวของท่านหมอผู้นั้นมาที่เมืองในการปกครองของพวกเราพ่ะย่ะค่ะ หมอจูผู้นี้ช่วยชีวิตคนไว้มากมาย เขาไม่ควรมีจุดจบเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ความจริงแม่ทัพคุ้มกันเมืองก็ยังมีความหวังเล็กๆ ว่าคนทางการสารเลวของเมืองลี่อี้จะไม่ทำอันใดท่านหมอจู
ไป๋ชิงเหยียนเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นกล่าวขึ้น
“เจ้าลุกขึ้นเถิด…”
แม่ทัพคุ้มกันเมืองลุกขึ้นแล้วมองไปทางไป๋ชิงเหยียนตาละห้อย เขาได้ยินไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้น
“หากส่งทูตไปตอนนี้ กว่าทูตจะกลับมาหมอผู้นั้นคงเอาชีวิตไม่รอดแล้ว โชคดีที่ตอนนี้ผู้สำเร็จราชการของต้าเยี่ยนน่าจะอยู่ในเมืองลี่อี้ เราจะไปขอตัวหมอผู้นั้นมาเอง!”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
นายอำเภอรีบคุกเข่าลงบนพื้น
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาทแทนชาวบ้านเมืองอันซุ่นและท่านหมอจูพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านหมอจูช่วยชีวิตชาวบ้านที่ตกทุกข์ได้ยาก เขาคือวีรบุรุษ นี่เป็นเรื่องที่เราสมควรทำ”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวขึ้นช้าๆ
“เรื่องนี้จะรอช้ามิได้ หลิ่วผิงเกา เจ้าจงส่งคนไปยังเมืองลี่อี้ บอกพวกเขาว่าเราอยากพบผู้สำเร็จราชการของต้าเยี่ยน ขอให้เขาไว้ชีวิตท่านหมอจูผู้นั้น อีกไม่นานเราจะไปพบเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หลิ่วผิงเการีบส่งคนไปยังเมืองลี่อี้ทันที เขาหวังว่าจะสามารถช่วยชีวิตท่านหมอจูผู้นั้นไว้ได้
เซียวหรงเหยี่ยนเพิ่งเดินทางถึงเมืองลี่อี้ไม่นาน เขาเห็นว่าเมืองอี่ลี้ควบคุมโรคระบาดได้ดี อีกทั้งได้ยินเจ้าเมืองอี้ลี้กล่าวว่าเหล่าเชื้อพระวงศ์บริจาคทั้งเสบียงอาหารและทรัพย์สินเพื่อช่วยเหลือวิกฤตในครั้งนี้ เซียวหรงเหยี่ยนจึงไปพบเชื้อพระวงศ์เหล่านั้นด้วยตัวเอง
เชื้อพระวงศ์เหล่านั้นกล่าวว่าพวกเขาไม่อยากได้ความดีความชอบ แค่อยากทำสิ่งใดเพื่อชาวบ้านเพื่อเป็นการไถ่โทษเท่านั้น