ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 630 กินข้าวในเรือนจำ

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 630 กินข้าวในเรือนจำ

ทันทีที่หู่จือเปิดปากพูด กำแพงอารมณ์ของจางเหมยก็พังทลายลงทันที น้ำตาพลันไหลพราก

ลูกชายได้เจอหล่อนแล้ว

แต่ลูกชายกลับเรียกหล่อนว่าป้า

อารมณ์ต่าง ๆ ปะปนกันอยู่ภายในใจ ทำให้สำลักจนพูดอะไรไม่ออก

เฉินเจียเหอมองดูอีกฝ่ายด้วยสายตาตักเตือนอย่างเฉียบขาด จางเหมยได้แต่กลั้นคำพูดไว้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

“นี่เพื่อนแม่เอง หล่อนได้ยินข่าวว่าลูกหายตัวไป ก็เลยแวะเข้ามาถามไถ่ข่าวคราวน่ะ”

หลินเซี่ยพูดกับหู่จื่อ “หู่จือ พูดขอบคุณคุณป้าหน่อยสิ”

หู่จือมองไปที่จางเหมยอย่างเชื่อฟังพลางพูดว่า “ขอบคุณนะครับคุณป้าที่เป็นห่วงผม ตอนนี้ผมปลอดภัยดีแล้ว หยุดร้องไห้เถอะครับ”

เสียงของหู่จือสดใสแจ่มชัด ท้ายที่สุดจางเหมยก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป อ้าแขนออกและปรี่เข้าไปอย่างต้องการกอดเขา แต่หู่จือหลีกเลี่ยงอย่างระมัดระวัง รีบผลุบเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของหลินเซี่ยตามเดิม

หลังจากถูกจับใส่กระสอบ หู่จือก็เริ่มมีกำแพงป้องกันตัวเองมากขึ้น เริ่มต่อต้านการสัมผัสของคนแปลกหน้า

หลินเซี่ยดึงหู่จือเข้ามาในอ้อมแขนของเธอ

หู่จือกอดเธอทิ้งตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่พลางพูดว่า “แม่ฮะ ผมอยากนอน ผมเริ่มง่วงนิดหน่อยแล้ว”

หู่จือผ่านการเดินทางมาอย่างทุลักทุเล ไม่ได้นอนหลับดี ๆ เลย ตอนนี้เมื่อกลับมาถึงบ้านและได้โถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลินเซี่ย เขาก็รู้สึกมั่นคงมากจนอยากนอน

“ได้จ้ะ”

หู่จือจับแขนหลินเซี่ยไว้ไม่ยอมปล่อยมือ “แม่ฮะ เข้าไปนอนกับผมนะ”

หัวใจของหลินเซี่ยแทบหลอมละลายเมื่อได้ยินเสียงออดอ้อนผะแผ่ว

จางเหมยยังไม่ยอมถอยกลับไป ในฐานะแม่ หลินเซี่ยพอจะเข้าใจได้ว่าจางเหมยรู้สึกสูญเสียเมื่อเห็นฉากนี้อย่างไรบ้าง

แต่หู่จือไม่รู้ประสบการณ์ชีวิตของเขา และไม่รู้จักจางเหมยด้วย

เรื่องทั้งหมดนี้ควรตำหนิใครกัน?

เด็กถูกแม่ใจร้ายทอดทิ้งเมื่อเขาอายุได้หนึ่งขวบ ภาพบาดตาบาดใจตรงหน้าถือเป็นราคาที่หล่อนต้องจ่ายให้กับการกระทำของตัวเอง

หู่จืออ้อนขอให้เธอไปนอนด้วยกัน ดังนั้นหลินเซี่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพาเขากลับเข้าห้อง

“เสี่ยวจาง คุณควรกลับไปได้แล้ว”

หลินเซี่ยไม่สามารถอุ้มหู่จือได้ ดังนั้นเฉินเจียเหอจึงอุ้มเขาขึ้นมาแทน พาสองแม่ลูกกลับไปที่ห้องนอน

ก่อนที่หู่จือจะจากไปพ้นสายตา เขาโน้มศีรษะซบเอนไปบนไหล่ของเฉินเจียเหอพลางมองกลับไปที่จางเหมย

ท่าทางนั้นทำให้จางเหมยไม่สามารถระงับสติอารมณ์ได้อีกต่อไป

“ลูก ลูกชายของแม่”

หู่จือผล็อยหลับไปแล้ว ระหว่างนั้นเฉินเจียเหอเดินเร็วขึ้นมาก ผลุบเข้าห้องนอนอย่างรวดเร็วและปิดประตู

จางเหมยไม่สามารถควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ ต้องการจะตามไปตะครุบเขา

แต่ถูกเซี่ยไห่คว้าตัวเอาไว้ก่อน

เขามองจางเหมยด้วยสีหน้าเฉียบขาด พูดว่า “จางเหมย อย่าให้มันมากเกินไป”

“นั่นลูกชายฉันนะ ลูกชายที่ฉันอุ้มท้องมาตั้งสิบเดือน ฉันอยากให้เขารู้จักฉัน อยากให้เขารู้ว่าฉันต่างหากที่เป็นแม่แท้ ๆ ของเขา”

จางเหมยสูญเสียการควบคุมอารมณ์ไปโดยสิ้นเชิง เซี่ยไห่ต้องคว้าตัวหล่อนมาเขย่า จ้องหน้าหล่อนเขม็งเพื่อเตือนว่า “อย่าทำอะไรโง่ ๆ ถ้าหู่จือรู้ความจริงเกี่ยวกับภูมิหลังของตัวเขาเองขึ้นมาจริง ๆ คิดว่าเขาจะยอมรับเธอเป็นแม่เหรอ? ต่อให้เขาจะเต็มใจไปอยู่กับเธอก็เถอะ คนอย่างเธอจะช่วยให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ไหม? ฉันว่าเธอน่ะไม่มีกำลังพอแม้แต่จะเลี้ยงตัวเองได้ด้วยซ้ำ แล้วจะเอาปัญญาที่ไหนเลี้ยงลูก? ดูพวกเราทุกคนที่อยู่ตรงนี้สิ เราทุกคนเป็นญาติของหู่จือ ทุกคนปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นแก้วตาดวงใจน้อย ๆ ถ้าเขาตามเธอไป เธอจะมอบสิ่งเหล่านี้ให้เขาได้หรือเปล่า? ขนาดอาหารและเสื้อผ้าที่เป็นปัจจัยขั้นพื้นฐานเธอยังหาไม่ได้เลย”

จางเหมยเงียบไปหลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่

ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่จางเหมยด้วยสีหน้าขุ่นเคือง พูดว่า “ทันทีที่เธอทิ้งเขาและหนีไป เธอก็สูญเสียคุณสมบัติในการเป็นแม่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ตอนนี้อยู่ดี ๆ เธอจะมาชุบมือเปิบเอาไปดื้อ ๆ พวกเราไม่มีทางยอมแน่ หู่จือก็ไม่มีวันไปกับเธอเหมือนกัน เธอคงเห็นเต็มสองตาแล้วว่าครอบครัวพวกเขาสามพ่อแม่ลูกมีความสุขกันแค่ไหน เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบยังไง เธอกล้าดียังไงจะพาเขาไปลำบากร่วมกับตัวเอง?”

จางเหมยแสดงความคิดของตัวเองอีกครั้ง “ฉันไม่ได้อยากพาเขาไปอยู่ด้วย แต่ฉันแค่อยากให้ลูกรู้ว่าฉันเป็นแม่แท้ ๆ ของเขา ฉันอยากให้เขารู้ว่าฉันยังมีตัวตนอยู่”

เซี่ยไห่แสดงทัศนคติที่หนักแน่นเช่นกัน “ไม่ได้ เรื่องนี้สร้างผลกระทบมากเกินไป ถ้าหู่จือรู้ว่าเธอยังมีตัวตนอยู่ เราก็ต้องเล่าเรื่องพ่อแท้ ๆ ของหู่จือให้เขาฟังเหมือนกัน และบอกความจริงให้เด็กรู้ว่าเจียเหอไม่ใช่พ่อผู้ให้กำเนิดของเขา คิดว่าหลังจากนั้นเขาจะรับความจริงได้แค่ไหน?”

เด็กชายยังเด็กมาก ถ้าเขารู้ว่าเฉินเจียเหอไม่ใช่พ่อแท้ ๆ มันจะเป็นอันตรายต่อการเติบโตของเขาอย่างมหาศาล ประการแรก เขาจะกลายเป็นคนเก็บตัว ปลีกวิเวก และรู้สึกไม่มั่นคงเมื่ออยู่ในครอบครัวนี้

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เมื่อหลินเซี่ยตั้งท้อง หู่จือจะต้องรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนนอกอย่างไม่ต้องสงสัย

เป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กที่ต้องเผชิญความจริงหนักหน่วงขนาดนั้นตั้งแต่อายุยังน้อย

ถ้าจางเหมยไม่ทอดทิ้งหู่จือไปตั้งแต่แรก ทุกคนในที่นี้ก็คงยังมีสถานะเป็นอาของหู่จือ ทั้งยังจะคอยดูแลพวกเขาสองแม่ลูกให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

แต่หล่อนตัดสินใจเลือกแบบนั้นไปแล้ว หู่จือกลายเป็นลูกชายของเฉินเจียเหอมาห้าปี เวลานี้ถ้าเขาได้ยินว่าอีกฝ่ายไม่ใช่พ่อแท้ ๆ แต่พ่อแท้ ๆ ของเขาเสียชีวิตไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา?

เหนือสิ่งอื่นใด เด็กคนนั้นทำอะไรผิด ถึงสมควรได้รับสิ่งนี้?

ทันใดนั้น เฉินเจียเหอปิดประตูห้องนอนแล้วเดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น

ครั้นได้ยินจางเหมยพูดว่าหล่อนต้องการเจอหู่จือ ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

เขาพูดกับจางเหมยว่า “สำหรับประสบการณ์ชีวิตของหู่จือ ผมจะบอกความจริงกับเขาแน่ในตอนที่เขาอายุได้สิบแปดปี จากนั้นผมจะพาเขาไปที่หลุมศพของผู้บัญชาการกองร้อยเพื่อเคารพเขาในฐานะพ่อ”

“ส่วนคุณ ถึงวันนั้นถ้าหู่จือได้รู้ความจริง เขาต้องถามหาคุณโดยปริยาย ไม่ว่าเขาจะอยากยอมรับคุณหรือเปล่า นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจส่วนตัวของเขา”

เฉินเจียเหอพูดทุกสิ่งที่เขาอยากพูดแล้ว เขามองไปที่จางเหมย และพูดเสียงขรึมว่า “ผมพูดจบแล้ว ทีนี้คุณออกไปได้แล้ว”

“จางเหมย คุณอย่าเห็นแก่ตัวเกินไปหน่อยเลย คุณกล้าทอดทิ้งลูกวัยหนึ่งขวบเพื่อไปแต่งงานกับคนอื่น ตอนนี้พอครอบครัวไปไม่รอดถึงบากหน้ากลับมาหวังจะให้ลูกชายนับถือเป็นแม่ การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลย คนเป็นแม่ต้องคิดถึงลูกก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ใช่แค่เพื่อสนองตัวเองอย่างเดียว หู่จือเป็นเด็กฉลาด ถ้าเขารู้ว่าคุณทิ้งเขาไปตั้งแต่ตอนที่เขายังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาจะไม่มีวันให้อภัยคุณอย่างแน่นอน”

คุณแม่เซี่ยมองไปที่จางเหมยซึ่งดวงตาบวมเป่งจากการร้องไห้ นางเองก็เป็นแม่คน แน่นอนว่าทนมองไม่ไหวจริง ๆ จึงมองไปที่จางเหมยแล้วพูดว่า “ไว้ฉันจะลองโน้มน้าวเจียเหอดู ตอนที่เขาบอกความจริงกับหู่จือเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของเขา ฉันจะขอให้เขาไม่บอกเด็กว่าเธอเป็นฝ่ายทอดทิ้งเขาไป แต่จะอ้างเหตุผลว่าเวลานั้นเธอประสบปัญหาจนไม่สามารถเลี้ยงดูเขาได้ เจียเหอเลยพาเขามาเลี้ยงดูเองเพราะเห็นแก่พ่อผู้ให้กำเนิดของหู่จือ ถ้าเธอแก่ตัวลง หู่จือจะต้องไปแสดงความกตัญญูแน่ ฉันขอรับปาก แต่อย่ามารังควานเด็กในตอนนี้ ปล่อยให้เขาอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ที่ดี ในอนาคตเด็กจะต้องประสบความสำเร็จเหนือใคร เธอไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเหรอ?”

ในที่สุดคำพูดของคุณแม่เซี่ยก็สามารถทำให้จางเหมยยอมเชื่อได้

สิ่งที่หล่อนกลัวที่สุด คือการกลัวถูกลูกเกลียดถ้าเขารู้ว่าตนเป็นคนทิ้งเขาไป

แต่ฟังจากสิ่งที่คุณแม่เซี่ยพูด หู่จือจะได้รับรู้ประสบการณ์ชีวิตที่แท้จริงของเขาเมื่อเขาอายุสิบแปด กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเด็กจะไม่รู้ว่าหล่อนมีตัวตนอยู่ จนกว่าเขาจะอายุครบสิบแปดปี

ช่วงเวลาการรอคอยนั้นยาวนานเกินไป

หล่อนกลัวว่าตัวเองอาจอยู่ไม่ถึงจนกว่าจะถึงเวลานั้น

“พี่สะใภ้ เพื่อเห็นแก่ผู้บัญชาการกองร้อย ผมจะเรียกคุณว่าพี่สะใภ้อีกครั้ง หวังว่าจากนี้ไปคุณจะไม่เข้าไปรบกวนชีวิตอันสงบสุขของหู่จืออีก ปล่อยให้เขาเติบโตอย่างมีความสุข และมีทุกอย่างที่ดีพร้อม พวกเราขอให้คุณแสวงหาความสุขเจออีกครั้ง”

คำพูดประโยคสุดท้ายของเฉินเจียเหอเหมือนเป็นการตบหน้าจางเหมยเสียงดังฉาดใหญ่ ผิวหน้าพลันร้อนผ่าวชาดิกไปทั้งหน้า

ขอให้หล่อนแสวงหาความสุขเจอ…

หึ คนอย่างหล่อนสมควรได้พบเจอกับความสุขด้วยเหรอ?

หล่อนแต่งงานใหม่ก็จริง แต่ทั้งสองมีอันต้องหย่าร้างกันเพราะอีกฝ่ายไม่พอใจที่หล่อนไม่สามารถมีลูกให้เขาได้ ตอนนี้หล่อนต้องกัดฟันหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นคนล้างจานในร้านอาหารเท่านั้น หล่อนจะทำอะไรเพื่อให้ตัวเองมีความสุขได้บ้าง?

จะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ลูกอยู่อย่างสุขสบาย?

จางเหมยลดสายตาลงเล็กน้อย ใบหน้ามืดมน ตั้งท่ากำลังจะจากไปด้วยอารมณ์หนักหน่วง

หล่อนเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ก่อนจะหันหลังกลับโดยไม่ยอมแพ้ เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยพลางมองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง “ถ้าอย่างนั้น ฉันขอมาเจอเขาเป็นครั้งคราวได้ไหม? ฉันสัญญาว่าจะไม่รบกวนชีวิตลูก และจะไม่รบกวนชีวิตพวกคุณด้วย จะไม่ปากมากพูดเรื่องไร้สาระใด ๆ ขอมองเขาจากที่ไกล ๆ เท่านั้นได้ไหม?”

จางเหมยยกมือขึ้นคว้าแขนของเฉินเจียเหอ มองดูเขาพร้อมกับร้องไห้และขอร้องอ้อนวอน “นี่ถือเป็นคำขอครั้งสุดท้ายของฉัน เสี่ยวเฉิน โปรดให้สัญญากับฉันได้ไหม?

“เห็นแก่พ่อของหู่จือที่เคยเสียสละชีวิตแทนสหายร่วมรบหลายคน ขอให้จากนี้ฉันได้มีโอกาสเห็นเขา ขอให้ฉันได้มีส่วนร่วมในทุก ๆ การเจริญเติบโตของเขา ฉันสัญญาว่าถ้าได้เฝ้ามองเขา ในอนาคตฉันจะไม่มีวันทำอะไรที่หุนหันพลันแล่นเหมือนอย่างวันนี้อีก และจะไม่พูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าลูกของฉันด้วย”

พอจางเหมยกล่าวถึงบิดาผู้ให้กำเนิดของหู่จือซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการกองร้อยอีกครั้ง เฉินเจียเหอก็ไม่สามารถปฏิเสธหล่อนได้อีกต่อไปไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

เขาจ้องมองจางเหมยด้วยสายตาเย็นชาเป็นเวลานาน จากนั้นจึงค่อย ๆ เผยอริมฝีปากพูด

“ได้ ผมให้สัญญากับคุณ และหวังว่าคุณเองก็จะรักษาคำพูดเหมือนกัน”

หลังจากได้รับคำสัญญายืนยันจากปากของเฉินเจียเหอ ในที่สุดจางเหมยก็พึงพอใจ กล่าวขอบคุณไม่หยุดปาก

“จากนี้ไป ในวันที่ 15 ของทุกเดือน ถ้าคุณโทรหาผม ผมจะนัดหมายให้คุณไปเฝ้าดูหู่จือจากที่ไกล ๆ แต่โปรดจดจำคำสัญญาของตัวเองเอาไว้ให้ดี”

เฉินเจียเหอทิ้งข้อมูลการติดต่อของตัวเองไว้ให้จางเหมย จากนั้นจางเหมยก็จากไป

หลินเซี่ยนอนไม่หลับเลยในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา พูดให้ถูกคือเธอไม่ได้นอนหลับสนิทมากนัก ในเวลานี้หู่จือกลับมาอยู่ในอ้อมแขนของเธอแล้ว เธอกอดเขาเอาไว้ สองแม่ลูกชายผล็อยหลับไปเคียงข้างกันด้วยความสงบสุข

เมื่อเจอตัวเด็กแล้ว หัวใจของทุกคนก็โล่งไปตาม ๆ กัน

แต่พวกค้ามนุษย์ที่ไร้ศีลธรรมเหล่านั้น พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยให้อีกฝ่ายมีช่วงเวลาที่ดีอย่างแน่นอน

ผู้เฒ่าเฉินบอกว่าทุกคนว่าอยากกลับเข้าห้องไปพักผ่อน แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว เขาก็ยกหูโทรศัพท์บ้านขึ้นมาแล้วกดโทรออก

“เสี่ยวจ้าว ช่วงนี้เมืองไห่เฉิงของเราไม่มีความปลอดภัยเอาเสียเลย สำนักสันติบาลที่นายปกครองอยู่รักษาความปลอดภัยสาธารณะประสาอะไรกัน?”

“ฉันเจอเหลนชายของฉันแล้ว กลายเป็นหลานชายคนโตของฉันและคนอื่น ๆ ที่สะกดรอยออกไปรับเด็กกลับมาด้วยตัวเอง”

ดวงตาอันแหลมคมของผู้เฒ่าเฉินหรี่ลงเล็กน้อย “ถึงเวลาที่นายต้องออกคำสั่งให้มีการปราบปรามอย่างเด็ดขาดแล้ว การลักพาตัวเด็กไปค้าถือเป็นอาชญากรรมร้ายแรง จำไว้ว่าอย่าประมาทในการจัดการคดีนี้”

“ผมเข้าใจแล้วครับ อดีตผู้บัญชาการ”

หลังจากวางสาย ผู้เฒ่าเฉินถึงเดินกลับเข้าห้อง

เฉินเจียวั่งกำลังจะเดินลงมาชั้นล่างเพื่อดื่มน้ำ เมื่อได้ยินปู่ของเขาคุยโทรศัพท์อยู่ตรงโถงทางเดิน เขาก็ต้องประหลาดใจมาก ไม่ก้าวลงไปชั้นล่างจนกว่าชายชราจะวางสายและกลับเข้าไปในห้อง

ดูเหมือนว่าหู่จือจะเป็นคนเดียวในโลกที่ทำให้ปู่ของเขายอมฝ่าฝืนหลักการอันเข้มงวดของตัวเอง ถึงขนาดโทรไปทักทายอดีตลูกน้องของเขาเป็นการส่วนตัว

ครั้งนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความเอาจริงของชายชราอย่างชัดเจน

พวกไร้มนุษยธรรมเหล่านั้นคงไม่พ้นโดนรวบเข้าไปกินข้าวในเรือนจำจากนี้เป็นต้นไป

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท