บทที่ 352 น้อยนักไม่หวาดหวั่น-6
เพียงแต่จิ้งเหยาสงสัยว่าในตะกร้าของนางบรรจุสิ่งใดไว้
เหตุใดจึงมีกลิ่นคาวเลือดฉุนถึงเพียงนี้
“ศีรษะคน!”
จู่ๆ เกาเหรินก็เอ่ยปากพูด
“ในตะกร้าเป็นศีรษะคน!
เกาเหรินอธิบายอีกรอบ
จิ้งเหยาพยักหน้า
เขาเห็นคนตายมาเยอะแล้ว
ศีรษะคนก็เช่นกัน
ทุ่งหญ้ามีธรรมเนียมหนึ่งว่า หลังจากยกทัพปราบแล้วจะตัดศีรษะศัตรูโยนเข้ากองไฟสักการะเซ่นไหว้วีรบุรุษบรรพบุรุษ
ใช้วิธีเช่นนี้วิงวอนให้ปกป้องคุ้มครองในภายภาคหน้า
แต่เถ้าแก่ร้านและคนงานดูสงบนิ่งไม่เปลี่ยนสีหน้าใดๆ
สิ่งนี้ทำให้จิ้งเหยารู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก…
แม้ว่าเมืองเซี่ยถงจะตกอยู่ความโกลาหล
แต่คนทั่วไปเมื่อได้ยินว่ามีศีรษะคนในร้านของตนก็ควรจะมีสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดไม่ใช่หรือ
“รอนางตื่นขึ้นมา อย่าลืมขอให้นางจ่ายเงินค่าห้องสองเท่าด้วย”
เถ้าแก่ร้านชี้แม่นางน้อยแล้วพูดกับคนงาน
“เหตุใดจึงต้องเก็บสองเท่า”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
เกาเหรินยิ้มก่อนจะแย่งเถ้าแก่ร้านพูด
จิ้งเหยาไม่คาดคิดมาก่อน…
ประโยคนี้ทำให้เขาดูแคลนชาวอาณาจักรอ๋องไปอีกสามส่วน
จิ้งเหยากินไม่อิ่มท้อง
แต่อาหารตรงหน้าขาดเกลือและน้ำมัน ทำให้เขาไม่อยากอาหาร
ปรากฏว่าเขายังไม่ทันได้บันดาลโทสะ
ผู้ใต้บัญชาผู้หนึ่งเมามายเล็กน้อย
หยิบจานอาหารบนโต๊ะแล้วสาดใส่เถ้าแก่ร้าน
ผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้งเหยาสบถด่า
สิ่งที่พูดเป็นภาษาทุ่งหญ้า
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาคัดเลือกและฝึกฝนอย่างพิถีพิถัน
คุ้นเคยกับภาษาอาณาจักรห้าอ๋องมานานแล้ว
แต่เพียงได้ดื่มมากหน่อย ประกอบกับอาหารจานนี้รสชาติไม่ได้เรื่องจริงๆ จึงเผยพิรุธออกมาอย่างไม่อาจเลี่ยง
จิ้งเหยาได้ยินเข้าหู แต่ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
หากอธิบายเป็นคำพูดในยามนี้ อยากปกปิดกลับกลายเป็นเปิดเผย ยิ่งปิดยิ่งเด่นชัดเท่านั้น
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งกว่าคือ เถ้าแก่ร้านคว้าจับจานที่ลอยมาไว้ในมือได้อย่างมั่นคง
แม้แต่ผักใบที่ลอยกระจายยังถูกเขาใช้จานรับมันไว้จนหมด
ไม่ร่วงหล่นบนพื้นแม้แต่นิดเดียว
“นายท่านผู้นี้ อาหารรสชาติไม่ถูกปาก ท่านตำหนิติเตียนได้! แต่หากจานนี้แตกแล้วจะต้องจ่ายเงินชดใช้!”
เถ้าแก่ร้านกล่าว
จานเครื่องเคลือบวางบนโต๊ะไม้
ทว่าไม่เกิดเสียงกระทบใดๆ แม้แต่น้อย
ความวุ่นวายนี้ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาผู้นั้นสร่างเมาไปสามส่วน
“ผู้ที่เจ้ามาพาด้วยนั้นช่างไร้ประโยชน์ไปหน่อย…”
เกาเหรินใช้ปราณกระซิบ
มีเพียงจิ้งเหยาเท่านั้นที่ได้ยินวาจานี้
แต่จิ้งเหยาไม่ได้ตอบ
เขากลับนำปลาบนโต๊ะตนที่ยังไม่ได้แตะตัวนั้นยกไปวางเบื้องหน้าเกาเหริน
“เจ้าก็เป็นผู้ที่โตมากับริมน้ำ คงไม่มีปัญหาเรื่องกินปลากระมัง”
จิ้งเหยากล่าว
เสียงปราณกระซิบแว่วมาเช่นเดียวกัน
เพียงแต่เกาเหรินได้ยินคำพูดประโยคนี้ สีหน้าพลันเย็นชาและเคร่งขรึมทันใด!
แม้แต่ตะเกียบในมือยังแข็งค้างอยู่กับที่เล็กน้อย
เขาไม่เคยบอกเรื่องใดๆ ของตนกับจิ้งเหยาเลย
จิ้งเหยารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้ที่โตมากับริมน้ำ
ทว่าหลังจากแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง เกาเหรินหันกลับมายิ้มแย้ม
“ขอบคุณท่านอาวุโส!”
เกาเหรินถือตะเกียบและประสานมือกล่าว
เขาคำนวณไตร่ตรองทุกสิ่งแล้ว แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าจิ้งเหยาจะสืบข้อมูลของตน
ยิ่งไม่คาดคิดว่าเขาจะสืบข้อมูลได้ละเอียดชัดเจนเพียงนี้
ดูท่าแล้วตนไม่อาจดูแคลนชาวทุ่งหญ้าเหล่านี้จริงๆ
ว่ากันว่าพวกเขาสะเพร่าเลินเล่อ พบเจอปัญหาใช้กำลังรุนแรงเข้าแก้ไขเท่านั้น
แต่กลับมองข้ามจุดสำคัญไปหนึ่งสิ่ง นั่นคือความเด็ดเดี่ยว
นิสัยเด็ดเดี่ยวที่ชาวทุ่งหญ้ามีมาแต่กำเนิด หาใช่สิ่งที่ชาวอาณาจักรห้าอ๋องจะไปเปรียบเทียบได้
ทว่านิสัยที่เด็ดเดี่ยวนั้นหลายครั้งมักจะหักลบกลบข้อบกพร่องเรื่องความคิดไม่รอบคอบมากพอได้
ในบรรดาชาวทุ่งหญ้าความคิดของจิ้งเหยาละเอียดรอบคอบไม่เป็นสองรองใคร
ประกอบกับบุคลิกที่เด็ดเดี่ยวของเขานี้ ยังจะมีเรื่องใดในโลกที่เขาทำไม่สำเร็จอีกหรือไม่
ครั้งแรกไม่สำเร็จก็ครั้งที่สอง
ไม่มีทางไร้ขีดจำกัด
ย่อมต้องลองอีกครั้งเสมอ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การใช้วิธีที่ดูเหมือนจะงุ่มง่ามแต่กลับรู้แม้กระทั่งเรื่องที่เกาเหรินเติบโตมากับริมแม่น้ำเช่นนี้
นี่เป็นส่วนที่เหนือความคาดหมาย
เพียงแต่เกาเหรินรู้สึกว่าเรื่องราวชักจะเริ่มน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
หากจิ้งเหยาเป็นเพียงคนโง่เขลา ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ จะไม่น่าเบื่อเกินไปหรือ
เช่นนั้นตอนนี้ก็ใช้ตาชั่งเปรียบเทียบได้ง่ายขึ้น
ฝั่งหนึ่งเป็นจำนวนสินค้าที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่วนอีกฝั่งหนึ่งเป็นแต้มต่อที่สะสมอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ทั้งสองฝั่งล้วนตามหาจุดสมดุล
เช่นเดียวกับการชักเย่อโดยไม่หยุดพักเช่นนี้
การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยใดๆ ล้วนสามารถทำให้ฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้หมดหน้าตักได้
การต่อสู้ดิ้นรนเช่นนี้เต้นเร่าๆ อยู่ริมหน้าผา ทำให้เกาเหรินสุขใจเต็มเปี่ยม
“ผู้ใดบอกว่าอาหารนี่ไม่อร่อย”
เสียงสตรีดังก้องมาจากโรงด้านหลัง
จิ้งเหยาหันหน้าไป เห็นเพียงม่านที่โรงด้านหลังปลิวไสวไร้แรงลม
สตรีอาภรณ์สีเหลืองผู้หนึ่งยืนท้าวเอวอยู่ตรงนั้น
“นางเป็นแม่ครัวประจำร้านน่ะ”
เถ้าแก่ร้านกล่าว
จิ้งเหยาพินิจพิเคราะห์ด้วยความสงสัยใคร่รู้
คนครัวหลากหลาย
น้อยนักจะเห็นแม่ครัว
คิดไม่ถึงว่าร้านแห่งนี้จะให้แม่ครัวทำอาหาร
อันที่จริงหากกล่าวเพียงทักษะมีดและการใช้ไฟ แม่ครัวผู้นี้ฝีมือไม่เลวอย่างยิ่ง
เพียงแต่น้ำมันและเกลือน้อยไปหน่อย ลิ้มรสแล้วรสชาติจืดชืดยิ่งนัก…
แต่นี่จะตำหนินางไม่ได้
“คนของข้าไม่รู้กฎเกณฑ์ ล่วงเกินแล้ว!”
จิ้งเหยากล่าว
“เจ้าอยากกินสิ่งใด”
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองแผดเสียงถาม
ดูท่าแล้วหากวันนี้ไม่ชมนางว่าอร่อย เห็นทีจะผ่านพ้นไปไม่ได้…
แต่ว่าสตรีส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้
แม้ว่าการทำอาหารจะเป็นอาชีพของแม่ครัวก็ตาม
แต่หากสตรีผู้หนึ่งทำอาหารแล้ววางตรงหน้าเจ้า เจ้าทั้งไม่กินและไม่ชมเชย เช่นนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการแทงนางแรงๆ ด้วยมีดตั้งไม่รู้กี่เท่า
โดยเฉพาะสตรีเช่นแม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองผู้นี้ที่มั่นใจในฝีมือของตนเองยิ่งนัก
“ได้ทั้งสิ้น”
จิ้งเหยาครุ่นคิดแล้วกล่าว
“ไร้ผักไร้เนื้อ จะกินขนมเปี๊ยะหรือไม่”
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองเอ่ยถาม
“กิน”
จิ้งเหยากล่าวพลางพยักหน้า
สตรีอาภรณ์สีเหลืองหันหลังกลับไปที่โรงด้านหลัง
แต่ไม่ได้ปล่อยม่านประตูลงมา
นางล้างมือ
ม้วนพับแขนเสื้อขึ้นจนถึงข้อศอก
เผยให้เห็นสองท่อนแขนที่ไม่ขาวเนียนทว่าแข็งแรงยิ่งนัก
แป้งมีสำเร็จรูปอยู่แล้ว
ใช้กะละมังเหล็กใบใหญ่ตักออก
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองชะโงกศีรษะออกมามองห้องโถงอีกครั้ง
ปากก็บ่นพึมพำ
ราวกับกำลังนับจำนวนกลุ่มผู้ร่วมเดินทางจิ้งเหยาว่ามีเท่าใด
หลังจากนับจำนวนคนเรียบร้อย นางใช้มือหั่นแป้งก้อนนั้นแบ่งเป็นครึ่งเล็กๆ วางบนเขียงแล้วเริ่มนวด
ท่าทางคล่องแคล่วอย่างยิ่ง
นวดคลึงไปสักพักจึงทาน้ำมันบนฝ่ามือเล็กน้อย
นางบีบแป้งก้อนกลมในมือจนแบนและกลายเป็นรูปร่างขนมเปี๊ยะหนึ่งชิ้น
แต่ขนมเปี๊ยะชิ้นนี้ไม่ใหญ่นัก
ดูไม่พอสำหรับกินหนึ่งคนด้วยซ้ำ
ตอนนี้เอง แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองจึงหยุดมือ
โรยแป้งดิบอีกเล็กน้อยบนฝ่ามือของตน จากนั้นออกแรงทุบขนมเปี๊ยะอย่างต่อเนื่อง
แม้ขนมเปี๊ยะนี้จะชิ้นเล็ก แต่ความเหนียวนั้นเป็นเลิศ
ทุบตีบนเขียงจนเกิดเสียงดังอื้ออึง
ราวกับเสียงหมัดกระแทกบนแผ่นประตูไม้
ทุบไม่หยุดเช่นนี้จนขนมเปี๊ยะชิ้นนั้นกลายเป็นแท่งและยาวมากขึ้นเรื่อยๆ
ครั้นเห็นว่ากำลังจะผละมือออก แต่แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองยังคงกดข้อมือลงอย่างใจเย็น จากนั้นหยุดออกแรงดัน
ยามนี้ก้อนแป้งมีรูปร่างเป็นแท่งยาวขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า
“ขออภัยเถ้าแก่ร้านที่ทำให้โต๊ะของท่านสกปรกเสียแล้ว…”
ไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เสียงแม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองทุบแป้งดังเกินไปหรือไม่ แม่นางน้อยที่เมาฟุบอยู่บนโต๊ะกลับตื่นขึ้นมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
ทั้งยังมีรอยแดงบนใบหน้าอีกด้วย
“ไม่เป็นไร สกปรกก็เพียงเช็ดให้สะอาด”
เถ้าแก่ร้านยิ้มและโบกมือกล่าว
“เจ้าจะกินขนมเปี๊ยะหรือไม่”
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองยื่นหน้ามาเอ่ยถาม
ทว่ากลับถามแม่นางน้อยที่เพิ่งตื่นขึ้นมาผู้นี้
แม่นางน้อยลูบคลำขนมเปี๊ยะหนึ่งแผ่นที่ยังเหลืออยู่ในอ้อมแขนของตนจากนั้นพยักหน้า
แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองเห็นนางพยักหน้าจึงบิดแป้งชิ้นเล็กๆ จากอ่างใบใหญ่อีกครั้ง
จากนั้นนำมารวมกับแท่งยาวบนเขียง
การเคลื่อนไหวต่อมาดูอ่อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด
เทียบกับก่อนหน้านี้ได้ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
หลังจากรอแป้งก้อนใหม่ผสมเข้ากันได้ที่แล้ว แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองจึงประสานฝ่ามือเข้าด้วยกัน
แป้งก้อนยาวนี้แบ่งออกเป็นหลายท่อน
จำนวนไม่มากไม่น้อย พอดีกับจิ้งเหยาและผู้ร่วมเดินทางรวมถึงแม่นางน้อยผู้นั้นด้วย
“เจ้าชอบกินขนมเปี๊ยะหรือไม่”
แม่นางน้อยเอ่ยปากถาม
จิ้งเหยาพยักหน้า
แป้งเป็นอาหารหลักของทุ่งหญ้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ไม่เพียงแค่ทุ่งหญ้า ทั่วทั้งทางเหนือก็เป็นเช่นนี้
ทางใต้น้ำมาก ข้าวเปลือกอุดมสมบูรณ์
เพียงแต่ชาวทุ่งหญ้าไม่ได้มีนิสัยทำไร่ทำนามาแต่ไร
นอกจากเนื้อสัตว์แล้ว
สิ่งอื่นๆ ที่เหลือหากไม่ซื้อที่ท่าเรือติดต่อค้าขายกัน ก็จะปล้นชิงยามที่บุกเข้าชายแดนอาณาจักรอ๋อง
“ข้าก็ชอบ!”
แม่นางน้อยกล่าว
จากนั้นหยิบชามขึ้นมา เอื้อมมือเข้าไปในไหแล้วเริ่มตักสุรา
จิ้งเหยามองแม่นางผู้นี้ด้วยความตะลึง
คิดไม่ถึงว่านางจะสร่างเมาได้รวดเร็วเพียงนี้
“เมื่อก่อนข้าไม่ดื่มสุรา…เมาหนึ่งครั้งก็สามารถดื่มได้มากขึ้นอีกหน่อย”
แม่นางน้อยกล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย
จิ้งเหยาไม่เอ่ยวาจา
ทว่าหันไปมองโรงด้านหลังแทน
เมื่อเทียบกับแม่นางน้อยที่อยู่ตรงหน้า แม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองที่ทำขนมเปี๊ยะยังดูน่าสนใจกว่าด้วยซ้ำ
“คืนนี้ฝนจะตก”
เกาเหรินกล่าว
“ฝนตกหรือ พวกเราพักในโรงเตี๊ยมแล้ว ฝนตกแล้วยังจะมีผลกระทบใดงั้นหรือ”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
“หลังจากฝนตกแล้ว ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูง แต่กลับข้ามยากกว่ายามปกติมาก”
เกาเหรินกล่าว
จิ้งเหยาไม่รู้เรื่องเหล่านี้
เขาไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน
แต่ปัญหาเหล่านี้เขาไม่เคยนำมันมาใส่ใจเลยสักครั้ง
ชาวทุ่งหญ้าเด็ดเดี่ยว ผู้นำหน่วยแห่งทุ่งหญ้ายิ่งเด็ดเดี่ยวมากกว่า
แม้จะถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดโหมไปหลายร้อยหน เขาก็จะดิ้นรนข้ามแม่น้ำอีกครั้งเป็นหนที่หนึ่งร้อยหนึ่ง
เกาเหรินกล่าวจบได้ไม่นานนัก
ข้างนอกฝนตกหนักกระหน่ำลงมา
โดยปกติควรจะมีลมพัดกระโชกก่อนจึงจะถูก
แต่ฝนในคืนนี้กลับไร้วี่แววแจ้งเตือนใดๆ
ไร้พายุ
ไร้เสียงฟ้าร้อง
ยิ่งไร้แสงฟ้าแลบ
เพียงเทกระหน่ำลงมาท่ามกลางเมืองเซี่ยถงและตกหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้
เสียงฝนตกกระทบหลังคาและพื้น กลบคำพูดของจิ้งเหยาและคนอื่นๆ ไปด้วย
ทว่าท่ามกลางเสียงฝนกระหน่ำกลับมีเสียงเรียบง่ายเป็นจังหวะวนซ้ำอย่างต่อเนื่อง
มันเป็นเสียงของแม่ครัวอาภรณ์สีเหลืองที่กำลังนวดแป้งทำขนมเปี๊ยะ
……………………………………………………….