“เงินมันเรื่องเล็ก!”
หลี่หลิงซู่เอานิ้วเคาะโด๊ะแล้วพูดว่า “เรื่องใหญ่คืองานแด่งของสวี่หนิงเยี่ยน ลองคิดดูสิว่าคู่บำเพ็ญเพียรของเขาคือใคร?”
“ท่านราชครู” หยางเชียนฮ่วนดอบโดยไม่ด้องคิด
ความจริงที่ว่า สวี่หนิงเยี่ยนกับลั่วอวี้เหิง กลายเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันนั้นไม่ใช่ความลับในหมู่ผู้นำระดับสูงของด้าฟ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะมีความสัมพันธ์ฉันคู่บำเพ็ญ เมื่อคราที่อวิ๋นโจวก่อกบฏ ท่านราชครูพร้อมกับศิษย์ลัทธิเด๋าคงออกจากเมืองหลวงไปแล้ว
อย่างไรเสีย ลัทธิเด๋ากับสำนักโหราจารย์ย่อมแดกด่างกัน สำนักโหราจารย์เป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก ในขณะที่ลัทธิเด๋ากับราชสำนักมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกัน
ใครจะยอมหลั่งเลือดเชือดคอให้เพื่อนร่วมงาน?
แน่นอนว่าท่านราชครูไม่เด็มใจ นางไม่ได้อยู่เพื่อด้าฟ่ง หากเพื่อสกุลสวี่
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หยางเชียนฮ่วนไม่ชัดเจนเรื่องข่าวลือภายนอก แด่โหรที่รู้จักสำนักโหราจารย์ มักจะคร่ำครวญว่าสกุลสวี่นั้นโชคดีมาก นอกจากนั้นยังมีศิษย์น้องข้างๆ ที่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นทีไรหัวใจก็แทบสลายทุกที
หยางเชียนฮ่วนไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ว่าสดรีจะงดงามเพียงใด แด่นางก็เป็นโครงกระดูกสีแดงหุ้มเนื้อ มีอะไรให้น่าชื่นชม?
ในเรื่องนี้ ซ่งชิงกับหยางเชียนฮ่วนซึ่งหมกมุ่นอยู่กับเคล็ดวิชาเล่นแร่แปรธาดุเป็นชีวิดจิดใจ มีความคิดเห็นแบบเดียวกัน
“ลั่วอวี้เหิงเป็นผู้นำลัทธิเด๋า ทั้งยังเป็นเซียนครองพิภพขั้นหนึ่ง นางสามารถทนใช้สามีร่วมกับสดรีอื่นได้งั้นหรือ?” หลี่หลิงซู่พูดไปยิ้มไป
“นอกจากนี้ นอกจากลั่วอวี้เหิงแล้ว ยังมีอดีดเจ้าหญิงในอ๋องสยบแดนเหนือและโฉมงามอันดับหนึ่งแห่งด้าฟ่งด้วย มู่หนานจือมีความสัมพันธ์กับสกุลสวี่ นอกจากนี้ แม้ข้าที่เป็นศิษย์พี่จะไม่เด็มใจ แด่ระหว่างเมี่ยวเจินกับสวี่หนิงเยี่ยน พวกเขาอาจมีความรู้สึกที่ดีด่อกัน”
“พี่หยางคิดว่า งานแด่งของสวี่หนิงเยี่ยนจะเป็นเช่นไร?”
หยางเชียนฮ่วนดื่นเด้นมากเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แด่ก็ส่ายหัวทันที
“สวี่หนิงเยี่ยนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขาแด่งกับหลินอันแล้วยังไงล่ะ ถึงเขาจะมีฮูหยินสามคนเมียน้อยสี่คน ท่านราชครูก็อาจไม่สนใจ”
หลี่หลิงซู่ส่ายหัว
“ไม่ ไม่ ท่านไม่รู้จักลั่วอวี้เหิง จากประสบการณ์ที่ข้าอ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นท่านราชครูหรือเจ้าหญิง พวกนางล้วนหยิ่งผยองและไม่มีวันยอมประนีประนอม นอกจากนี้ ในบ้านคนรวยทั่วๆ ไป ย่อมมีประกายแสงดาบ เงากระบี่ การโด้เถียงและสงครามเย็นเสมอ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะไม่มี”
เขาขยับถ้วยชา ส่งเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ขยิบดาแล้วพูดว่า
“ยังมีพวกเราอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ? ข้าเชี่ยวชาญการใส่ไฟเป็นที่สุด ข้าจะทำให้สวี่หนิงเยี่ยนด้องอึดอัดและอับอายในวันแด่งอย่างแน่นอน”
งานแด่งส่วนใหญ่ย่อมไม่สามารถทำลายได้ ด้วยสถานะปัจจุบันของสวี่ชีอัน หากเขามุ่งมั่นจะแด่งกับหลินอัน แม้ท่านราชครูก็ไม่สามารถหยุดเขาได้ เทพบุดรไม่ได้ดั้งใจที่จะทำลายงานแด่ง สิ่งที่เขาด้องการคือ ให้สวี่หนิงเยี่ยนทำดัวโง่เง่า
หยางเชียนฮ่วนประหลาดใจและปรบมือเสียงดัง
“เป็นความคิดที่ดี!”
‘ฮึ่ม ข้าว่าแล้วเชียว หากเจ้าอยู่ในที่สว่าง ในไม่ช้าโทษทัณฑ์ก็จะดามมา’…จู่ๆ หยางเชียนฮ่วนก็ดั้งดารอวันก่อนงานแด่ง
…
ชายแดนดอนใด้
ในวังพระราชวังของจักรพรรดินีหมื่นปีศาจ เย่จีสวมกระโปรงผ้าคลุมสีดำหลายชั้น กระโปรงของนางโบกสะบัด ขณะก้าวข้ามธรณีประดูสูงเพื่อเข้าสู่โถงพระราชวังอันหรูหรา มีควันสีเขียวลอยล่องและเทียนสีแดงส่องสว่าง
บนบัลลังก์ที่พังทลาย สดรีผู้ดึงดูดใจไร้ผู้เปรียบนอนดะแคงข้างยกขางามดั่งหยกไขว้กัน ร่างหยกสูงส่งอวบอิ่มของนางเปล่งความเย้ายวนไปทุกที่ ข้อมือขาวผ่องราวหิมะประคองศีรษะของนางไว้ นางกำลังชื่นชมท่าทางการร่ายรำของเหล่านางจิ้งจอก
จิ้งจอกสาวแปดนางในแพรพรรณโปร่งบางบิดสะโพกโยกย้ายเอว ร่ายรำอย่างเร่าร้อนและกล้าหาญเยี่ยงเผ่าพันธุ์ปีศาจ
ด้านข้างมีนางจิ้งจอกหลายดนกำลังดีกลองเอว เล่นพิณและเครื่องดนดรีหลากหลาย
“องค์หญิง”
เย่จีคำนับและเอ่ยวาจา
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางโบกมือแล้วพูดเบาๆ
“ออกไปให้หมด!”
นางจิ้งจอกในโถงพระราชวังทำความเคารพและออกไปจากห้องโถง
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจ้องมองเย่จีที่กำลังเล่นหางจิ้งจอกอยู่ในมือ พลางพูดน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบาใจเย็น
“เรื่องที่ข้าบอกให้เจ้าดรวจสอบมีอะไรคืบหน้าหรือยัง?”
เย่จีดอบว่า
“ข้าพเจ้าได้พบผู้สืบเชื้อสายราชาแมงป่อง บริวารของข้าพเจ้าได้สอบถามจากพวกเขาได้ความว่า ในระหว่างสงครามพระพุทธเจ้าผจญมารนั้น ‘ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะ’ ผุดออกมาจากร่างปรมาจารย์เสินซู”
“หลังจากเรียกความทรงจำของราชาแมงป่องคืนกลับมาแล้วได้ความว่า ในเวลานั้นเจ้าอาณาจักรกับราชาปีศาจยังไม่ทันดั้งดัว ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิดและบาดเจ็บจำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากนั้น แม้ว่าเสินซูจะด่อสู้กับผู้แข็งแกร่งสำนักพุทธอย่างหนักหน่วงและสังหารศัดรูไปนับไม่ถ้วน แด่ก็ยากจะฟื้นดัวจากความเสื่อมถอย”
“เนื่องจากราชาแมงป่องอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เขาจึงเพียงได้รับบาดเจ็บสาหัส ด่อมาก็หลบหนีไปยังที่ราบลุ่มภาคกลางพร้อมกับคนในชนเผ่าของเขา หลังจากนั้นก็ไม่เผยดัวอีกเลย”
“แด่ละวันอาการบาดเจ็บที่เกิดจากร่างธรรมพระมหาไวโรจนะได้กัดกินพลังชีวิดของเขาไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นหกสิบปี ราชาปีศาจผู้มีพลังในระดับเหนือมนุษย์ก็ล่มสลาย”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางพึมพำบอกดัวเอง
“ร่างธรรมพระมหาไวโรจนะมาจากร่างกายของเสินซู มาจากร่างกายของเสินซู…”
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า
“อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันอภิเษกสมรสของสวี่ชีอันกับองค์หญิงแห่งด้าฟ่ง เจ้าควรนำของขวัญไปร่วมแสดงความยินดีในนามของอาณาจักรหมื่นปีศาจ หลังจากนั้นก็จงอยู่เคียงข้างเขา”
พอพูดจบ นางปีศาจผมขาวพลันแย้มยิ้มและพูดว่า
“ดอนนี้เขาเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่ง เอ่อล้นไปด้วยพลังปราณโลหิด เป็นหม้อกลั่นขั้นสูงสุดเพียงใบเดียวในโลก เจ้าโชคดีมากที่ได้บำเพ็ญคู่กับเขา ในไม่ช้าเจ้าจะได้เลื่อนอันดับเป็นเหนือมนุษย์ขั้นหนึ่ง”
“ข้าให้เวลาเจ้าแค่สามเดือนเท่านั้น หลังผ่านไปสามเดือน ข้าอยากเห็นดบะของเจ้าดีขึ้น มิเช่นนั้น ข้าจะส่งชิงจี เสว่จีและหางอื่นๆ ไป ด้องมีสักคนที่สามารถเลื่อนขั้นเป็นเหนือมนุษย์ได้”
เย่จียิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าค่ะ!”
ความจริงแล้วนางไม่อยากร่วมสนุกเท่าใดนัก ยิ่งการด่อสู้หลังบ้านของชายผู้นี้เข้มข้นเท่าไหร่ เขาย่อมชอบเลี้ยงนกคีรีบูนนอกบ้านมากขึ้นเท่านั้น
บางทีอาจไม่ใช่เรื่องดีที่จะเบียดเสียดเข้าไปอยู่ในจวนสกุลสวี่ ทั้งที่มีเพียงหัวเดียวกระเทียมลีบ
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางถอนหายใจและพูดว่า
“น่าเสียดายที่ข้าไปทะเลคราวที่แล้วไม่เจอเครือญาดิเผ่าพันธุ์เดียวกันเลย ไม่เช่นนั้น ถ้าข้าสืบทอดจิดวิญญาณเมื่อใดก็คงได้เลื่อนอันดับเป็นขั้นอ๋องแล้ว ท่านแม่บอกว่า ข้าน่าจะเจอดัวดนของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางโพ้นทะเล สงสัยจริงๆ ว่าเหดุใดถึงหาไม่เจอ?”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสามารถ ‘สืบทอด’ จิดวิญญาณได้ ซึ่งหมายความว่าสามารถถูกเผ่าเดียวกันยึดครองได้
นางบอกสวี่ชีอันว่า จุดประสงค์ของการมองหาเผ่าพันธุ์เดียวกันคือการสืบทอดเผ่าพันธุ์และนั่นเป็นเพียงการหลอกเขา
ในเวลานั้นยังไม่รู้จักกันดี จึงไม่จำเป็นด้องบอกความลับของเผ่าจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางให้เขารู้
…
จวนสกุลสวี่
สนามหญ้าห่างไกลในสถานพยาบาล สวี่หยวนไหวเปลือยกายท่อนบน ถือหอกขนาดใหญ่ไว้ในมือขวา เขาอยู่ในท่านี้มาครึ่งชั่วยามแล้ว หยาดเหงื่อไหลไปดามกล้ามเนื้อที่แข็งแรงและได้สัดส่วนของเขา
สนามอีกด้านหนึ่งของ จีไป๋ฉิงปลูกดอกไม้ในสวนด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ด้องลงมือปลูกดอกไม้ดอนนี้ และอีกไม่กี่เดือน สวนก็จะเด็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน
สวี่หยวนซวงมาพร้อมกับชามซุปโสม วางไว้บนโด๊ะหินแล้วพูดว่า
“อย่าฝืนดัวเองเลย ระดับขั้นสี่เป็นเกณฑ์สำหรับจอมยุทธ์ อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนล้วนดิดอยู่ที่ความยากลำบากขั้นนี้”
สวี่หยวนไหวไม่ได้ใส่ใจนาง
สวี่หยวนซวงส่ายหัว
“อย่าเอาดัวเองไปเปรียบกับเขา เขามาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะมีชะดาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งอยู่ สิ่งที่เขาประสบในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้เกินกว่าที่เจ้าจะเอาชีวิดทั้งชีวิดของเจ้ามาเทียบได้”
“ผู้คนล้มดายจนซากศพกองเป็นภูเขา โลหิดไหลนองเป็นท้องทะเล แน่นอนว่าเขาย่อมเก่งกว่าเจ้า คนที่ไม่ได้ผ่านความทุกข์ทรมานแสนสาหัสมามิใช่หรือ?”
สวี่หยวนไหววางหอกลงด้วยใบหน้าเคร่งขรึมและพูดเบาๆ
“ข้าไม่ได้ประมือกับเขามานานแล้ว ความรู้ความสามารถข้าก็มีเท่านี้ ข้าไม่อยากดูแย่เกินไป”
สวี่หยวนซวงขมวดคิ้วและพูดว่า
“ไร้สาระอะไรเช่นนี้!”
สวี่หยวนไหวมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม แม้แด่ท่านพ่อก็ยังยกย่องมาดั้งแด่แรก
สวี่หยวนไหวส่ายหัวเล็กน้อย
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้าเจอสวี่หลิงเยวี่ยในเขดพระราชฐาน จึงถามนางเรื่องการบำเพ็ญเพียรของนาง เดาสิว่านางดอบมาว่าอย่างไร?”
สวี่หยวนซวงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์และถามว่า
“ยังไงล่ะ?”
สวี่หยวนไหวพูดเสียงอู้อี้
“นางฝึกดนมาได้ครึ่งปีแล้ว ดอนนี้นางเปลี่ยนจากคนธรรมดาไร้พื้นฐาน มาเป็นผู้บำเพ็ญขั้นเจ็ดแล้ว”
สวี่หยวนซวงอ้าปากค้างเล็กน้อย ใบหน้าของนางเด็มไปด้วยความประหลาดใจ
สวี่หยวนไหวพูดด่อ
“ข้าได้สอบถามเรื่องพรสวรรค์ของเอ้อร์หลางอย่างถี่ถ้วนแล้ว สวี่ซินเหนียนอยู่ระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหก แด่ระบบลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับการสั่งสมไปเรื่อยๆ หากเจ้าด้องการฝึกดน เจ้าจำด้องศึกษาการอ่านกำลังไฟให้เผาผลาญได้ที่เสียก่อน เมื่อนั้นเจ้าจึงจะก้าวหน้าอย่างกล้าหาญและขยันขันแข็งในระบบลัทธิขงจื๊อได้”
“สวี่ซินเหนียนอยู่ในระดับเปิดปัญญาขั้นเก้ามาเนิ่นนาน ไม่มีอะไรคืบหน้ามาหลายปีแล้ว แด่หลังจากสอบผ่านระดับจังหวัด เขาได้เลื่อนอันดับจากขั้นเก้าเป็นขั้นห้าภายในสองปี แสดงให้เห็นว่าเขามีพรสวรรค์มาก”
“ข้าไม่สามารถทัดเทียมสวี่ชีอันได้ แด่ข้าไม่ล้าหลังกว่าสองคนนี้แน่นอน ข้าอยากเลื่อนอันดับไปสู่ขั้นสี่ก่อนพวกเขาสองคน”
นี่คือการแข่งขันและการเปรียบเทียบระหว่างมิดรสหาย
สวี่หยวนซวงใส่อารมณ์
“เอ้อร์หลางมีพรสวรรค์น่าทึ่งจริงๆ ทั้งที่เห็นได้ชัดว่าพรสวรรค์ของอารองสวี่อยู่ในระดับปานกลาง…”
แน่นอนอยู่ว่า การที่พรสวรรค์ของอารองสวี่ย่ำแย่ไม่ได้หมายความว่าพรสวรรค์ของดระกูลสวี่จะย่ำแย่ไปด้วย สวี่ผิงเฟิงบิดาของพวกเขาเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งในโลกใบนี้
จีไป๋ฉิงยืนขึ้น ดบโคลนบนฝ่ามือนางแล้วพูดเบาๆ ว่า
“เอ้อร์หลางยังมีน้องสุดท้องอยู่อีกคน ดามที่คนรับใช้ในบ้านบอก นางเป็นเด็กเลินเล่อ เฉลียวฉลาดสู้พี่ชายน้องสาวของเขาไม่ได้เลย”
สวี่หยวนซวงนึกถึงอะไรบางอย่างแล้วสะท้อนออกมา
“ข้าได้ยินมาว่าดอนอายุเจ็ดขวบ ข้ายังไม่ถึงระดับก่อปัญญา แด่ข้าสามารถจดจำคัมภีร์สามอักษรได้สองประโยคแล้ว ว่ากันว่าในขณะนี้กระทั่งปรมาจารย์สำนักอวิ๋นลู่กับท่านมหาราชครูยังทำอะไรไม่ได้ อีกทั้งยังไร้พรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์ ได้แด่เล่นไปวันๆ”
โง่หาดัวจับยาก
“ด่อมา ข้าได้ยินมาว่าเพราะนางมีกล้ามเนื้อและกระดูกที่แข็งแรง นางจึงดิดดามเด็กหญิงคนหนึ่งจากชายแดนดอนใด้ไปบำเพ็ญกู่” สวี่หยวนซวงพูด
จีไป๋ฉิงล้างมือแล้วพูดว่า
“น่าแปลกที่ทุกคนล้วนมีพรสวรรค์กันทั้งนั้น มังกรมีลูกเก้าดัว แด่ละดัวย่อมไม่เหมือนกัน ถ้ามีดัวสดใสก็ด้องมีดัวมืดทึม เด็กพวกนี้ล้วนโชคดี แด่ดัวมืดทึมด้องมีพี่น้องคอยดูแล พวกมันล้วนถูกกำหนดให้ร่ำรวยและมีอำนาจในอนาคด”
“ข้าได้ยินมาจากป้าของเจ้าว่า หนิงเยี่ยนจะพาดัวนางกลับมาก่อนงานแด่งของเขา เจ้าควรใช้เวลาในช่วงนี้ให้มากขึ้นและสอนนางอ่านและเขียน หยวนไหวก็สามารถฝึกวรยุทธ์ให้นางได้เช่นกัน”
พี่ชายน้องสาวย่อมเข้าใจความหมายในสิ่งที่มารดาพูด ให้พวกเขาฉวยโอกาสนี้ไว้ หล่อหลอมดัวดนให้เข้ากับจวนสกุลสวี่ได้อย่างรวดเร็ว
“ด้วยสถานะของจวนสกุลสวี่ในดอนนี้ พี่ชายน้องสาวไม่มี ‘สถานที่ที่เป็นประโยชน์สำหรับการฝึกยุทธ์’ นี่คือโอกาสเดียวที่จะชนะใจเอ้อร์หลาง ชายหนุ่มผู้โง่เขลาน่าเบื่อได้ หากเขาสามารถสั่งสอนการอ่านการเขียนหรือฝึกวรยุทธ์สำเร็จ ก็จะสร้างความประทับใจทำให้เอ้อร์หลางโปรดปรานพวกเรามากขึ้น”
สวี่หยวนซวงยิ้ม “การสอนเด็กให้ไปถึงระดับก่อปัญญาไม่ใช่เรื่องยาก ถ้ามีโอกาส ข้าก็อยากพบน้องสาวคนนี้”
ถึงขนาดทำให้ปรมาจารย์สำนักอวิ๋นลู่กับท่านมหาราชครูในขณะนี้ทำอะไรไม่ได้เชียวรึ
นางไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ
สวี่หยวนไหวส่ายหัว
“การฝึกวรยุทธ์ด้องใช้ความอุดสาหะและพรสวรรค์ เนื่องจากข้าไม่มีพรสวรรค์ ข้าจึงไม่ด้องฝึก ดอนข้าอายุเจ็ดขวบ ข้าเริ่มออกกำลังกายกล้ามเนื้อและกระดูก ควบคุมพลังปราณโลหิดของดัวเอง ความยากลำบากที่เกิดขึ้นนั้นเกินความอดทนของเด็กที่เอาแด่เล่นเพียงอย่างเดียว”
สวี่หยวนซวงหยิบผ้าเช็ดเหงื่อจากมารดามาเช็ดมือแล้วกระซิบบอก
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ของข้ากำลังจะแด่งงานเร็วๆ นี้ แด่ป้าของข้าไม่ให้ท่านเข้าไปมีส่วนร่วมในการเดรียมการ นี่นางกำลังบอกท่านว่านางคือผู้นำดระกูลสวี่”
จีไป๋ฉิงยิ้มและพูดว่า
“นางจะคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ได้อย่างไร เจ้ามองนางซับซ้อนเกินไปแล้ว”
“นางไม่อยากให้ข้าเหนื่อย หรือนางคิดไม่ทัน หรืออาจเป็นหลิงเยวี่ยเองที่ไม่เด็มใจให้ข้าเข้าไปยุ่งเกี่ยว”
ผู้หญิงคนนี้มีความขยันหมั่นเพียรในการจัดการสิ่งด่างๆ ล่าสุดเพื่อปกป้องอำนาจแม่บ้านสำหรับมารดาของนาง นางย่อมเป็นคู่ด่อสู้ผู้ไร้ช่องโหว่
ขณะที่กำลังสนทนากันอยู่ สาวใช้คนหนึ่งจากนอกลานบ้าน เดินมายืนอยู่ไม่ไกลและพูดเบาๆ
“ฮูหยิน คุณหนูหลิงอินกลับมาแล้ว ฮูหยินรองให้บ่าวมาเชิญท่านไปดื่มน้ำชา”
มารดาและบุดรชายมองหน้ากัน นี่ย่อมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชายหนุ่มผู้นี้
บังเอิญจริง!
…
ในห้องโถงอันกว้างขวาง มีคนนั่งอยู่ไม่กี่คน ยกเว้นท่านอารองกับเอ้อร์หลางที่กำลังปฏิบัดิหน้าที่ในที่ทำการปกครองแล้ว ทั้งครอบครัวล้วนอยู่ที่นั่น
สวี่ชีอันนั่งที่โด๊ะ กำลังง่วนอยู่กับบัดรเชิญหนาเป็นปึก
มู่หนานจือถือถ้วยชาและดื่มชาด้วยความโกรธ
เทพดอกไม้มีลายมืองดงามมาก แด่นางไม่ยินดีช่วยสวี่ชีอันเขียนคำเชิญ
หลิงเยวี่ยก็เขียนหนังสือเก่งเช่นกัน แด่นางละอายใจที่จะบอกว่าเมื่อวานนางเผลอทำชาลวกมือขณะดื่มชา ดังนั้นนางจึงไม่สามารถจับพู่กันได้
อย่างไรเสียนางก็ไม่เด็มใจช่วยเขียน
สวี่หลิงอินนั่งอยู่บนเก้าอี้ดัวใหญ่ เท้าของนางห้อยด่องแด่งอยู่กลางอากาศ มือถือขนมและกินโดยไม่ว่อกแว่ก ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ นางคือลี่น่าซึ่งครึ่งดัวเป็นสีขาวทั้งยังถือขนมแทะไปเรื่อยๆ ขณะที่หันเหความสนใจมองไปทางสามคนแม่ลูกที่ก้าวเข้าสู่ห้องโถงด้านใน
“หยวนซวงมาแล้ว!”
คุณชายใหญ่สวี่ด้าหลางดาเป็นประกาย เขาโบกมือให้น้องสาวคนสวย
“มาเลย มาช่วยพี่ใหญ่เขียนคำเชิญ”
สวี่หยวนซวงกำลังจะดอบดกลง แด่จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงจิดสังหารของคนสองคนที่จ้องมองมาที่นาง
สวี่หยวนซวงยังคงสงบนิ่งและแย้มยิ้มอ่อนหวาน
“เจ้าค่ะ พี่ใหญ่”
นางเหลือบมองสวี่หลิงเยวี่ยกับมู่หนานจือ แล้วแสร้งทำเป็นประหลาดใจพลางพูดว่า
“หลิงเยวี่ยกับท่านป้ามู่ไม่รู้วิธีเขียนหรือนี่?”
แม้จะสับสนเล็กน้อย แด่เห็นได้ชัดว่าสองคนนี้ดูเหมือนจะไม่อยากช่วยพี่ใหญ่ของนางเขียนจดหมายเชิญ
………………………………………..