ตอนที่ 512 เข้าเมือง
ค่ำคืนมืดลงเรื่อยๆ
ท้องฟ้าไร้ดวงดาราและจันทรา มีเพียงเมฆหนาทึบที่แผ่ขยายอย่างเงียบๆ สถานที่กว้างใหญ่เช่นนอกเมืองชวนให้ผู้คนรู้สึกหดหู่ใจ
เจ้าหน้าที่และทหารติดอาวุธกลุ่มหนึ่งกำลังเร่งความเร็วไปตามถนน ไร้ซึ่งเสียงผู้คน มีเพียงเสียงฝีเท้า เสียงลมหายใจและเสียงชุดเกราะที่เสียดสีกัน
หากมีคนเห็นก็จะรู้ได้ว่านี่คือกองกำลังที่ผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างดีกลุ่มหนึ่ง มิใช่กองทัพไร้ชื่อแน่นอน
ถึงประตูเมืองแล้ว
กองกำลังหยุดลง คูเมืองตรงหน้าส่องประกายแสงเยือกเย็น
เจ้าหน้าที่ทหารบนกำแพงเมืองที่มีหน้าที่ลาดตระเวนเห็นความผิดปกติจึงตะโกนถามว่า “ใคร”
แม่ทัพตอบว่า “ข้าคือเหลยหมิง รับราชโองการจากฝ่าบาทให้เข้าเมือง”
เมื่อทหารรักษาการณ์บนหอคอยมองเห็นหน้าตาของแม่ทัพใหญ่เหลยชัดเจนแล้ว ความระแวงก็ยังคงไม่คลายลง “ท่านแม่ทัพใหญ่เหลยโปรดแสดงตราคำสั่งโยกย้าย”
เหลยหมิงแสดงตราคำสั่งโยกย้ายให้ดู
“แม่ทัพใหญ่เหลยโปรดรอที่เดิม”
ไม่นานทหารรักษาการณ์คนหนึ่งก็ลงมาจากกำแพงเมืองว่ายข้ามคูเมืองที่ไม่นับว่ากว้างนักมาถึงตรงหน้าแม่ทัพใหญ่เหลย “แม่ทัพใหญ่เหลยโปรดส่งตราคำสั่งให้ท่านแม่ทัพของเราดูด้วยขอรับ”
ทหารเข้าเมืองเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะในยามวิกาล ย่อมประมาทมิได้
เหลยหมิงมิได้ลังเล เขาส่งตราคำสั่งให้ทันที
ทหารรักษาการณ์เก็บตราคำสั่ง หลังจากกลับไปแล้วก็ปีนขึ้นกำแพงเมืองด้วยเชือกอย่างคล่องแคล่วและส่งให้แม่ทัพรักษาเมือง
แม่ทัพรักษาเมืองรับตราคำสั่งมาตรวจดูอย่างละเอียด จากนั้นก็ส่งให้ทหารรักษาการณ์อีกคนหนึ่งตรวจสอบจนเมื่อเขาพยักหน้าจึงพูดขึ้นว่า “ปล่อยสะพานลงและเปิดประตูเมือง”
สะพานเข้าเมืองถูกปล่อยลงช้าๆ ประตูเมืองที่เรียบง่ายเก่าแก่ที่ดูหนาและหนักถูกเปิดออกอย่างช้าๆ
เหลยหมิงโบกมือ “เข้าเมือง!”
ขบวนทหารที่เข้าแถวเรียบร้อยเดินผ่านประตูเมืองอย่างไร้สุ้มเสียง
“แม่ทัพใหญ่เหลยโปรดเก็บไว้ให้ดี” แม่ทัพรักษาเมืองส่งตราคำสั่งคืนให้เหลยหมิง ไม่ได้ถามจุดประสงค์ที่เหลยหมิงเข้าเมือง
“ลำบากแล้ว” เหลยหมิงกำหมัดประสานมือให้แม่ทัพรักษาเมือง นำทัพเดินไปข้างหน้า
แม่ทัพรักษาเมืองสั่งลูกน้องทันทีว่า “ปิดประตูเมือง เก็บสะพาน”
ประตูเมืองหนาและหนักปิดลง สะพานข้ามคูเมืองถูกเก็บ คูเมืองส่องประกายแสงเยือกเย็นภายใต้ค่ำคืนมืดมิดราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
แม่ทัพรักษาเมืองสีหน้ากลับไม่ค่อยดีนัก เขาถอนหายใจเบาๆ “คืนนี้คงมีเหตุการณ์นองเลือด”
แม่ทัพรักษาเมืองอีกคนหนึ่งสีหน้าก็ไม่ค่อยดีนักเช่นกัน เขาพูดเสียงเบาว่า “ลองนับดูแล้ว มีหนึ่งพันคนเป็นอย่าน้อย”
กองกำลังที่เข้ามาในเมืองจำนวนนี้เพียงพอที่จะทำให้เกิดพายุนองเลือด
แม่ทัพรักษาเมืองส่ายศีรษะ “เราไม่ต้องสนใจเรื่องเหล่านี้ เฝ้าประตูเมืองให้ดีก็พอแล้ว”
“ใช่แล้ว ทำหน้าที่ของตนให้ดีก็พอ”
กองกำลังเกือบหนึ่งพันคนเดินไปบนถนนที่ว่างเปล่า แม้จะพยายามเดินเสียงเบาแล้วแต่ยังคงมีเสียงเคลื่อนไหวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โชคดีที่ยามนี้เป็นเวลากลางดึก แสงไฟของบ้านเรือนนับพันดวงดับลงนานแล้ว บ้านเรือนมากมายผสานเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดและหลับใหลไป
ดวงตาคู่หนึ่งมองผ่านช่องประตูไม้ เมื่อทหารท้ายแถวเดินผ่านไปก็รีบไปรายงาน
“ท่านแม่ทัพใหญ่ พวกเขาเข้าเมืองแล้วขอรับ!”
“จับตาดูต่อไป”
คนที่มารายงานรับคำสั่งและจากไป ทุกคนที่กำลังรอมองแม่ทัพใหญ่ลั่วพร้อมกัน
แม่ทัพใหญ่ลั่วสีหน้าสงบ “อย่ากังวล ต้องรออีกหน่อย”
คำพูดของแม่ทัพใหญ่ลั่วย่อมไม่ได้ทำให้เกิดข้อสงสัยใดๆ ในยามปกติแม้เหล่าอี๋เหนียงจะชอบก่อกวน แต่ก็รู้ว่ายามเจอปัญหาต้องเชื่อฟังนายท่าน
มองดูบุตรสาวที่ดวงตาเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ แม่ทัพใหญ่ลั่วก็พยักหน้าเบาๆ “ใช่แล้ว”
“แล้วพวกเราจะออกจากเมืองได้อย่างไรเจ้าคะ”
นี่คือสิ่งที่ทุกคนกำลังสงสัยเช่นกัน
ประตูเมืองบานหนึ่ง คูเมืองสายหนึ่ง แม้จะมีทหารนับหมื่นมาโจมตีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในบรรดาพวกเขามีทั้งคนชรา เด็ก และสตรีไม่น้อย หากจะดึงดันฝ่าออกไปมีแต่ตายเท่านั้น
“รอก่อน” เผชิญกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย แม่ทัพใหญ่ลั่วไม่ได้แจกแจงรายละเอียด
ลั่วเย่ว์เม้มปากเบาๆ ไม่กล้าถามอีก
แม่ทัพใหญ่ลั่วเอามือไพล่หลังเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำมืด ลอบถอนหายใจในใจ ใบหน้ากลับสงบอย่างยิ่ง
เขาเป็นเสาหลักของครอบครัว ย่อมวิตกไม่ได้
ค่ำคืนมืดมิดลงกว่าเดิม
แม่ทัพรักษาเมืองเพิ่งพักผ่อน ลูกน้องก็มารายงานว่านอกเมืองมีความเคลื่อนไหว
แม่ทัพรักษาเมืองคลุมเสื้อคลุม เดินก่นด่าออกไป
ลมในยามค่ำคืนฤดูใบไม้ผลิยังคงเย็นเล็กน้อย การยืนบนกำแพงเมืองที่สูงตระหง่านยิ่งรับรู้ถึงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิ แม่ทัพรักษาเมืองหดคอลงและเบิกตามองไปข้างนอก เกือบจะคิดว่าตนเองตาฝาดไป
เขาขยี้ตาเบาๆ อาการงัวเงียหายไปครึ่งหนึ่ง
เหตุใดมีทหารมาอีกนะ
“ผู้มาเยือนคือท่านใด”
ใต้กำแพงเมือง แม่ทัพเป็นชายหนุ่มอายุน้อยท่านหนึ่ง เมื่อได้ยินดังนั้นก็กำหมัดประสานมือให้แม่ทัพรักษาเมือง “ข้าคือหัวหน้าภายใต้บัญชาของท่านแม่ทัพใหญ่เหลย ข้าเข้าเมืองเป็นกองหนุนตามคำสั่งของแม่ทัพใหญ่เหลย”
เหลยหมิงเพิ่งนำทัพเข้าเมืองไม่นาน แม่ทัพรักษาเมืองย่อมไม่สงสัยแม้แต่น้อย เพียงแค่ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “เหตุใดแม่ทัพใหญ่เหลยจึงแยกกันเข้าเมือง”
แม่ทัพหนุ่มตอบว่า “นี่คือแผนการลงมือคืนนี้ ท่านแม่ทัพใหญ่วางแผนเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล แต่มิอาจอธิบายต่อคนนอกได้ หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
แม่ทัพรักษาเมืองพยักหน้า ถามอีกครั้งว่า “มีตราคำสั่งหรือไม่”
“ตราคำสั่งอยู่กับท่านแม่ทัพใหญ่ ส่วนนี่คือตราของข้าน้อย” ชายหนุ่มหยิบตราออกมาชูให้แม่ทัพรักษาเมืองดู
แสงแบบนี้ ระยะห่างแบบนี้ ย่อมมองไม่ชัด แม่ทัพรักษาเมืองจึงสั่งให้ลูกน้องว่ายน้ำข้ามไปรับมาเพื่อความรอบคอบ
ไม่นาน ลูกน้องที่ลงน้ำเป็นครั้งที่สองก็ตัวเปียกกลับมา ส่งตราคำสั่งให้แม่ทัพรักษาเมือง
แม่ทัพรักษาเมืองรับมาตรวจสอบ ดูจากการแต่งตัวแล้วเป็นลูกน้องใต้อาณัติของแม่ทัพใหญ่เหลยจริงๆ เขาจึงไร้ข้อกังขาและสั่งลูกน้องเปิดประตูเมือง
ประตูเมืองที่หนาและหนักเปิดขึ้นอีกครั้ง
แม่ทัพหนุ่มข่มความดีใจไว้ เดินขึ้นบนสะพานข้ามคูเมืองเป็นคนแรก
ไม่นานเหล่าทหารก็ทยอยกันเดินตามมาอย่างเงียบๆ
เมื่อกองทัพกลุ่มนี้เดินไปไกลแล้ว แม่ทัพรักษาเมืองจึงพึมพำว่า “หลายร้อยคนเข้าเมืองอีก คืนนี้คงมีเรื่องน่าตื่นเต้นแล้ว”
แม่ทัพหนุ่มนำทัพเดินบนถนนใหญ่ที่ร้างผู้คนเหมือนกับกองทัพก่อนหน้า เพียงแต่ว่าหลังจากเลี้ยวเข้าถนนแห่งหนึ่งกลับไม่ได้เดินหน้าต่อไป แต่หยุดลงตรงหน้าเรือนหลังหนึ่ง
แม่ทัพหนุ่มยังไม่ทันเคาะประตู ประตูก็เปิดก่อนแล้ว
แม่ทัพหนุ่มเห็นแม่ทัพใหญ่ลั่วที่ยืนอยู่ด้านในประตูก็รีบคารวะ “ลูกคารวะท่านพ่อ!”
แม่ทัพใหญ่ลั่วเอี้ยวตัว “เข้ามาก่อนส่วนหนึ่ง”
เรือนที่ไม่ค่อยใหญ่นักเต็มไปด้วยผู้คนอย่างรวดเร็ว
ลั่วเย่ว์เห็นแม่ทัพหนุ่มชัดเจนแล้วก็อุทานเสียงเบาว่า “พี่ห้า!”
แม่ทัพหนุ่มคืออวิ๋นต้ง บุตรบุญธรรมของแม่ทัพใหญ่ลั่วนั่นเอง
ลั่วเซิงไม่ประหลาดใจแม้แต่น้อย
อวิ๋นต้งเป็นบุตรบุญธรรมที่แม่ทัพใหญ่โปรดปรานที่สุด ช่วงนี้กลับไม่พบเขาเลย นางย่อมเดาได้ว่าเป็นไปได้ที่แม่ทัพใหญ่ลั่วจะลอบวางแผนเอาไว้แล้ว
จนถึงบัดนี้ ลั่วเซิงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมแผนการของแม่ทัพใหญ่ลั่ว
เขาไม่ได้เลือกที่จะหนีตอนที่ทหารล้อมจวนลั่ว แต่เลือกที่จะหนีล่วงหน้า และฉวยโอกาสตอนที่แม่ทัพใหญ่เหลยนำทัพเข้าเมืองลดระดับการป้องกันตัวลงให้อวิ๋นต้งนำคนเข้าเมือง
การโจมตีจากภายนอกเป็นเรื่องยาก แต่การฝ่าออกจากข้างในนั้นง่ายกว่ามาก เมื่อมีคนเหล่านี้ แม้จะไม่สามารถออกจากเมืองได้อย่างราบรื่น แต่การฝ่าออกไปก็มีความหวัง
“เตรียมชุดเกราะไว้หรือยัง” แม่ทัพใหญ่ลั่วถาม
“เตรียมไว้แล้วขอรับ” อวิ๋นต้งชูมือขึ้นส่งสัญญาณ
องครักษ์จิ่นหลินที่สวมชุดเกราะเหมือนกับลูกน้องของแม่ทัพใหญ่เหลยในลานบ้านเหล่านั้นเริ่มถอดเสื้อทันที