สามีข้าคือขุนนางใหญ่ – บทที่ 828 เจียวเจียวออกศึก

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 828 เจียวเจียวออกศึก

“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว! บ้าไปแล้วจริงๆ !”

จ้าวเติงเฟิงพุ่งตัวเข้าไปในกระโจมของเหวินเหรินชง ใช้เท้าถีบเหวินเหรินชงที่หลับอยู่ “ตื่นเร็ว! ผู้บัญชาการบ้าไปแล้ว!”

“บ้าก็บ้าไปสิ” เหวินเหรินชงพลิกตัวอย่างไม่แยแสทั้งยังหลับต่อ

จ้าวเติงเฟิงอ้าปากค้าง “ไม่สิ เจ้าเป็นอะไรของเจ้า ตีเหล็กมาเป็นสิบปีก็เลยตีหัวตัวเองจนปัญญานิ่มไปแล้วหรือ! ข้าบอกว่าผู้บัญชาการบ้าไปแล้ว! บ่ายวันพรุ่งนี้เขาจะยกทัพบุกโจมตีเมือง! แถมยังรบสองศึกพร้อมกัน เจ้าว่าเหลือเชื่อหรือไม่! พวกเรามีทหารกี่นาย เมืองฉวี่หยางมีทหารกี่นาย พวกเราเร่งทัพมาเหนื่อยแค่ไหน ทัพใหญ่เมืองฉวี่หยางรอแค่ข้าศึกมาเยือน จะสู้ได้เช่นไร”

“ใช่ว่าไม่เคยสู้เสียหน่อย” เหรินเหวินชงเอ่ยเสียงเรียบ

จ้าวเติงเฟิงชะงักไปครู่ถึงได้สติกลับมา เขายกนิ้วนับว่าหลายปีที่ผ่านมาออกรบมากี่ศึก เซวียนหยวนยกกองทัพทหารม้าสองหมื่นนายขับไล่ทัพใหญ่แคว้นจิ้นสี่หมื่นนาย

ปัญหาอยู่ที่ว่า ครานั้นทหารแคว้นจิ้นเดินทางมานับพันลี้ ฝ่ายที่อ่อนกำลังคือทหารแคว้นจิ้น ส่วนพวกเขาคือฝ่ายที่รอข้าศึกมาเยือน

ไม่ว่าจะเป็นกำลังรบหรือกำลังทหารพวกเขาก็ล้วนแต่ได้เปรียบเหนือกว่า

ทว่ายามนี้ จะเทียบกับกองทหารม้าเฮยเฟิงในยามนั้นได้อย่างไร

“หากแม่ทัพเซวียนหยวนยังอยู่ บางทีอาจพอเอาชนะได้ แต่ผู้บัญชาการน้อยของพวกเรา… เหอะๆ ” จ้าวเติงเฟิงมองโลกในแง่ร้ายเหลือเกิน

“เหตุข้าต้องมาด้วย”

“ข้าเองก็บ้าไปแล้ว”

“อยู่ดีไม่ว่าดีชัดๆ ”

“เดิมคิดว่าคงได้สู้หลายศึก อย่างน้อยก็ได้ฆ่าพวกหมาแคว้นจินแคว้นเหลียง จะว่าไปก็ดี ที่ไม่ถูกทหารตระกูลหนานกงฆ่าเสียก่อนเหมือนพวกนั้น เหตุใดข้าถึงได้ซวยเช่นนี้…”

เหรินเหวินชงทำเอาเขาหวาดผวา

เขาพูดคุยกับกู้เจียวอยู่บ่อยครั้ง รู้ว่าผู้บัญชาการน้อยคนนี้ไม่ได้มีความอดทนเหมือนอย่างที่เห็นภายนอก แต่ว่าตามตรง ศึกในวันพรุ่ง เขาเองก็ไม่กล้าคาดหวังอันใดมากนัก

เช่นนี้ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ

กู้เจียวมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ต่อให้ศึกในวันพรุ่งนี้ไม่มีแม้แต่โอกาสชนะ นางเองก็คงนอนหลับได้ลง

ราตรีไร้ฝัน

ยามเช้า นางเรียกแม่ทัพใหญ่ทั้งหกมายังใต้ร่มไม้ สั่งการยุทธการณ์ออกศึกอย่างละเอียด

มู่ชิงเฉินและที่ปรึกษาหูเองก็อยู่ด้วย

ที่ปรึกษาหูรับหน้าที่จดบันทึก ยามยกทัพกลับบันทึกเหล่านี้ล้วนแต่ต้องนำรายงานต่อราชสำนัก

กู้เจียวใช้กิ่งไม้วาดแผนที่บนพื้นโดยคร่าว ชี้ไปที่หนึ่งในสามเหลี่ยมพลางเอ่ย “นี่คือตำแหน่งของพวกเราในยามนี้ หน่วยเสบียงสองหน่วยกำลังเข้าใกล้เมืองฉวี่หยาง แยกย้ายกันไปทางประตูเมืองทิศเหนือและประตูเมืองทิศตะวันออก พวกเราอยู่ใกล้กับประตูทิศเหนือมากที่สุด เมื่อครู่ข้าได้ดูชัยภูมิมาแล้ว เรียบไปกับเส้นทางนี้เหมาะแก่การซุ่มโจมตีบนหุบเขา ประเดี๋ยวข้านำทหารม้าสองพันนายไปปล้นเสบียงนอกประตูเมืองทิศเหนือ ปล้นเสร็จแล้วก็จะมากลับที่นี่ จากนั้นพวกเราจะเตรียมซุ่มโจมตีทัพใหญ่ตระกูลหนานกง”

“อีกอย่าง เพื่อกระจายกำลังทหารของพวกเรา หน่วยเสบียงทางประตูทิศตะวันตกก็ต้องมีคนไปปล้น พอกองทัพตระกูลหนานกงตามมา อย่าได้ต่อกรด้วย แสร้งทำเป็นถอยทัพ พาพวกเขาอ้อมเส้นทาง ยิ่งไกลเท่าใดก็ยิ่งดี”

“กว่าพวกเขาจะรู้ตัว ก็ติดกับดักถูกล่อออกมาจากถ้ำเสียแล้ว เพิ่มกำลังเสริมบนหุบเขาก็ไม่ทันการณ์แล้ว”

“ข้ากับตระกูลหนานกงมีความแค้นต่อกัน ข้าฆ่าหนานกงลี่ ขอแค่ข้าปรากฏตัว พวกเขาต้องส่งกำลังทหารส่วนใหญ่ไล่ล่าข้าแน่นอน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงประมาณการกำลังทหารบนหุบเขาไว้หมื่นนาย ทางประตูเมืองทิศตะวันออกจึงส่งกำลังหารไปได้แต่สองพันนาย นี่คือหน้าที่อันยากลำบากและอันตรายอย่างยิ่ง ต่อให้กำลังทหารครึ่งหนึ่งของพวกนั้นไล่ล่าข้า ที่เหลืออยู่ก็อย่างน้อยหมื่นนายขึ้นไป หาพวกเจ้าถูกไล่ตามได้ทัน จุดจบมีเพียงพ่ายศึก เรื่องนี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าคงเข้าใจดี”

แม่ทัพหน้าฝ่ายซ้ายเฉิงฟู่กุ้ยยกมือคำนับ “ผู้บัญชาการเซียว ข้าน้อยยินดีนำทัพมุ่งไปยังประตูเมืองทิศตะวันตก!”

แม่ทัพหน้าฝ่ายขวาจ้าวเหล่ยเองก็ยกมือคำนับพลางเอ่ย “ให้ข้าน้อยไปเถิด! แม่ของข้าน้องเป็นชาวฉวี่หยาง ข้าน้อยเคยอยู่ที่ฉวี่หยางอยู่ช่วงหนึ่ง ค่อนข้างคุ้นเคยกับชัยภูมิที่นี่”

กู้เจียวเหลียวไปมองจ้าวเหล่ย เอ่ยสีหน้าจริงจัง “ดี เช่นนั้นหน่วยเสบียงทางประตูทิศใต้ก็มอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน เจ้าไปเตรียมทหารได้”

จ้าวเหล่ยลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

กู้เจียวบอกตำแหน่งซุ่มโจมตีและแผนการโดยละเอียดแก่คนที่เหลืออยู่ ทั้งยังให้เฉิงฟู่กุ้ยเรียกทหารม้าทัพหน้าสองพันนายบุกปล้นเสบียง

หลังจากทุกคนแยกย้าย มู่ชิงเฉินเอ่ยกับกู้เจียว “ข้าจะไปกับเจ้า”

“ไม่ เจ้าไปปล้นเสบียงทางประตูทิศตะวันตกกับจ้าวเหล่ย” กู้เจียวเอ่ยก่อนจะชะงักไป หันไปมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลังจากได้เสบียงมาแล้ว ฆ่าจ้าวเหล่ยเสีย”

มู่ชิงเฉินตกตะลึง “เขา…”

กู้เจียวเอ่ย “เขาคือสายลับ”

ในฝัน จ้าวเหล่ยคือหนอนบ่อนไส้ของค่ายเฮยเฟิง ระหว่างที่ข้ามเขาหลิ่วโจวจึงถูกทหารแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงล้มเอาไว้ ราคาที่ต้องจ่ายนั้นเหลือคณนา

คราวนี้ก็เป็นจ้าวเหล่ยที่ส่งข่าวไปยังตระกูลหนานกง ตระกูลหนานกงถึงได้รู้ล่วงหน้าว่าพวกเขากำลังเดินไปยังฉวี่หยาง

ตระกูลหนานกงจงใจส่งหน่วยเสบียงออกไป เพื่อใช้เป็นเหยื่อล่อให้พวกเขาออกศึกทั้งที่อ่อนกำลัง

เหตุใดถึงไม่สู้กับพวกเขาโดยตรงน่ะหรือ นั่นเป็นเพราะพวกเขามีป่าเป็นชัยภูมิหนุนหลัง หากถอยเข้าป่าไป ในป่านั้นก็จะเป็นลานล่าสัตว์ของผู้ใดนั้นก็ยากจะเอ่ย

ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องคิดหาวิธีล่อกองทัพทหารม้าเฮยเฟิงที่ถนัดรบในป่าทึบ

ส่วนเหตุใดถึงแบ่งเสบียงออกเป็นสองหน่วยนั้น เป็นเพราะตระกูลหนานกงประเมินนางไว้สูง หมายว่าจะสามารถทอนกำลังทหารม้าเฮยเฟิงมาได้กึ่งหนึ่ง ทั้งยังจะได้ฆ่านางได้ง่ายขึ้น

แต่น่าเสียดายที่นางไม่คิดจะแบ่งกำลังทหาร

เมื่อจ้าวเหล่ยได้พบกับตระกูลหนานกง จ้าวเหล่ยย่อมบอกความจริงกับตระกูลหนานกงในทันที ทั้งยังจะร่วมมือกับทัพใหญ่ตระกูลหนานกงขจัดทหารม้าเฮยเฟิงสองพันนายในทันที

มู่ชิงเฉินสงสัย “เหตุใดเจ้าถึงไม่ฆ่าเสียตั้งแต่ตอนนี้”

กู้เจียวเอ่ย “คนที่ไปปล้นเสบียงกับจ้าวเหล่ย ล้วนแต่เป็นคนของเรา ทหารพวกนั้นจะไม่สู้กับทหารม้าเฮยเฟิง แสร้งทำเป็นออกกระบี่สักหน่อยก็ถอยทัพหนี เช่นนี้จะลดการบาดเจ็บของทหารม้าเฮยเฟิงได้ นอกจากนี้ ระหว่างทางเจ้าจะป้อนข่าวให้จ้าวเหล่ยก็ได้ เขาเห็นเจ้าเป็นแค่คนใกล้ตายคนหนึ่ง คงต้องไม่ตอบโต้อะไรเจ้ามาก”

มู่ชิงเฉินไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี “…ผู้ใดสอนเรื่องพวกนี้ให้เจ้ากัน”

กู้เจียวไพล่มือหนึ่งไว้ด้านหลัง อีกมือหนึ่งตบเข้าที่ต้นขา เอ่ยอย่างลำพอง “กระจ่างแจ้งด้วยตนแม้ไร้อาจารย์สอนสั่ง พรสวรรค์ล้ำเลิศ”

มู่ชิงเฉิน “…”

คล้อยบ่าย จ้าวเหล่ยนำทัพทหารสองพันนายมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศตะวันออก โดยมีมู่ชิงเฉินติดตาม

กู้เจียวและเฉิงฟู่กุ่ยพอทหารม้าอีกสองพันนายมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทิศเหนือ

ส่วนทหารม้าที่เหลืออีกหนึ่งหมื่นหกพันนาย หลี่จิ้นและถงจงลวี่เป็นผู้นำทัพ พาไปตั้งค่ายซุ่มโจมตีอย่างที่กู้เจียวสั่งการ

“เหตุใดพวกข้าถึงไม่มีอะไรทำเลยเล่า”

จ้าวเติงเฟิงนั่งอยู่นอกกระโจม เหม่อมองฟ้าอย่างเบื่อหน่าย

เหวินเหรินชงหาที่แสงเหมาะๆ นั่งลงซ่อมชุดเกราะ

หลี่เซินลับมีดอยูข้างๆ

ยามนี้เขากับจ้าวเติงเฟิงต่างเป็นพลทหารหน่วยสำรอง รับผิดชอบเตรียมอาหาร

จ้าวเติงเฟิงเห็นพวกเขาสองคนไม่แยแสฟ้าดิน ก็พลันหงุดหงิดขึ้นมา พ่นหญ้าในปากทิ้งพลางเอ่ย “พวกเจ้าของสองคนช่วยกระฉับกระเฉงหน่อยจะได้ไหม! อย่าได้กลัวหัวขาด อย่าได้ขลาดกลัวตาย ลูกผู้ชายตายก็ตายจะเป็นอะไรไปเล่า หดหัวอยู่ท้ายค่ายเช่นนี้ ใช้ได้เสียที่ไหน!”

คนตีเหล็กก็ตีไป คนลับมีดก็ลับไป ไม่มีผู้ใดสนใจเขา

ทว่าทางกู้เจียวที่กำลังนำทัพทหารม้าสองพันนายควบออกไปนั้น ก็สกัดหน่วยเสบียงที่หมายจะลำเลียงไปยังฉวี่หยางไว้ยังที่ราบเนินไป๋หม่า

แม้ทหารที่ขนเสบียงจะสวมชุดเกราะของจวนท้องถิ่น ทว่าความจริงแล้วเป็นทหารของตระกูลหนานกง

ทว่าผู้นำทัพหน่วยเสบียงสวมเกราะนั้นทำให้กู้เจียวประหลาดใจอย่างมาก เพราะนั่นคือนายท่านสามแห่งตระกูลหนานกง น้องชายแท้ๆ ของหนานกงลี่ หนานกงเจ๋อ

หนานกงเจ๋อไม่ได้เป็นที่รู้จักในเซิ่งตูนัก เขามักติดตามทัพใหญ่ไปคุ้มกันชายแดน กลับมาครั้งหนึ่งยามคัดเลือกผู้บัญชาการทหารม้าเฮยเฟิง แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้พบสู้กันซึ่งหน้ากับกู้เจียว

กู้เจียวเคยเห็นภาพเหมือนของเขาที่จวนกั๋วซือ

เขากำยำล่ำสันกว่าในภาพวาด ผิวพรรณถูกแดดจ้าของชายดายแผดเผาจนเป็นสีทองแดง ดวงตาทั้งสองวาวโรจน์มองมาที่กู้เจียว เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง แฝงไปด้วยความเย้ยหยันอย่างไม่มีปกปิด

“เจ้าคือผู้บัญชาการคนใหม่ของกองทหารม้าเฮยเฟิงรึ”

สายตาของเขาหยุดลงบนปานบนใบหน้าของกู้เจียว

ลักษณะเฉพาะนี้โดนเด่นเหลือเกิน ไม่มีทางจำผิดเป็นแน่

กู้เจียวในชุดศึกสีแดงชาด เกราะสีดำทมิฬ นั่งสง่าผ่าเผยอยู่บนหลังราชาม้าเฮยเฟิง ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นแฝงไปด้วยความมุ่งมั่น ทว่าแววตานั้นกลับสงบนิ่งไม่สมกับอายุ

“เจ้าน่ะรึฆ่าพี่รองของข้า” หนานกงเจ๋อแสยะยิ้มพลางเอ่ยถาม

“ข้าเอง” กู้เจียวยอมรับอย่างไม่ปกปิด

หนานกงเจ๋อคาดไม่ถึงเลยว่านางจะยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานเช่นนี้ เขานิ่งไปก่อนจะหัวเราะออกมา “พี่รองของข้าต้องมาตายด้วยน้ำมือเด็กเมื่อวานซืนเช่นเจ้า ช่างเป็นเรื่องอัปยศของตระกูลหนานกงโดยแท้ เดิมทีข้าเองก็ไม่ได้อยากพูดพล่ามมากความเช่นนี้ แต่พวกเขาให้ข้าจับตาดูเจ้า ดึงดันให้ขนเสบียงเพื่อหลอกล่อเจ้าออกมา ข้ากับเจ้าสี่ต่างออกเดินทาง ดูท่าแล้วข้าคงดวงดีกว่าสินะ”

เขามองได้ด้านหลังของกู้เจียว เอ่ยเสียงเย้ยหยัน “น่าเสียดายที่ล่อออกมาได้แค่สองพันคน เป็นเพราะพวกข้าวางแผนไม่รอบคอบ หรือว่าเจ้าบ้าดีเดือดกันแน่ แค่สองพันนายยังกล้าปล้นสดมพวกข้าห้าพันนายหรือ! แต่ไม่ต้องกังวล รอข้าจับเจ้าได้เมื่อไหร่ กองทัพทหารม้าพวกนั้นของเจ้าจะแห่กันมา แล้วช่วยเจ้าออกไป”

กู้เจียวเอ่ยเสียงนิ่ง “บังเอิญนัก ข้าเองก็คิดเช่นนั้น พอจับเจ้าได้แล้ว ก็จะล่อทัพใหญ่ตระกูลหนานกงแปดหมื่นนายออกมาเช่นกัน”

“ฮ่าๆๆ …” หนางกงเจ๋อหัวเราะจนแทบหน้ามืด “ข้าเกิดมาสามสิบกว่าปี เคยได้ยินวาจาอวดดีเช่นนี้มาก่อน! กองทหารเฮยเฟิงของพวกเจ้ามีทหารม้าเพียงแค่สองหมื่นนาย กล้าสู้กับทหารหนานกงแปดหมื่นนายอย่างนั้นหรือ! เจ้าเห็นข้าโง่หรือไร!”

สายตาของเขาหยุดลงบนชุดเกราะของกู้เจียว “เจ้าคิดว่าสวมเกราะของเซวียนหยวนลี่แล้วจะกลายเป็นเซวียนหยวนลี่คนที่สองอย่างนั้นหรือ เจ้ายังห่างชั้นกับเขาอยู่มากโข!”

สิ้นเสียง เขาพลันชักกระบี่ที่แขวนอยู่บนอานม้าขึ้นมา ก่อนจะชี้ไปยังกู้เจียว “เจ้าหมอนี้ข้าจะจัดการเอง ส่วนที่เหลือ ฆ่าให้หมด!”

ทหารห้าพันนายบุกเข้าหากู้เจียวและทหารม้าเฮยเฟิงราวกับคลื่นถาโถม

เฉิงฟู่กุ้ยชักกระบี่ “สหายทั้งหลาย! ฆ่ามัน!”

ทันใดนั้นเหล่าทหารประชันหน้ากัน เสียงฆ่าฟันโหยหวนสะเทือนลั่นทั้งแผ่นดิน!

กู้เจียวจ้องมองกระบี่ของหนานกงเจ๋อที่หมายจะปลิดชีพนางพุ่งตรงเข้ามา ใบหน้าอ่อนเยาว์ไร้ซึ่งอารมณ์ใด สงบนิ่งจนน่าหวาดผวา

หนานกงเจ๋อที่พุ่งเข้ามาเอาชีวิตนางขมวดคิ้วแน่น

กู้เจียวคว้าทวนพู่แดงออกมาจากด้านหลัง ก่อนจะเอ่ยเน้นย้ำทุกถ้อยคำ “กระบวนท่าแรก ต้องได้เลือด!”

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-คอเมดี้ ผู้เขียนเดียวกับเรื่องหมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม!

จากสายลับสาวสวยแห่งยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในร่างของ กู้เจียว หญิงอัปลักษณ์สติไม่สมประกอบแห่งหมู่บ้านชนบทห่างไกล

แม้สติไม่สมประกอบแต่ชอบคนหน้าตาดี กรรมเลยไปตกที่ เซียวลิ่วหลัง ที่เจ้าของร่างช่วยเหลือเอาไว้โดยบังเอิญ

เพราะบุญคุณเซียวลิ่วหลังจึงต้องแต่งเข้าอย่างไม่เต็มใจและยังรังเกียจเจ้าของร่างเดิมสุดใจ

แต่เพราะ ‘ฝันบอกเหตุ’ ที่ร่างเดิมมีทำให้ กู้เจียวคนใหม่ได้รู้ว่าเซียวลิ่วหลังสามีของนางคนนี้ ในอนาคตจะได้กลายเป็นขุนนางใหญ่ของราชสำนัก

เพราะงั้นนางจะปกป้องเขาจากภัยร้ายทั้งหลายเพื่อประคองเขาขึ้นสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นเอง!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท