ตอนที่ 635 เสิ่นเสี่ยวอวี้ก็เกิดใหม่เหมือนกันเหรอ?
เวลานี้ผู้เฒ่าเซี่ยยังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่รุนแรง หลังเสิ่นอวี้หลงไปตรวจร่างกายโรงพยาบาล หัวใจก็ราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย
หลังหู่จือบอกว่าเขาเห็นว่านิ้วของเสิ่นอวี้หลงขยับเมื่อคืนนี้ หัวใจที่เหมือนตายไปแล้วก็พลันฟื้นคืน เริ่มมีความคาดหวังแต่กลับไม่กล้าตั้งความหวังไว้สูงนัก เพราะกลัวจะต้องผิดหวังไม่รู้จบอีก
“ต้องฟื้นแน่” ครั้งนี้หมอเย่ตอบคำถามของผู้เฒ่าเซี่ยด้วยความมั่นใจอย่างยิ่ง “ระบบการทำงานของร่างกายเด็กคนนั้นเป็นปกติทุกด้าน นั่นเป็นผลจากการที่คุณดูแลเด็กอย่างดีในช่วงเวลาที่ผ่านมา บีบนวดกระตุ้นกล้ามเนื้อเป็นประจำ ทำให้กล้ามเนื้อยังไม่เสื่อมเสียทีเดียว แต่สติจะกลับมาชัดเจนเมื่อไหร่ หรือจะฟื้นขึ้นได้ไหมนั้นขึ้นอยู่กับกำลังใจส่วนตัว ไม่มีใครรับปากได้”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หมอเย่พูด ผู้เฒ่าเซี่ยก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก “แค่ได้ยินคำพูดนี้ของคุณ ฉันก็โล่งอกขึ้นมากแล้ว”
ตราบใดที่เขามีแนวโน้มว่าจะฟื้นขึ้นมาได้ ต่อให้พวกเขาต้องคอยอยู่ดูแลเขาต่อไปอีกสองหรือสามปี อย่างน้อยทุกคนก็ยังทำด้วยความหวัง
“ชีวิตของลูกสาวฉันช่างน่าสงสาร” ผู้เฒ่าเซี่ยดื่มไปสองแก้ว ชายชราที่มักจะจริงจังอยู่เสมอเริ่มควบคุมตัวเองไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาสูญเสียการเก็บงำความรู้สึก พูดจาเก่งขึ้น มองไปที่หลินเซี่ยแล้วพูดต่อไป “เซี่ยเซี่ย ถึงแม้เธอจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเซี่ยหลานก็ตาม แต่พวกเธอก็เคยเป็นแม่ลูกกันมาไม่ต่ำกว่ายี่สิบปี ในอนาคตฉันยังหวังว่าเธอจะเอาใจใส่หล่อนให้มากหน่อย ปฏิบัติต่อหล่อนในฐานะญาติคนหนึ่ง คอยปลอบโยนและให้กำลังใจหล่อนต่อไปแบบนี้ ไม่งั้นฉันนึกไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าหล่อนจะเอาแรงจากไหนมาเสริมความอดทนให้อยู่ต่อ”
หลินเซี่ยตอบรับอย่างจริงใจ “คุณตา ฉันจะดูแลหล่อนแน่นอนค่ะ”
“นายคิดว่าลูกสาวฉันทำอะไรผิด? ทำไมหล่อนต้องมาเจอเรื่องราวบัดซบพวกนี้ด้วย?” ผู้เฒ่าเซี่ยกลืนเหล้าในแก้วลงคอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยม่านหมอกพร่ามัว “ทั้งหมดเป็นเพราะหล่อนไม่เคยเชื่อฟังเราเมื่อตอนที่หล่อนยังเด็ก”
“ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อหล่อนตกหลุมรักเซี่ยเหลยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ในเวลานั้นหล่อนแทบจะวางรากเหง้าชีวิตตัวเองให้ปักหลักอยู่กับเขา ถ้าหล่อนไม่หมกมุ่นที่จะอยู่กับเซี่ยเหลยตั้งแต่แรก รับฟังเรา ไม่ไปอยู่ต่างเมืองได้ หล่อนคงไม่มีทางได้เจอกับไอ้เวรเสิ่นเถี่ยจวินนั่นหรอก”
หมอแผนจีนเย่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่ผู้เฒ่าเซี่ยพูด “เหล่าเซี่ย นายเป็นบัณฑิตมีความรู้แท้ ๆ จะมีความคิดแบบนี้ได้ยังไง?”
เขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อเซี่ยหลานมีสิทธิ์ที่จะรักชอบใครสักคน เซี่ยเหลยก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ชอบหรือไม่รักใครบางคนเหมือนกัน เราจะหยิบยกเรื่องละเอียดอ่อนอย่างความรู้สึกมาพูดกันได้ยังไง? ท้ายที่สุดพวกเขาก็ไม่ถูกกำหนดให้อยู่ด้วยกันอยู่ดี ดังนั้นอย่าพูดถึงคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเลย”
ผู้เฒ่าเซี่ยยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันรู้ เซี่ยเหลยไม่ผิดที่เขาไม่รักลูกสาวฉัน เราไม่สามารถบังคับความสัมพันธ์ของใครได้ ถ้าคนสองคนไม่ได้ถูกกำหนดให้อยู่ด้วยกัน ต่อให้เอาเชือกมาล่ามก็มีวันหลุดได้ ฉันแค่เสียใจที่ในฐานะพ่อแม่แล้วเราไม่ได้ดูแลลูกสาวของเราให้ดี แม่ของหล่อนเสียใจมาโดยตลอดที่ไม่ได้ควบคุมเซี่ยหลานอย่างจริงจัง ปล่อยให้หล่อนดั้นด้นไปอยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล เมียฉันไม่เคยชอบหน้าเสิ่นเถี่ยจวินเลย ยิ่งตอนนี้หล่อนคงมีทัศนคติที่เลวร้ายต่อไอ้เวรนั่นเข้าไปใหญ่ เป็นความผิดของเราทั้งหมดที่ให้อิสระทางอารมณ์กับเซี่ยหลาน”
ผู้เฒ่าเซี่ยรู้ดีว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา “แต่ไม่ว่ายังไงก็เถอะ สุดท้ายแล้วมันก็เป็นชีวิตที่หล่อนเลือกเอง”
หมอเย่บอกว่า “ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นไปแล้ว ฉันบอกได้แค่ว่าเซี่ยหลานโชคร้ายที่ไปเจอคนไม่ดี ตระกูลเสิ่นเลวลึกไปยันรากเหง้า ไม่ใช่ความผิดของเด็กหรือผู้ใหญ่ ต้องโทษพวกเขาทั้งหมดที่กระทำในสิ่งที่เห็นแก่ตัว พอความจริงถูกเปิดเผย เคราะห์เลยมาตกกับเซี่ยหลาน”
“พวกคุณไม่รู้หรอกว่าในตอนนั้นหลินต้าฝูทุ่มเทแค่ไหนในการพาเสิ่นอวี้อิ๋งไปรับการรักษา ฉันกล้าพูดได้เลยว่าแม้แต่พ่อแท้ ๆ อย่างเสิ่นเถี่ยจวินก็ไม่สามารถทำหน้าที่พ่อได้ดีเทียบเท่าหลินต้าฝู หากเขาต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากแบบนั้น ฉันที่เล่าเรียนวิชาทางการแพทย์มาหลายปีบอกได้เลยว่าหลินต้าฝูเป็นคนที่จริงใจและทรหดอดทนที่สุดในบรรดาสมาชิกของครอบครัวผู้ป่วย
“แต่เสิ่นอวี้อิ๋งกลับไม่ระลึกถึงความเมตตากรุณาของเขาแต่อย่างใด หล่อนใส่ร้ายตระกูลหลิน คิดกำจัดเซี่ยเซี่ย แถมยังต้องการจะฆ่าน้องชายแท้ ๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ ผู้หญิงคนนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์อีกต่อไป ที่ผ่านมาคุณใจดีกับหล่อนมากพอแล้ว ดังนั้นอย่าเฝ้าตำหนิตัวเองจนเกินไป เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเซี่ยหลาน และไม่ใช่ความผิดของพวกคุณคนใดคนหนึ่ง”
ในฐานะคนนอก การวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลและการพูดจาโน้มน้าวใจของหมอเย่ ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก
เขาเห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำกล่าวของหมอเย่ที่ว่าตระกูลเสิ่นเลวลึกไปยันรากเหง้า สมาชิกตระกูลเสิ่นรวมถึงผู้เฒ่าเสิ่นล้วนเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง
หลังดองเป็นครอบครัวฝั่งสะใภ้มายี่สิบปี โดยพื้นฐานแล้วเขาไม่ค่อยได้ติดต่อเสวนากับผู้เฒ่าเสิ่นเลย
ถึงอย่างนั้นเขาก็คาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเสิ่นอวี้อิ๋งหลานสาวของเขาที่เติบโตขึ้นในชนบทจะมีจิตใจที่โหดเหี้ยมได้ขนาดนี้ คิดแล้วให้รู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ
ท้ายที่สุด หล่อนก็เป็นหลานสาวที่มีเลือดครึ่งหนึ่งของตระกูลเซี่ยอยู่ในตัว
“ตอนที่เสิ่นอวี้อิ๋งกลับเข้ามาในเมืองเป็นครั้งแรก เพื่อชดใช้หนี้ที่ฉันติดค้างหล่อนไว้หลายปี และหวังว่าหล่อนจะมีอนาคตที่สดใส ฉันถึงกับยอมเสียสัจจะตอนแก่ ขอความช่วยเหลือจากโรงเรียนฝากหล่อนเข้าไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมไห่เฉิงแห่งที่หนึ่ง คิดว่าหล่อนจะได้ทำตามความฝันของตัวเอง ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี สอบเข้าวิทยาลัย แล้วกลับมาพร้อมกับความสำเร็จในอนาคต ใครจะคิดว่าเด็กไม่รักดีคนนั้นจะหลงละเลิงไปกับผู้ชายตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังพลาดท้องนอกสมรส ต้องหนีไปคลอดลูกเงียบ ๆ กลายเป็นคนผิดศีลธรรม กระนั้นเซี่ยหลานก็ยังไม่ทอดทิ้ง คอยดูแลหล่อนและเลี้ยงดูเด็กที่เกิดมาภายใต้แรงกดดันมหาศาล ใครจะคิดว่าหล่อนกล้าเนรคุณ แถมยังอยากจะฆ่าน้องชายตัวเอง ต่อให้อวี้หลงจะหลับอยู่ แต่อย่างน้อยเขาก็ยังหายใจ ขอแค่เขายังหายใจแค่นี้ เซี่ยหลานก็มีเป้าหมายให้ฝืนทนอยู่ต่อ เสิ่นอวี้อิ๋งคิดจะทำให้แม่ตัวเองไม่หลงเหลือความหวัง หล่อนไม่ได้ฆ่าอวี้หลงแค่คนเดียว ยังคิดจะฆ่าเซี่ยหลานให้ตายทั้งเป็น ลูกสาวฉันทำอะไรผิดถึงต้องมาพบเจอกับเรื่องแบบนี้”
ผู้เฒ่าเซี่ยรู้สึกหดหู่มากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่เขาพูด คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่มีต่อเสิ่นอวี้อิ๋ง ระคนกับความสงสารที่มีต่อเซี่ยหลาน
“เหล่าเซี่ย อย่าเศร้าโศกเกินไป”
หมอเย่หยิบแก้วเหล้าของผู้เฒ่าเซี่ยขึ้นมา รินชาให้เขาแทนพลางถอนหายใจ “ฉันเป็นหมอมาหลายสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้รู้ว่าโลกมีคนเลวทรามประเภทนี้อยู่ นี่ไม่ใช่ความผิดของนาย และไม่ใช่ความผิดของเซี่ยหลาน บางคนเกิดมาเพื่อชั่วร้าย เห็นแก่ตัว ไม่แยแสใครหน้าไหน เห็นแต่ความต้องการของตัวเองอยู่ในใจ ฉันคิดว่าผู้เฒ่าเสิ่นกับเสิ่นเถี่ยจวินก็น่าจะเป็นแบบเดียวกัน คานบนไม่ตรงคานล่างย่อมคดเคี้ยว ตอนนี้การฟื้นขึ้นมาของอวี้หลงถือเป็นความหวังอันสูงสุดของพวกเราแล้ว เราจะพยายามอย่างที่สุดเพื่อรักษาเขา”
หลินเซี่ยมองดูสีหน้าเศร้าหมองของผู้เฒ่าเซี่ย พูดปลอบโยนเขาเบา ๆ “คุณตา คุณปู่เย่พูดถูกนะคะ อย่าจมปลักอยู่กับความเสียใจไปเลย เราไม่ควรโทษตัวเองในเมื่อทุกอย่างเป็นความผิดพลาดที่เกิดจากคนอื่น อย่างที่บอก คุณทำหน้าที่ผู้อาวุโสอันชอบธรรมอย่างดีที่สุดแล้ว เสิ่นอวี้อิ๋งเองต่างหากที่ไม่เห็นค่า เราเปลี่ยนแปลงอะไรคนแบบนั้นไม่ได้ ฉะนั้นปล่อยให้กฎหมายสั่งสอนให้หล่อนรู้จักวิธีเป็นคนดีแทนเถอะค่ะ”
“เฮ้อ หล่อนก่ออาชญากรรม คลอดลูกแล้วไม่ได้เลี้ยง กลับโยนเด็กเข้าไปตายเอาดาบหน้าในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตอนนี้ยังดีที่หล่อนได้อาหารประทังชีวิตและที่นอนคุ้มกะลาหัว แต่แล้วเด็กล่ะ? ในอนาคตจะปล่อยให้หล่อนอยู่แต่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตลอดไปไม่ได้หรอกนะ”
สิ่งที่เซี่ยหลานบอกกับเขาตั้งแต่แรก คือเสิ่นอวี้อิ๋งไม่สามารถเลี้ยงลูกของตัวเองได้สักระยะหนึ่ง และหล่อนก็ไม่ต้องการสร้างความอับอายให้กับทุกคนเพราะการเกิดมาของเด็กคนนี้ ดังนั้นจึงส่งเด็กคนนี้ไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก่อน รอจนกว่าเสิ่นอวี้อิ๋งจะได้มีชีวิตที่เป็นอิสระ เติบโตมีวุฒิภาวะเพียงพอ ก่อนจะไปรับเด็กกลับมาอยู่ในความดูแล
ถึงอย่างไรเสิ่นอวี้อิ๋งก็มีร่างกายที่อ่อนแอเป็นพิเศษ อาจไม่สามารถให้กำเนิดลูกคนที่สองได้ในอนาคต
ในสถานการณ์แบบนี้ ความเป็นไปได้ที่เสิ่นอวี้อิ๋งจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองหมดสิ้นไปแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กต่อไป?
อีกหน่อยพวกเขาจะรับเด็กคนนี้กลับมาเลี้ยงดู หรือปล่อยให้หล่อนอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าต่อไป
เมื่อผู้เฒ่าเซี่ยคิดถึงเด็กทารกที่ถูกส่งไปอยู่ในสถานสงเคราะห์ในฐานะเด็กกำพร้า เขาก็รู้สึกหนักใจอย่างยิ่ง
นี่ก็เป็นอาชญากรรมเช่นเดียวกัน
พอผู้เฒ่าเซี่ยเริ่มพูดถึงลูกของเสิ่นอวี้อิ๋ง ดวงตาของหลินเซี่ยก็ฉายแววเย็นชาโดยไม่รู้ตัว
ในเวลานี้ เธอหวนนึกถึงสายตาลึกลับของเด็กคนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
ดวงตาคู่นั้นมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ดวงตาซื่อบริสุทธิ์อย่างที่ทารกควรจะเป็น ดวงตาคู่นั้นดูเหมือนเคยผ่านเรื่องราวมากมายมาอย่างโชกโชน โดยเฉพาะท่าทีที่เด็กแสดงออกต่อเธอ ทำให้หลินเซี่ยอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นสะท้าน
ขณะที่เธอกำลังก้มหน้ากินข้าว จู่ ๆ ความคิดบ้าบิ่นอย่างหนึ่งก็แวบผ่านเข้ามาในใจ
แต่ความคิดดังกล่าวทำให้เธอถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก
เป็นไปไม่ได้…
โชคชะตาคงไม่เล่นตลกขนาดนั้นหรอกใช่ไหม?
แต่หลินเซี่ยก็ฉุกคิดอีกครั้งว่าถ้าแม้แต่เธอยังกลับมาเกิดใหม่ได้ แล้วทำไมสิ่งนั้นจะเป็นไปไม่ได้กันล่ะ?
ทันใดนั้นหลินเซี่ยก็หมดความอยากอาหารทันใด
ใช่แล้ว เธอกำลังคาดเดาว่าลูกสาวของเสิ่นอวี้อิ๋งที่ชื่อเสิ่นเสี่ยวอวี้ก็น่าจะเป็นใครสักคนที่มาเกิดใหม่ ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเด็กวัยแบเบาะถึงได้แสดงท่าทีต่อเธอแบบนั้น
ผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ายังเคยพูดเลยว่าเด็กคนนี้แตกต่างจากเด็กคนอื่น
หล่อนมีความประพฤติดีมาก ไม่เคยร้องไห้เสียงดังหรือสร้างปัญหา เอาแต่เหม่อจ้องมองเพดานตลอดทั้งวัน
จะมีก็แต่ตอนที่หิวมากหรืออยากถ่ายอุจจาระเท่านั้น ถึงจะร้องไห้ออกมาสองแอะเพื่อดึงดูดความสนใจของพี่เลี้ยง