ปลายจวักครองใจ – ตอนที่ 518 คนของหอสุรา

ปลายจวักครองใจ

ตอนที่ 518 คนของหอสุรา

แม่ทัพใหญ่เหลยไม่ได้พูดซี้ซั้ว

ก่อนที่เขาจะได้มาดูแลกองทหารรักษาการณ์สามค่ายใหญ่ เขาเคยดูแลหน่วยทหารเว่ยสั่ว เป็นเรื่องปกติที่ทหารในหน่วยจะหนี กระทั่งหนีกันเป็นกลุ่มใหญ่

สำหรับเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าทหารไล่ล่าสองร้อยนายที่ไม่ได้กลับมาหนีไปแล้ว คงไม่ใช่ว่าหลงทางหรอก

จักรพรรดิหย่งอันได้ยินคำตอบที่ซื่อตรงนี้ก็ตรัสด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า “ตามประสบการณ์หรือ”

แม่ทัพใหญ่เหลยใจสั่นสะท้าน รีบพูดว่า “เป็นเพียงการคาดเดาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ…”

จักรพรรดิหย่งอันทรงนวดระหว่างคิ้วเบาๆ พระองค์ทรงกริ้วจนเส้นเลือดเต้นตุบๆ

คนเฝ้าประตูเมืองหนีไปพร้อมกับคนที่ปลอมตัวหนีออกจากเมือง ช่างเป็นเรื่องน่าขันจริงๆ!

“ตัดศีรษะครอบครัวผู้ทรยศหลบหนีต่อหน้าสาธารณะที่ลานประหารไช่ซื่อโข่ว”

เสียงเยือกเย็นดังขึ้น แม้เสนาบดีกรมกลาโหมจะทำใจไว้แต่แรกแล้ว แต่บัดนี้ก็ยังคงสั่นสะท้านและขาอ่อนอยู่ดี

สายพระเนตรของจักรพรรดิหย่งอันหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเสนาบดีตู้ “ตู้หนิง หากก่อความวุ่นวายเช่นนี้อีก เสนาบดีกรมกลาโหมนี้เจ้าก็ไม่ต้องเป็นแล้ว”

เสนาบดีตู้หมอบลงกับพื้น ขานตอบเสียงสั่น

จักรพรรดิหย่งอันมองไปที่แม่ทัพใหญ่เหลย “เหลยหมิง เจ้ารีบไประดมทหารม้าไล่ตามลั่วฉือขุนนางกบฏนั่นกลับมา!”

เหลยหมิงกำลังจะตอบ จักรพรรดิหย่งอันก็ตรัสอย่างเย็นชาว่า “หรือไม่ก็กำจัดทิ้งเสีย เอาเป็นว่าห้ามให้ขุนนางกบฏนั่นหลุดลอยไป บุตรสาวเขาก็เช่นกัน”

“กระหม่อมน้อมรับบัญชา” เมื่อเหลยหมิงกำลังจะออกไปก็นึกถึงซูเย่า “ฝ่าบาท บัณฑิตซู…”

จักรพรรดิหย่งอันทรงขมวดพระขนง ตรัสอย่างหมดความอดทนว่า “เอาออกไป ในเมื่อเป็นใบ้ก็ไม่ต้องไปราชบัณฑิตยสภาฮั่นหลินอีกแล้ว”

เป็นถึงขุนนางราชสำนักกลับถูกสตรีฉุดไปเป็นบุรุษคนโปรดในจวน อย่าว่าแต่เป็นใบ้เลย แม้จะปกติดีพระองค์ก็ทรงไม่อยากเห็นหน้าอีก

บัณฑิตจอหงวนสามปีมีครั้ง คิดว่าพระองค์ขาดแคลนบัณฑิตนักหรือ

ขันทีคนหนึ่งตามแม่ทัพใหญ่เหลยออกมา ถ่ายทอดราชโองการให้แก่ซูเย่า

ซูเย่าฟังขันทีพูดจนจบด้วยสีหน้าขาวซีด ดวงตาเขามืดมน

แม้ผลลัพธ์เช่นนี้จะอยู่ในความคาดหมายของเขา แต่เมื่อได้ยินจากปากของขันทีจริงๆ ความไม่เต็มใจและความเจ็บปวดก็ยังคงกัดกร่อนเลือดเนื้อของเขาราวกับสัตว์ร้าย

ความเจ็บปวดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้นั้น เพียงพอที่จะทำให้คนๆ หนึ่งเสียสติ

ซูเย่าเดินออกจากพระราชวังอย่างหมดอาลัยตายอยาก

ฟ้าสว่างมากแล้ว เมืองหลวงทั้งเมืองตื่นจากการหลับใหล ครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง

สือเยี่ยนยืนอยู่ในลานบ้าน ยืดตัวบิดขี้เกียจ

เช้าฤดูใบไม้ผลิมักดีงามเสมอ แสงตะวันสดใส นกน้อยส่งเสียงร้องบนกิ่งไม้ ลมที่พัดมาปะทะร่างกายชวนให้สดชื่นและเย็นสบาย

“พี่สือซาน” เสียงอ่อนนุ่มของเด็กหนุ่มดังขึ้น

สือเยี่ยนก้มศีรษะลงยิ้มให้ฟู่เสวี่ย “ฟู่เสวี่ยตื่นแล้วหรือ เหตุใดไม่นอนต่ออีกสักหน่อยเล่า”

ฟู่เสวี่ยยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้ “เมื่อวานคุณหนูส่งจดหมายฉบับนี้ให้ข้า บอกว่าหากเช้าวันนี้คนจากจวนแม่ทัพใหญ่ไม่ได้มา ให้ข้านำจดหมายนี้ให้พี่”

สือเยี่ยนรับมา พึมพำว่า “เมื่อวานคุณหนูยังมาหอสุราตอนกลางวันมิใช่หรือ เหตุใดไม่ให้ข้าเองเล่า”

ฟู่เสวี่ยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ตั้งใจเดาว่า “คงกลัวว่าพี่สือซานจะแอบดูกระมัง”

องครักษ์น้อยที่เปิดจดหมายเตรียมจะอ่านชะงักไป กระตุกมุมปากอย่างแรง “ฟู่เสวี่ยเอ๋ย พี่สือซานของเจ้าเป็นคนแบบนี้หรือ”

ฟู่เสวี่ยกะพริบตาสองสามที ไม่ได้พยักหน้า

หลังจากอ่านจดหมายจบอย่างรวดเร็ว สือเยี่ยนก็นิ่งเงียบนานไปราวกับรูปปั้น

สืออี้เดินออกมา เห็นพี่ชายที่ยืนแข็งทื่อดังไก่ไม้ก็ขมวดคิ้ว

พี่สามมายืนเหม่อตั้งแต่เช้าทำไมกัน

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า สือเยี่ยนก็ราวกับเพิ่งตื่นจากภวังค์ เขาโถมเข้าไปคว้าข้อมือของสืออี้เอาไว้ “น้องสี่ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

ฟู่เสวี่ยตาโต ตกตะลึงกับพฤติกรรมกะทันหันนี้ของสือเยี่ยน

“เรื่องอะไร” สืออี้ดูไปแล้วมั่นคงกว่า

“เจ้าดูนี่สิ!” สือเยี่ยนยื่นจดหมายไปให้ ชายชาตรีที่ปกติร่าเริงสดใส บัดนี้มือกลับสั่นเทา

สืออี้รับจดหมายมาอ่านจนจบ สีหน้าที่สงบแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาหันหลังเดินไปข้างนอก

สืออี้ดึงเขาไว้ “น้องสี่ เจ้าจะไปไหน”

“ไปจวนแม่ทัพใหญ่!”

สือเยี่ยนปล่อยมือ “เช่นนั้นเจ้ารีบไปสืบดู เราจะรอเจ้าที่นี่”

สืออี้ยัดจดหมายกลับไปให้พี่ชายและจากไปอย่างรวดเร็ว

สือเยี่ยนกำจดหมายไว้แน่น พายุโหมซัดในใจ

ในจดหมายคุณหนูลั่วบอกว่าหากสำเร็จ ตอนนี้พวกเขาคงออกจากเมืองหลวงแล้ว ให้เขาและน้องสี่ดูแลคนที่อยู่ในหอสุราให้ดี

คุณหนูลั่วก่อกบฏทั้งครอบครัวหรือ

และยังหนีออกจากเมืองหลวงในยามวิกาลอีก

และยังทิ้งข้าและน้องสี่ไว้?

จู่ๆ องครักษ์น้อยก็รู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

ฟู่เสวี่ยเห็นสีหน้าสือเยี่ยนแปรเปลี่ยนไม่หยุดก็ถามอย่างระมัดระวังว่า “พี่สือซาน เกิดอะไรขึ้นหรือ”

สือเยี่ยนดึงสติกลับมามองเด็กหนุ่ม

โอ้ เด็กน่าสงสารคนนี้ก็ถูกทิ้งเช่นกัน

“ฟู่เสวี่ย วันก่อนเจ้าพาต้าไป๋กลับจวนแม่ทัพใหญ่มิใช่หรือ พบความผิดปกติอะไรหรือไม่”

“ผิดปกติหรือ” ฟู่เสวี่ยคิดครู่หนึ่ง ถามอย่างเสียใจว่า “คุณหนูส่งพวกพี่หมิงจู๋กลับจวนองค์หญิงนับว่าเป็นเรื่องผิดปกติหรือไม่”

สือเยี่ยนตบขา “ผิดปกติสิ!”

ฟู่เสวี่ยเตือนเบาๆ “แต่พี่สือซานก็รู้มิใช่หรือ ตอนนั้นพี่ได้ยินแล้วยังดีใจอยู่เลย”

สือเยี่ยน “…”

จะไม่ดีใจได้อย่างไร ครานั้นเขาคิดว่าคุณหนูลั่วกลับมาอยู่กับร่องกับรอยเพื่อนายท่านแล้ว นายท่านกลับมาพบว่าข้างกายคุณหนูลั่วสงบลงคงมีความสุขมาก

ตอนนี้สิดี คุณหนูลั่วเจอปัญหาใหญ่เช่นนี้ไม่ได้บอกพวกเขาเลยแม้แต่คำเดียว เห็นได้ชัดว่านางเห็นพวกเขาเป็นคนนอกจริงๆ

เห็นพวกเขาเป็นคนนอกเท่ากับว่าเห็นนายท่านเป็นคนนอกด้วย

เห็นทีตำแหน่งของนายท่านในใจคุณหนูลั่วยังไม่สูงเท่าอาซิ่วเลย

เมื่อคิดถึงฝีมือการทำอาหารของอาซิ่ว สือเยี่ยนก็เงียบไป

หากพูดอย่างมีเหตุผลแล้ว เขาค่อนข้างเข้าใจการตัดสินใจของคุณหนูลั่ว…

“พี่สือซาน เกิดอะไรขึ้นกันแน่” แม้ฟู่เสวี่ยจะไร้เดียงสา แต่เขาไม่ได้โง่ ปฏิกิริยาของสือเยี่ยนทำให้เขาไม่สบายใจ

สือเยี่ยนถอนหายใจ บอกเนื้อหาในจดหมายแก่เขา

ฟู่เสวี่ยหน้าซีด จะร้องไห้ “คุณหนูไม่ต้องการข้าแล้วหรือ”

ครานี้เองเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้น สืออี้กลับมาแล้ว

“เป็นอย่างไรบ้าง” สือเยี่ยนรีบถาม

สืออี้สีหน้าจริงจัง “ยังไปไม่ถึงจวนแม่ทัพใหญ่ก็ได้ยินคนข้างนอกพูดกันแล้ว แม่ทัพใหญ่ลั่วพาครอบครัวออกจากเมืองยามวิกาล แม่ทัพใหญ่เหลยกำลังนำทัพออกตามล่า…”

สือเยี่ยนยิ่งฟังสีหน้ายิ่งย่ำแย่ “ไม่ได้ ข้าต้องส่งจดหมายให้นายท่าน!”

จู่ๆ เสียงตะโกนของผู้ดูแลหญิงก็ดังขึ้นจากห้องโถง “พวกเจ้าทำอะไร”

สองพี่น้องสบตากันแล้วรีบเดินไปที่ห้องโถง

ประตูหอสุราถูกถีบออก ทหารกลุ่มหนึ่งทะลักเข้ามา หัวหน้าเจ้าหน้าที่ตะคอก “จับตัวคนในหอสุราไปให้หมด!”

หลังจากผู้ดูแลหญิงตื่น นางก็มาทำบัญชี ยังไม่รู้ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ก้าวร้าว นางก็เตือนด้วยความหวังดีว่า “ท่านเจ้าหน้าที่ นี่คือหอสุราของคุณหนูลั่ว”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่ยิ้มหยัน “หอสุราของบุตรสาวขุนนางกบฏข้าย่อมรู้! ทหาร จับผู้ดูแลคนนี้ก่อน”

เสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น “จับใครกันน่ะ”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่มองไปตามเสียง เห็นชายหนุ่มสองคนที่มีหน้าตาคล้ายกันเดินเข้ามา

“เอ๋ เราเคยเจอกันนี่” สือเยี่ยนมองหัวหน้าเจ้าหน้าที่พลางเลิกคิ้ว

หัวหน้าเจ้าหน้าที่จำพี่น้องสือเยี่ยนได้ เขาเปลี่ยนท่าทีทันที “เรารับคำสั่งมาจับคนของหอสุรา หวังว่าท่านสือจะอำนวยความสะดวก”

ปลายจวักครองใจ

ปลายจวักครองใจ

Status: Ongoing
อาหารแม้เลิศรสเพียงไหน แต่หากซ่อนไว้ซึ่งพิษร้ายเล่า? แม้เขาจะดีเพียงใด แต่หากแซ่ ‘เว่ย’ แล้วไซร้ พวกเขาคงถูกลิขิตให้ไม่อาจร่วมโลก! จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยนิยายโรแมนติก เข้มข้นสอดแทรกความตลกอย่างลงตัว จากผู้เขียน ตงเทียนเตอะหลิ่วเยี่ยสิบสองปีก่อนจวนเจิ้นหนานอ๋องถูกราชสำนักสั่งกวาดล้าง คนในจวนทั้งหมดโดนสังหาร โลหิตย้อมจนพื้นเป็นสีแดงฉานท่านหญิงชิงหยางที่ออกเรือนไปในวันเดียวกันนั้นพอทราบข่าวก็เร่งรุดกลับมาที่จวนกลับถูกสามีหมาดๆ อย่างผิงหนานอ๋องซื่อจื่อยิงธนูใส่จนสิ้นใจผิงหนานอ๋องซื่อจื่อ เว่ยเชียง คือผู้ที่รวบรวมหลักฐานการก่อกบฏของจวนเจิ้นหนานอ๋องรายงานต่อราชสำนัก ได้รับการยกย่องในความสามารถและถูกแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาทองค์ปัจจุบัน…สิบสองปีต่อมาท่านหญิงชิงหยางกลับฟื้นขึ้นอีกครั้งในร่างของ ลั่วเซิง คุณหนูสายตรงผู้เป็นดวงใจของแม่ทัพใหญ่ลั่ว เพราะนิสัยมักมากในกามของร่างเดิมจึงล่วงเกิน ไคหยางอ๋อง พระอนุชาในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันผู้มีฉายาว่าเทพสงครามเข้า บิดาจึงจำใจส่งนางมาอยู่ที่บ้านท่านตาที่จินซาชื่อเสียงของแม่นางลั่วนั้นเรียกได้ว่าฉาวโฉ่ เอาแต่ใจ หยาบคาย มักมาก เจ้าอารมณ์ ถือว่ามีบิดาคอยให้ท้ายไม่มีสิ่งใดไม่กล้าทำหลังกลับคืนเมืองหลวงนางและ ไคหยางอ๋อง กลับมีเรื่องราวให้ต้องเกี่ยวพันกันอยู่เรื่อยๆแม้เขาจะเป็นคนซื่อสัตย์เพียงไร แต่ในเมื่อเขาแซ่ ‘เว่ย’ นางและเขาก็ถูกลิขิตมาให้ไม่อาจอยู่ร่วมโลก!“ข้ากับแม่นางลั่วไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้า” ชายชุดสีแดงเข้มเดินเข้ามาและสบตากับลั่วเซิง “ไม่ทราบว่าแม่นางลั่วจำข้าได้หรือยัง”“ก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ แต่ไม่รู้จำผิดหรือไม่ คุณชายจะให้ข้าพูดออกมาตอนนี้เลยหรือ”เวลานี้เอง เว่ยหานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าคิดว่าหลังจากแม่นางลั่วปลดเข็มขัดข้าแล้วจะจำข้าได้เสียอีก”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท