บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1430 กลับคืนสู่ภพเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1430 กลับคืนสู่ภพเซียน

ฝุ่นผงและสิ่งสกปรกฟุ้งกระจายไปในอากาศ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด

ปิงซื่อเทียนตายไปแล้ว และไม่มีทางฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ได้เห็นการต่อสู้สะท้านโลกาเมื่อครู่นี้ ทุกคนก็พูดไม่ออกเป็นเวลานาน

ใม่ใช่เพราะการตายของปิงซื่อเทียน แต่เป็นเพราะวันนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น และมองย้อนกลับไป ก็ยังคงรู้สึกเหมือนว่ามันเป็นฝันร้าย

ปิงซื่อเทียนได้บุกเข้าสู่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองอย่างหยิ่งผยอง ก่อนที่จะจัดการกับพวกเขาทั้งหมด และไม่มีใครสามารถต่อกรกับคนผู้นี้ได้ ทำให้ความสิ้นหวังก่อตัวอยู่ในใจของทุกคน

หลังจากนั้น เฉินซีก็ปรากฏกายออกมา แล้วบรรพบุรุษเติ้งเฉินและเฟยหลิงก็ระเบิดตัวเอง

ซึ่งในที่สุด ปิงซื่อเทียนก็ถูกสังหาร…

ทั้งหมดนี้ดูน่าตื่นตาตื่นใจมาก มันทำให้จิตใจของพวกเขาประสบกับความโศกเศร้าและความสุขอันเปี่ยมล้น ทำให้ไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ

เดิมที หากปิงซื่อเทียนไม่มาสร้างปัญหาในวันนี้ การกลับมาของเฉินซีย่อมทำให้นิกายกระบี่เก้าเรืองรองทั้งหมดปั่นป่วน พวกเขาจะต้อนรับเฉินซีและจัดงานเลี้ยงเพื่อเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่

ทว่าบัดนี้ เนื่องจากนิกายถูกทำลายเกือบทั้งหมด ประกอบกับการเสียชีวิตของบรรพบุรุษเติ้งเฉินและเฟยหลิง คนทั้งหมดจึงไม่มีใครมีอารมณ์เฉลิมฉลอง

ม่านเงาแห่งพลบค่ำ นำความมืดมาสู่ผืนแผ่นดิน

ณ ซากปรักหักพังอันเงียบสงบและว่างเปล่า เฉินซีและประมุขนิกายเวินหัวถิงปรึกษาหารือกันเนิ่นนาน ในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจได้ เมื่อเฉินซีกลับสู่ภพเซียน นิกายกระบี่เก้าเรืองรอง จะย้ายเข้าไปในโลกที่สร้างโดยหม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีป

เหตุผลก็ง่ายเช่นกัน เพราะในปัจจุบัน แดนภวังค์ทมิฬตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายครั้งใหญ่ เปลวไฟแห่งสงครามโหมกระหน่ำไปทั่วโลกเนื่องจากกองทัพต่างพิภพ เมื่อรวมกับอาณาเขตของนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่ถูกทำลายจนเป็นซากปรักหักพังโดยปิงซื่อเทียน มันอาจถือว่าได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การติดตามเฉินซีกลับไปยังภพเซียนย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

หลังจากที่พวกเขาตัดสินใจในเรื่องนี้แล้ว เฉินซีก็เข้าไปในถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตทันที

ณ ชั้น 99 ของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิต

มหาสมุทรหินหลอมเหลวที่พลุ่งพล่านนั่นเต็มไปด้วยไอน้ำสีขาว และมันลุกโชนจนถึงจุดที่แม้แต่อากาศก็บิดเบี้ยว ทั้งยังเปี่ยมด้วยกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งยังคงเหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน

ที่ใจกลางมหาสมุทรหินหลอมเหลว มีดอกบัวขนาดมหึมาบานอยู่ ดอกบัวนี้มีสีแดงเข้ม และงดงามยิ่ง

เมื่อหลายปีก่อน เฉินซีได้พบกับมารบงกชเป็นครั้งแรกที่นี่

แม้ที่นี่จะยังคงเหมือนเดิม แต่มารบงกชได้ตายไปแล้ว

เพื่อการแก้แค้น เขาบดขยี้ภูเขาหมอกเซียน แต่กลับถูกราชันเซียนจากนิกายอำนาจเทวะซุ่มโจมตีระหว่างทางกลับ และเสียชีวิตที่นั่น

ครั้งนี้ เฉินซีมายังชั้นที่เก้าสิบเก้า ของถ้ำกระบี่วิญญาณโลหิตด้วยความตั้งใจที่จะแจ้งข่าวร้ายแก่เต๋าบงกช

“เฉินซี ในที่สุดเจ้าก็มา” ทันทีที่เฉินซีมาถึง เสียงที่ชัดเจนราวกับระฆังก็ดังขึ้น มันทำให้เขารู้สึกสงบราวกับกำลังฟังท่วงทำนองที่ลึกล้ำของมหาเต๋า

เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เฉินซีก็เห็นร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิบนดอกบัวสีแดงโลหิตที่งดงาม ซึ่งอยู่ใจกลางมหาสมุทรหินหลอมเหลว คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมสีเขียว ผมยาวถึงเอว รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ที่หน้าผากเต็มไปด้วยท่าทางที่สงบและไร้กังวล

เขาเป็นเหมือนสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนและถ่อมตัว ทั้งยังบริสุทธิ์ ไร้ที่ติ ใจกว้าง และไม่แยแส ทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสงบเมื่อจ้องมองคนผู้นี้

ลักษณะของเขาแตกต่างไปจากมารบงกชโดยสิ้นเชิง แต่รูปร่างหน้าตาเหมือนมารบงกชทุกประการ

เขาคือเต๋าบงกช!

ทว่ามันไม่เหมือนกับในอดีต กลิ่นอายของเต๋าบงกชนั้นอ่อนแอลงมาก ร่างก็ดูพร่ามัว คล้ายแค่สัมผัสเบา ๆ ก็ทำให้อีกฝ่ายแตกเป็นเสี่ยง ๆ

เดิมทีเฉินซีรู้สึกตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นเต๋าบงกช ทว่าเมื่อสังเกตเห็นกลิ่นอายของอีกฝ่าย เขาก็ตกใจและรีบถามทันที “ผู้อาวุโส เกิดอันใดขึ้น?”

เต๋าบงกชกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หรือว่าเจ้าจะลืมไปแล้ว? มารบงกชและข้าเกิดมาคู่กัน เมื่อเขาตาย ข้าจะคงอยู่เพียงลำพังได้อย่างไร?”

รอยยิ้มดูไร้กังวล และเสียงชัดเจนและสงบ ประหนึ่งได้เห็นสัจธรรมของชีวิตกับความตายมานานแล้ว

เฉินซีตกตะลึง “ท่านทราบอยู่แล้วหรือ?”

เต๋าบงกชพยักหน้า “ข้ารู้ตั้งแต่พริบตาที่มารบงกชสิ้นชีพ และเขาไม่สามารถตำหนิใครได้ นอกจากโทษตนเองที่ใจร้อน จนลงมืออย่างผลีผลาม”

เฉินซีกล่าวไม่ออก และไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร

“ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ท่านอาจารย์ต้องแผนร้ายจนต้องพินาศไป ข้ารู้ว่าศัตรูของเรานั้นน่าสะพรึงกลัวเกินไป พวกมันไม่ใช่สิ่งที่มารบงกชและข้าจะสามารถต่อกรได้ น่าเสียดายที่มารบงกชไม่เคยคิดจะฟังข้าเลย” เต๋าบงกชถอนหายใจเบา ๆ ใบหน้าหล่อเหลาและอบอุ่นเต็มไปด้วยความขมขื่นที่ยากจะมองเห็น

แต่หลังจากนั้น เขาก็ยิ้มอย่างสบายใจ และมองเฉินซีด้วยแววตาที่ชัดเจน “โชคดีที่นิกายกระบี่เก้าเรืองรองของข้ายังมีเจ้าเฉินซี ท้ายที่สุดแล้ว มันยังมีร่องรอยความหวังอยู่”

เฉินซีเม้มริมปีฝาก “โปรดอย่ากังวลท่านผู้อาวุโส แม้ว่าท่านจะไม่กล่าวถึงความเป็นปฏิปักษ์นี้ แต่ข้าก็จะยุติมันให้แก่ท่าน”

เต๋าบงกชพยักหน้าและกล่าว “เฉินซี เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับแดนเทพโบราณหรือไม่”

เฉินซีชะงัก “ข้าเคยได้ยิน เหมือนจะมีเพียงทวยเทพที่มีคุณสมบัติในการขึ้นสู่แผนผังบรรลุเทพเท่านั้น ที่มีโอกาสเข้าสู่แดนศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น”

“แผนผังบรรลุเทพ…” เต๋าบงกชพึมพำด้วยสีหน้างุนงง คล้ายนึกบางอย่างได้ “แดนเทพโบราณถูกเรียกว่าดินแดนนิรันดร์มาตั้งแต่สมัยโบราณ และมันถูกเรียกว่าอาณาจักรของทวยเทพ อย่างไรก็ตาม…”

เมื่อกล่าวมาถึงจุดนี้ สีหน้าของเต๋าบงกชเริ่มไม่แน่นอนเล็กน้อย และเงียบไปนาน

“ผู้อาวุโส” เฉินซีอดไม่ได้ที่จะเรียกอีกฝ่าย

“ช่างเถอะ เจ้าจะเข้าใจเอง เมื่อเจ้าได้สัมผัสกับความลับของการกลายเป็นเทพ ภพทั้งสามนั้นเป็นเพียงกรง และเป็นเรื่องยากที่จะหลุดพ้นจากกรงนี้ เพื่อไปถึงดินแดนนิรันดร์” เต๋าบงกชได้สติจากการครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง และถอนหายใจเบา ๆ “ถ้าเป็นไปได้ ข้าไม่แนะนำให้เจ้าแสวงหาความลับในการกลายเป็นเทพ”

หลังจากนั้นเขาก็หัวเราะอย่างขมขื่นอีกครั้ง “แต่ข้ารู้… เจ้าคงไม่หยุดเพียงแค่นั้น”

เฉินซีตกตะลึง และหัวใจก็เต็มไปด้วยคำถาม ทว่าจากการแสดงออกของเต๋าบงกช เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดที่จะกล่าวอะไรไปมากกว่านี้ ดังนั้นเฉินซีจึงได้แต่ระงับคำถามเหล่านี้ไว้ในใจเท่านั้น

ด้วยความเข้าใจที่เขาได้ประสบจากแดนบรรลุเทพ เมื่อรวมกับคำกล่าวของเต๋าบงกช ทำให้สัมผัสได้ราง ๆ ว่า การไปที่ดินแดนเทพโบราณนั้นคงไม่ง่ายอย่างที่คิด

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ ยังเป็นเรื่องที่ไกลตัวสำหรับเขา บางทีมันอาจจะเหมือนกับที่เต๋าบงกชกล่าวไว้ เมื่อเริ่มแสวงหาการเป็นเทพอย่างแท้จริง เขาก็จะเข้าใจทุกอย่าง

“เฉินซี มหาเต๋านั้นเต็มไปด้วยการหักหลังและความไม่แน่ไม่นอน ตัวอย่างเช่น ท่านอาจารย์ของข้าได้แสวงหามันมาตลอดชีวิต แต่ท้ายที่สุดก็ต้องสิ้นชีพ บัดนี้ กลียุคของสามภพนั้นไม่มีทางที่จะหยุดยั้ง และข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถรักษาเปลวไฟแห่งมรดกของนิกายกระบี่เก้าเรืองรอง เพื่อที่มันจะไม่หายไปเช่นนั้น” กล่าวจบ เต๋าบงกชลุกขึ้นยืน แววตาเปล่งประกาย และน้ำเสียงเปรียบเสมือนเสียงระฆังยามเช้า พร้อมกับเผยท่าทางไร้กังวล

เขาเอามือไพล่หลังไว้ ก่อนจะหันไปมองเฉินซีด้วยรอยยิ้ม “ตลอดชีวิตของข้านั้นไม่อาจทำอะไรตามใจหรือไร้กังวลเหมือนมารบงกช บัดนี้ ในที่สุดข้าก็เป็นอิสระ ถึงเวลาของข้าแล้ว… เฉินซี รักษาตัวด้วย”

สิ้นเสียงพูด เขาก็กลายเป็นกลุ่มควันเลือนหายไป

เสียงของเขายังคงล่องลอยอยู่ในอากาศ แต่ร่างของเต๋าบงกชได้หายไปแล้ว

เฉินซีเหม่อมองความว่างเปล่า และรู้สึกหดหู่ใจ

ผู้อาวุโสจี้อวี๋จากไปแล้ว และบอกให้ข้าดูแลตัวเอง เพื่อไปตามหาร่องรอยของผู้อาวุโสฝูซี ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ สักวันหนึ่งพวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง

ตอนนี้ เต๋าบงกชก็จากไปเช่นกัน และยังบอกให้ข้าดูแลตัวเอง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าคงไม่สามารถพบกับเต๋าบงกชได้อีก…

เช่นเดียวกับที่เต๋าบงกชกล่าวไว้ เต๋าบงกชและมารบงกชเกิดมาคู่กัน ดังนั้นเมื่อมารบงกชเสียชีวิต เต๋าบงกชก็ไม่อาจมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

วันต่อมา เฉินซียืนอยู่ในนิกายกระบี่เก้าเรืองรองที่กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว

ปัจจุบัน นิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้เข้าไปอยู่ในหม้อกลั่นศักดิ์สิทธิ์เก้าทวีปแล้ว เดิมทีเขาตั้งใจจะเดินทางไปยังตระกูลไป๋ แต่เวินหัวถิงกล่าวว่า ตระกูลไป๋ได้ไปจากแดนภวังค์ทมิฬร้อยกว่าปีแล้ว และไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาไปที่ไหน

ด้วยเหตุนี้ เฉินซีจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจแต่ไร้กังวล ตามความสามารถของผู้นำตระกูลไป๋อย่างไป๋จิงเฉิน ตระกูลไป๋จะต้องสังเกตบางสิ่งอย่างแน่นอน จึงตัดสินใจดำเนินการเช่นนั้น

สำหรับสถานที่ที่พวกเขาไปนั้น เฉินซีเดาว่า ภพเซียนมีความเป็นไปได้มากที่สุด แต่ไม่กล้ายืนยันว่านี่เป็นความจริงหรือไม่

ในที่สุด เขาก็หายใจเข้าลึก ๆ และหยุดลังเล

โอม!

ชายหนุ่มสะบัดแขนเสื้อ ทำให้มวลปราณเซียนพิสุทธิ์ที่หนาแน่นและคลุมเครือพุ่งออกมา ก่อนที่จะไขว้ตัดกันในอากาศ กลายเป็นยันต์ที่ดูลึกลับ และหลอมรวมกลายเป็นผังค่ายกลแปลกประหลาด

ผังค่ายกลเรืองแสงราวกับแม่น้ำแห่งดวงดาวที่ระยิบระยับในจักรวาล มันทั้งงดงามและเจิดจ้าอย่างยิ่ง

เฉินซีเดินขึ้นไปบนผังค่ายกล จากนั้นหันกลับมามองดูผืนฟ้า แผ่นดิน และทุกสิ่งในโลกอีกครั้ง ก่อนที่จะหันหลังจากไป

ครืน!

ลำแสงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ทำให้กระแสลมและมวลเมฆที่อยู่ในบริเวณโดยรอบสั่นสะเทือน คล้ายฉีกกระชากชั้นบรรยากาศของแดนภวังค์ทมิฬออกจากกัน และเมื่อทั้งหมดนี้กลับคืนสู่ความสงบ เฉินซีก็หายตัวไปแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น นิกายกระบี่เก้าเรืองรองได้หายไปพร้อมกับเขา!

“ใต้เท้าเว่ย! ข้าต้องการคำอธิบาย!”

ภายในห้องโถงหลักของตระกูลจั่วชิว ณ ทวีปเนตรสวรรค์ของภพเซียน

ผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน จั่วชิวเฟิง มีสีหน้าดำคล้ำ ในขณะที่โยนแผ่นหยกลงบนพื้น จนมันแตกเป็นผุยผง

ห้องโถงว่างเปล่า นอกจากจั่วชิวเฟิงแล้ว ก็มีเพียงชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีม่วง มีผมสีดอกเลา และท่าทางประณีต

เขาชำเลืองมองจั่วชิวเฟิงช้า ๆ “มนุษย์ทุกคนมักทำผิดพลาด เหมือนที่ม้าทุกตัวมักสะดุดล้ม แม้ว่าข้าจะเตรียมแผนการในครั้งนี้ ใครจะคิดว่าจั่วชิวฮงและจั่วชิวปั๋วอวินของตระกูลเจ้า กลับต้องมาตายในโลกใบเล็กเช่นนี้”

“นั่นคือราชันเซียนครึ่งขั้นถึงสองคน ไม่ต้องกล่าวถึงโลกใบเล็ก ราชันเซียนครึ่งขั้นทั้งสองนั้นก็มากเกินพอที่จะทำลายล้างโลกใบใหญ่ ทว่ากลับถูกฆ่าตาย นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าศัตรูก็มีไพ่ตายซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเช่นกัน และนั่นไม่ใช่ข้อบกพร่องในแผนการของข้า”

จั่วชิวเฟิงย่อมเข้าใจหลักการนี้ดี แต่เขาไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ เพราะนั่นคือราชันเซียนครึ่งขั้นสองคน! แม้ว่าตระกูลจั่วชิวจะเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลโบราณที่ยิ่งใหญ่ของภพเซียน แต่ตัวตนระดับนี้ก็หาได้ยากมาก และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะส่งเสริมคนอื่นในตระกูลให้ไปถึงระดับนั้นในช่วงเวลาสั้น ๆ!

“ฮึ่ม! ใต้เท้าเว่ย นี่เป็นทัศนคติของนิกายอำนาจเทวะของท่านต่อเรื่องนี้หรือ?” จั่วชิวเฟิงมีสีหน้าดำคล้ำมากขึ้นทุกขณะ

ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมสีม่วงที่ถูกเรียกว่าท่านเว่ยขมวดคิ้ว และกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่จู่ ๆ ดวงตาก็ทอประกายวาบ แผ่นหยกพุ่งออกมาจากอากาศ ก่อนที่จะถูกคว้าไว้ในมืออย่างมั่นคง

“การปฏิบัติการของปิงซื่อเทียนก็ล้มเหลวเช่นกัน…” เมื่อเห็นเนื้อหาของแผ่นหยก สีหน้าของท่านเว่ยก็ดิ่งลงเช่นกัน “ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยที่มีนามว่าเฉินซี จะรับมือได้ไม่ง่ายเลย”

ปิงซื่อเทียน?

จั่วชิวเฟิงชะงัก ชื่อนี้ไม่คุ้นเคยเลยสักนิด

“ผู้นำตระกูลจั่วชิว โปรดสงบใจ ครั้งนี้เรามีศัตรูร่วมกัน ดังนั้นนิกายอำนาจเทวะของข้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน เมื่อเราพบกันอีกครั้ง ข้าจะให้คำตอบที่น่าพอใจแก่เจ้าแน่นอน” ท่านเว่ยยืนขึ้น และกล่าวคำเหล่านี้ ก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบ

“คำตอบที่น่าพอใจ? ฮึ่ม! ไอ้พวกสารเลวนิกายอำนาจเทวะ! ข้าจะรอดูว่าคำตอบเช่นใดที่ข้าจะได้รับ หลังจากที่ตระกูลจั่วชิวต้องจ่ายราคามหาศาล!” ความโกรธยังคงคุกรุ่นอยู่ในใจ หลังจากที่ท่านเว่ยจากไป และสีหน้าของเขาก็ยิ่งมืดมนอย่างน่าสะพรึงกลัว!

 

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท