ตอนที่ 636 คงไม่ได้จะให้ฉันเลี้ยงเสิ่นเสี่ยวอวี้หรอกนะ?
หลินเซี่ยแทบนั่งไม่ติดที่เพราะความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว
แต่ในใจเธอยังมีอีกคำถาม ถ้าเสิ่นเสี่ยวอวี้ได้กลับมาเกิดใหม่จริง หล่อนจะเป็นพวกเดียวกับเสิ่นอวี้อิ๋งหรือเปล่า?
ชาติที่แล้ว เสิ่นเสี่ยวอวี้เป็นคนถอดหน้ากากออกซิเจนของเธอออกด้วยตัวเอง หากได้กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งแล้ว เด็กคนนี้จะทำเหมือนเดิมอีกหรือไม่?
เสิ่นเสี่ยวอวี้มาเกิดใหม่ตั้งแต่เมื่อใด?
เธอคิดถึงแววตาที่เสิ่นเสี่ยวอวี้มองเธอ ดวงตาคู่นั้นแลดูปราศจากความเป็นศัตรู และดูกระตือรือร้นอยากให้เธออุ้มเสียด้วยซ้ำ
หลินเซี่ยอยากไปสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าอีกครั้งเพื่อหาคำตอบด้วยตนเอง
เฉินเจียเหอบอกว่าจะมารับเธอหลังเลิกงาน หลินเซี่ยมองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยงครึ่ง ยังอีกนานกว่าเฉินเจียเหอจะเลิกงาน
เธอมีเรื่องกังวลใจ จึงไม่มีแก่ใจจะรออยู่ที่บ้านผู้อาวุโสเย่ไปทั้งบ่าย
เสิ่นอวี้หลงไปตรวจร่างกาย คงยังไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้ เธอกับผู้อาวุโสทั้งสองก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรกัน โดยเฉพาะตอนนี้เธอมีเรื่องกังวลใจ ไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรทั้งนั้น
หลังจากหลินเซี่ยกินข้าวเสร็จ ผู้เฒ่าเซี่ยก็ขอให้ผู้อาวุโสเย่ช่วยจับชีพจรตรวจดูสภาพร่างกายให้เธอ
ผู้เฒ่าเซี่ยใส่ใจทารกในครรภ์หลินเซี่ยเป็นอย่างมาก เมื่อเด็กน้อยลืมตาออกมาดูโลกก็จะเรียกเขาว่าตาทวด ถือว่าเป็นเหลนของเขา
เมื่อคนเราอายุมากแล้วก็จะให้ความสำคัญกับชีวิตที่จะถือกำเนิดใหม่เป็นพิเศษ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เด็กคนนั้นยังเป็นลูกของ ‘หลานสาว’ ที่เขาเห็นมาแต่อ้อนแต่ออก
หลินเซี่ยเพิ่งไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาลเมื่อไม่นานมานี้ แต่ในเมื่อผู้เป็นตาเสนอขึ้นมา เธอจึงให้ผู้อาวุโสเย่จับชีพจรตรวจสุขภาพให้อย่างกระตือรือร้น
พอผู้อาวุโสเย่ตรวจชีพจรเสร็จก็บอกว่า ร่างกายของหลินเซี่ยแข็งแรงดีมาก ทารกในครรภ์ก็แข็งแรงดี ให้เธอหมั่นเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ
ผู้เฒ่าเซี่ยถามขึ้นอย่างสงสัย “เหล่าเย่ เด็กในท้องเซี่ยเซี่ยเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง? ตรวจชีพจรแบบนี้ คุณพอจะวินิจฉัยได้ไหม?”
ผู้อาวุโสเย่ได้ยินดังนั้นก็จ้องเขาเขม็ง “หมายความว่ายังไง? คุณยังให้ความสำคัญกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิงงั้นรึ?”
ผู้เฒ่าเซี่ยอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมไม่ใช่คนแบบนั้น ผมแค่สงสัยเฉย ๆ”
“อย่าสงสัยเลย เรื่องนี้เป็นความลับ คลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงก็เลี้ยงไปตามนั้นแหละ” ผู้อาวุโสเย่นั่งลงข้าง ๆ ด้วยท่าทางเย็นชาอย่างมาก
“ผมว่าเป็นเพราะคุณไม่ได้เก่งกาจถึงขนาดแยกแยะเพศทารกจากการจับชีพจรเองมากกว่า”
ผู้อาวุโสเย่ไม่ได้หลงกลกลยุทธ์ยั่วยุของอีกฝ่าย “อืม ผมไม่มีความสามารถแบบนั้น พาหลานชายคุณกลับไปด้วยเถอะ คงไม่ต้องให้ผมรักษาแล้วล่ะ”
ผู้อาวุโสเย่พูดจบก็เดินไพล่หลังกลับเข้าห้องไปด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง
ผู้เฒ่าเซี่ยทำเสียงขึ้นจมูกแล้วบ่นให้หลินเซี่ยฟังอย่างไม่พอใจ “ฉันว่าเขาคงแยกเพศเด็กไม่เป็นเองเสียล่ะมากกว่า”
เขาบ่นเสร็จก็กลัวว่าหลินเซี่ยจะตำหนิ จึงมองเธอพลางอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “เซี่ยเซี่ย อย่าไปฟังปู่เย่ของเธอพูดเหลวไหล ฉันไม่ไช่คนเห็นผู้ชายดีกว่าผู้หญิงหรอกนะ ฉันเป็นคนทำงานด้านวิชาการ ความตระหนักรู้แค่นี้ย่อมมีอยู่แล้ว ฉันแค่ถามไปอย่างนั้นเอง”
หลินเซี่ยยิ้ม “คุณตา ฉันเข้าใจค่ะ ฉันไม่เข้าใจผิดหรอก”
“คุณตา คุณตาก็เข้าไปพักผ่อนข้างในเถอะ คุณตาดูแลอวี้หลงมาหลายวันคงเหนื่อยแล้ว ตอนนี้อวี้หลงไม่อยู่ คุณตานอนชดเชยสักหน่อย ฉันคงต้องกลับก่อนนะคะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยได้ยินว่าหลินเซี่ยจะกลับไปก็คัดค้านเสียงแข็ง “ไม่ได้ เจียเหอยังไม่ได้มารับเธอ เธอจะกลับคนเดียวไม่ได้ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ ต้องระวังไว้ก่อน”
ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นมากเกินไป แม้ว่าพวกเสิ่นอวี้อิ๋งจะถูกจับกุมได้แล้ว แต่ในฐานะผู้อาวุโส เขาก็ยังไม่วางใจให้หลินเซี่ยออกไปข้างนอก
หลินเซี่ยพูดว่า “ฉันโทรหาพี่ชายแล้วค่ะ เขาจะมารับฉัน”
“อย่างนั้นก็ได้ ระวังตัวด้วยล่ะ”
ผู้เฒ่าเซี่ยกลับเข้าห้องไปพักผ่อน หลินเซี่ยนั่งคุยกับเอ้อร์เลิ่งในห้องโถงระหว่างรอหลินจินซาน
เอ้อร์เลิ่งเพิ่งล้างกระทะเสร็จ เช็ดมือเดินมานั่งลงฝั่งตรงข้ามกับหลินเซี่ย
หลินเซี่ยพูด “เอ้อร์เลิ่ง อีกไม่กี่วันก็จะถึงปีใหม่แล้ว เธอจัดการงานที่นี่เสร็จก็กลับไปฉลองปีใหม่ที่บ้านพวกเราเถอะ”
เอ้อร์เลิ่งเกาศีรษะอย่างอึดอัด “ผมไม่ไปรบกวนพวกคุณดีกว่า ผมอยู่ที่นี่ก็ดีมากแล้ว”
“ไม่รบกวนหรอก มีเธออยู่ด้วย พวกเราจะได้ครึกครื้นกัน หู่จือยังพูดอยู่เลยว่าอยากให้เธอมาฉลองปีใหม่ด้วยจะได้จุดประทัดด้วยกัน ปีที่แล้วเธอเล่นเป็นเพื่อนเขา เขาจดจำไว้ในใจมาตลอด คนอื่นมาเล่นด้วย เขายังไม่พอใจเสียอีก”
หลินเซี่ยตัดสินใจแทนเขา “งั้นตกลงตามนี้นะ เธอไปบอกผู้อาวุโสเย่ว่าวันที่สามสิบจะไปที่บ้านฉัน ฉันจัดห้องไว้ให้เธอแล้ว”
เอ้อร์เลิ่งคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ “พี่สะใภ้ ถ้าผมไป ผู้อาวุโสเย่อยู่คนเดียวคงเหงาแย่ ผมอยากอยู่เป็นเพื่อนท่าน”
หลินเซี่ยพูด “เธอสบายใจได้ พ่อแม่ของหมอเย่จะต้องเชิญผู้อาวุโสเย่ไปที่บ้านพวกเขาแน่นอน หรือไม่อย่างนั้นก็อาจมาฉลองปีใหม่ที่นี่ก็ได้ ผู้อาวุโสเย่เป็นผู้อาวุโส หมอเย่และครอบครัวไม่ปล่อยให้ท่านอยู่คนเดียวหรอก”
หลังจากได้ยินหลินเซี่ยพูดแบบนี้ เอ้อร์เลิ่งก็ค่อยวางใจได้
ถ้าเขายืนกรานจะอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนผู้อาวุโสเย่ ผู้อาวุโสเย่คงไม่ไปบ้านหมอเย่เพราะเป็นห่วงเขา
เขาหัวเราะอย่างซื่อ ๆ “งั้นก็ได้ ปีใหม่ไปบ้านพี่ก็ได้”
หลินจินซานมาถึงขณะทั้งคู่กำลังคุยกัน
เขาขับรถของเซี่ยไห่มา
วันนี้อากาศหนาว เซี่ยไห่จึงไม่ออกมาข้างนอก แต่เก็บตัวนอนอยู่ในบ้านแล้วให้เขาเอารถมา
ผู้อาวุโสทั้งสองพักผ่อนอยู่ในห้อง หลินเซี่ยจึงไม่เข้าไปรบกวน บอกลาเอ้อร์เลิ่งเสร็จก็ขึ้นรถ
“พี่ พวกเรายังไม่กลับบ้านตอนนี้” หลินเซี่ยหันไปพูดกับหลินจินซานที่กำลังขับรถอยู่
หลินจินซานกำลังจะเลี้ยว เขาถามอย่างสงสัย “เซี่ยเซี่ย ไม่กลับบ้านแล้วจะไปไหน? คุณย่าบอกแล้วว่าไม่ให้เธอไปทำงานที่ร้านตัดผม ตอนนี้ที่ร้านไม่ขาดคน ฉันเพิ่งออกมาจากร้านตัดผม เด็กฝึกงานคนนั้นสระผมได้ไว คนก็ขยันขันแข็งมาก”
หลินเซี่ยพูด “ฉันไม่ได้จะไปร้านตัดผม”
“ร้านชุดแต่งงานก็ไม่ได้ เสี่ยวเยี่ยนกับหยางหงเสียยังไม่มีอะไรทำ ช่วงนี้ไม่มีใครแต่งงาน เช่าชุดแต่งงานก็ไม่ต้องใช้คนมากขนาดนั้น” หลินจินซานเชื่อฟังคำพูดของแม่เฒ่าเซี่ย ดูแลหลินเซี่ยอย่างใกล้ชิด กลัวว่าเธอจะทำงานหนักเกินไป
คนท้องก็ควรทำตัวให้เหมือนคนท้องสิ
ต้องรับผิดชอบลูกในท้องด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้สุ่มเสี่ยงอันตรายมาก ตอนนี้นึกย้อนกลับไปก็ยังหวาดเสียวไม่หาย
“พี่ ฉันไม่ได้จะไปทำงาน” เธอพูดกับหลินจินซานด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ไปสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเป็นเพื่อนฉันอีกรอบได้ไหม?”
“ไปสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าทำไม?” หลินจินซานยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ เขาขับรถอยู่ ไม่รู้ว่าคิดถึงอะไรขึ้นมา สีหน้าจึงเปลี่ยนไปทันที หันขวับมามองเธอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตกใจ “เซี่ยเซี่ย เธอคงไม่ได้ใจอ่อนอยากให้ฉันกับชุนฟางรับเลี้ยงเด็กคนนั้นจริง ๆ หรอกนะ?”
หลินเซี่ย “!!!”
หลินจินซานขึ้นเสียง “ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ได้ ชุนฟางยังมีลูกได้ ต่อให้พวกเรามีลูกไม่ได้ก็ไม่มีทางรับเลี้ยงลูกของเสิ่นอวี้อิ๋ง ผู้หญิงร้ายกาจอย่างเสิ่นอวี้อิ๋ง ลูกของหล่อนก็คงเหมือนหล่อนนั่นแหละ ฉันดูออก คนตระกูลเสิ่นไม่มีดีสักคน พวกเราหลบยังแทบไม่ทัน จะรับเด็กมาเลี้ยงไม่ได้เด็ดขาด”
หลินเซี่ยกลอกตา “พี่ ไปกันใหญ่แล้ว พี่คิดไปถึงไหนแล้วน่ะ? ฉันจะโง่แค่ไหนก็ไม่มีทางมีความคิดแบบนั้นหรอก”
ชีวิตที่แล้วเป็นเพราะเธอโง่จึงถูกคนจูงจมูกเอาได้ และยังต้องจ่ายค่าโง่อย่างน่าอนาถ ตอนนี้ยังจะโง่ถึงขนาดนั้นได้อย่างไร?
“แล้วเธอจะพาฉันไปสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าด้วยทำไม?” หลินจินซานถอนหายใจโล่งอกแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย
หลินเซี่ยเอ่ยด้วยท่าทีครุ่นคิด “อืม…พวกเราไปวันนี้ก็ทำเหมือนคราวที่แล้ว บอกผู้อำนวยการว่าอยากทำความคุ้นเคยกับเด็กคนนั้นอีก อยากใช้เวลากับเด็กคนนั้นเพิ่มสักหน่อย”
หลินจินซาน “…”
ยังจะพูดว่าไม่ได้จะให้เขารับเลี้ยงเด็กคนนั้นอีก?