ตอนที่ 525 สมดั่งนางปรารถนา
องค์หญิงฉางเล่อฟังโจวซานอ่านราชโองการจนจบด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เจ้าทาสสุนัข! เจ้าถ่ายทอดราชโองการเท็จแน่ๆ!”
จวนองค์หญิงถูกล้อม นางตั้งตารอเสด็จพ่อส่งทหารมาคลี่คลายสถานการณ์ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่มามิใช่ทหาร แต่เป็นราชโองการประทานความตาย
เป็นไปไม่ได้ เสด็จพ่อรักนางเช่นนี้ จะให้นางตายได้อย่างไร!
“หลีกทาง ข้าจะไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ!” องค์หญิงฉางเล่อผลักโจวซานออก
โจวซานถอนหายใจ “องค์หญิง องครักษ์จิ่นหลินและประชาชนที่ล้อมอยู่ด้านนอกยังไม่แยกย้ายพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากที่เขาถ่ายทอดราชโองการประทานความตายแก่องค์หญิงฉางเล่อนอกจวนองค์หญิงเมื่อครู่นี้ เสียงโห่ร้องยินดีที่ดังสนั่นนั่น องค์หญิงฉางเล่อที่อยู่ในจวนองค์หญิงก็น่าจะได้ยินแล้ว
ราษฎรเหล่านั้นเห็นองค์หญิงฉางเล่อเป็นตัวปัญหาไปแล้วจริงๆ พวกเขาแทบอยากจะกำจัดนางทิ้งในทันที
องค์หญิงฉางเล่อชะงักฝีเท้า มองโจวซานด้วยความโมโห
โจวซานโค้งกายลงเล็กน้อยกล่าวว่า “องค์หญิง พระองค์ก็ทรงทราบดีว่ากระหม่อมไม่มีทางถ่ายทอดราชโองการเท็จ กระหม่อมกล้าที่ไหนกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่เชื่อ!” องค์หญิงฉางเล่อดวงตาเป็นประกาย น้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ!”
โจวซานโค้งกายลงต่ำกว่าเดิม “องค์หญิงอย่าทำให้กระหม่อมลำบากใจเลยพ่ะย่ะค่ะ หากฝ่าบาททรงต้องการพบท่าน ไยจึงต้องมีราชโองการเช่นนี้ด้วยเล่า”
องค์หญิงฉางเล่อผงะไป
โจวซานเงยหน้าขึ้น มองดูองค์หญิงฉางเล่อที่สีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็งแล้วถอนหายใจเบาๆ “พระองค์เป็นองค์หญิงที่สูงส่งไร้ผู้ใดเปรียบ เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทมาโดยตลอด กระหม่อมขอบังอาจทูลสักคำ องค์หญิงทรงจากไปอย่างสมเกียรติเถิดพ่ะย่ะค่ะ อย่าให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะในตอนสุดท้ายเลย”
“เจ้า…” องค์หญิงฉางเล่อไม่ได้ด่าต่อไป นางหลับตาลงเบาๆ มุมปากปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยัน
หากนางเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาท เหตุใดเสด็จพ่อจึงหักใจประทานความตายแก่นางได้ลงเล่า
ถึงตอนนี้ นางเริ่มเข้าใจแล้ว เสด็จพ่อทรงต้องการชีวิตของสตรีที่เกิดวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉินด้วยเหตุผลบางประการและผลักนางออกไปเป็นแพะรับบาป
มิน่าเล่าข่าวลือจึงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มิน่าเล่าราชสำนักจึงไม่มีผู้ใดจัดการ…
ขณะที่นางเหยียบเก้าอี้และลอดศีรษะเข้าไปในผ้าแพรสีขาวที่มัดเป็นวงกลม จู่ๆ เสียงของลั่วเซิงก็ดังขึ้นในหัวขององค์หญิงฉางเล่อ โปรดปรานที่สุด ไม่ใช่เพราะไม่มีทางเลือกหรือ
ความเคียดแค้นและความเศร้าโศกท่วมท้นหัวใจ
ลั่วเซิงพูดถูก ที่นางเป็นที่โปรดปรานที่สุด เพราะไม่มีทางเลือกอื่น
ตอนนี้เสด็จพ่อมีพระธิดาที่เซียวกุ้ยเฟยมีให้พระองค์แล้ว ภายหน้าอาจจะมีโอรสและธิดาอีกมากมายแล้วนางจะเป็นผู้ใดกันเล่า
ท้ายที่สุดแล้ว นางก็ไม่ต่างจากเหล่าพี่หญิงที่จากไปก่อนวัยอันควร เป็นเพียงองค์หญิงหนึ่งในนั้นเท่านั้น
โกรธเสด็จพ่อหรือไม่ แน่นอนว่าโกรธ
แต่นี่ก็คือตระกูลจักรพรรดิ ตระกูลโอรสสวรรค์ไร้บิดาและบุตรถึงจะเป็นเรื่องปกติ ผู้ที่นางโกรธยิ่งกว่าคือตนเองที่ถูกความโปรดปรานซึ่งเปรียบเสมือนจอกแหนบังตาจนต้องมาพบจุดจบเช่นวันนี้
ลั่วเซิงฉลาดจริงๆ ที่มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรก
แต่อาเซิงของนางไม่ได้ฉลาดขนาดนั้นนี่ อาเซิงของนางคงตายไปนานแล้วสินะ
เสียงเก้าอี้ล้มลงบนพื้นดังขึ้น องค์หญิงฉางเล่อหลับตาลง
โลกมนุษย์ช่างโดดเดี่ยวและโหดร้าย นางจะไปหาอาเซิงแล้ว
ผ่านไปนาน โจวซานสั่งคนนำร่างองค์หญิงฉางเล่อลงมา เมื่อลองสัมผัสลมหายใจแล้วจึงกลับวังไปทูลรายงาน
“เรียบร้อยแล้วหรือ” ในตำหนักหย่างซิน จักรพรรดิหย่งอันทรงมีสีพระพักตร์เหนื่อยล้า ทรงถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
โจวซานไม่กล้าเงยหน้า “เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของจักรพรรดิหย่งอันก็ดังขึ้น “ดีแล้ว”
“เจ้าออกไปเถิด เราอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
โจวซานถอยออกไปเงียบๆ
จักรพรรดิหย่งอันทรงนั่งลงบนบัลลังก์มังกรตัวใหญ่ พระวรกายที่ซูบผอมยิ่งทำให้พระองค์ดูอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม
เจ้าพวกโง่สมควรโดนประหาร!
พระองค์เพียงแค่สั่งหลี่จิ้งให้กำจัดสตรีที่เกิดวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดปีอู้เฉินเท่านั้น ใครจะไปคิดว่าเพื่อที่จะไม่พลาดไปสักคนแล้ว หลี่จิ้งกลับจับสตรีอายุสิบเจ็ดทั้งหมด ต่อมาเรื่องเลยเถิดมิอาจหวนกลับ กลายเป็นสังหารสตรีทั้งหมดในเมืองหลวง แบบนี้ประชาชนจะไม่โกรธแค้นได้อย่างไร
หากไม่ใช่เพราะพวกโง่กระทำการเหลวไหล ไฉนจึงต้องสังเวยฉางเล่อด้วยเล่า
จักรพรรดิหย่งอันทรงกริ้วยิ่งนัก แต่เวลานี้กลับไม่สามารถระบายอารมณ์ตามอำเภอใจได้
สถานการณ์เลวร้ายขึ้นเรื่อยๆ หากพระองค์ใจไม่นิ่งพอจะยิ่งแย่ โชคดีที่ไคหยางอ๋องเร่งเดินทางกลับมาแล้ว น่าจะช่วยปราบปรามกองกำลังทหารจิ้งเป่ยอ๋องใต้กำแพงเมืองได้
ส่วนภายหน้าจะควบคุมไคหยางอ๋องอย่างไร ทำได้เพียงเอาไว้ก่อน โชคดีที่หลายปีมานี้พระองค์เฝ้าดูเงียบๆ ไคหยางอ๋องมีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่น่าจะมีความคิดเป็นอื่น
จิ้งเป่ยอ๋องเริ่มตีเมือง
ในเมืองหลวง องครักษ์วังหลวงที่มีองครักษ์จิ่นหลินและองครักษ์จินอู่เป็นผู้นำร่วมสู้รบกับอีกฝ่าย
ผู้คนในเมืองหลวงหวาดหวั่นและเป็นทุกข์ แม้แต่พระญาติและขุนนางที่หมกหมุ่นอยู่กับความสนุกสนานไปวันๆ ก็ไร้ความเคลื่อนไหว ไม่มีอารมณ์ไปเที่ยวเตร่อีก
เสียงแตรดังขึ้น การสู้รบเริ่มขึ้นอีกครั้ง
คูเมืองในต้นฤดูใบไม้ผลิถูกย้อมเป็นสีแดง เมฆครึ้มปกคลุมทั้งในและนอกราชวัง
จู่ๆ เสียงกีบเท้าม้าก็ดังขึ้นราวกับเสียงฟ้าร้อง ผืนแผ่นดินราวกับกำลังสั่นสะเทือน
ผู้ตีเมืองหันไปมองตามสัญชาติญาณ เห็นฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วอยู่ไกลๆ ทหารม้านับไม่ถ้วนทะลักมาราวสายน้ำ ธงที่โบกสะบัดมีคำว่า ‘หยาง’ ตัวใหญ่
แม่ทัพที่นำทัพตีเมืองชะงักงัน จากนั้นสีหน้าพลันเปลี่ยน “ไคหยางอ๋อง กองทัพเฉาหยางของไคหยางอ๋อง!”
พูดได้ว่าชื่อเสียงของกองทัพเฉาหยางไม่มีผู้ใดในตอนเหนือไม่รู้จัก ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าศัตรูหวาดกลัวเมื่อได้ยิน เพียงแต่ว่าศัตรูในอดีตคือชนชาติอื่น บัดนี้กลายเป็นแม่ทัพจิ้งเป่ยอ๋อง
ทหารม้าดำทะมึนไปทั้งผืนใกล้เข้ามาแล้ว ธงของพวกเขาปกคลุมท้องฟ้า ชุดเกราะส่องแสงเจิดจ้าเมื่อกระทบแสงแดด
ทันใดนั้นเองทหารรักษาการณ์คล้ายกลับกลายเป็นคนนอก เหม่อมองการเข่นฆ่าอันดุเดือดด้านล่างนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด เหล่ากองทัพราวกับเพิ่งตื่นจากความฝัน ส่งเสียงโห่ร้องยินดี “ไคหยางอ๋องมาถึงแล้ว ไคหยางอ๋องมาถึงแล้ว!”
มีคนแจ้งข่าวให้คนในวังทราบอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิหย่งอันทรงดีพระทัยมาก “ดีมาก! เฝ้าดูต่อไป มาแจ้งทันทีที่มีข่าว!”
หลังจากสงครามอันสั้นทว่าดุเดือดนอกเมืองจบลง ฝ่ายจิ้งหนานอ๋องก็รีบล่าถอยกลับค่ายไป
อีกฝ่ายนำข่าวชัยชนะมาทูลรายงานต่อจักรพรรดิหย่งอัน จักรพรรดิหย่งอันทรงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะสั่งว่า “ถ่ายทอดราชโองการ ขอให้ไคหยางอ๋องตั้งค่ายที่ชานเมืองหลวง ปราบปรามกองทัพจิ้งเป่ยอ๋องจนหมดสิ้นแล้วจึงเข้าวัง”
เว่ยหานที่สั่งให้ลูกน้องเริ่มตั้งค่ายที่ชานเมืองได้ยินราชโองการที่โจวซานมาถ่ายทอดก็ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เขาพูดอย่างสงบว่า “รบกวนกงกงทูลบอกให้ฝ่าบาทวางพระทัย เมื่อน้องระงับความวุ่นวายได้เมื่อไร จะเข้าวังเมื่อนั้น”
โจวซานกลับวังไปทูลบอก จักรพรรดิหย่งอันทรงเผยรอยยิ้มอย่างหาได้ยากออกมา
หลังจากผ่านไปเจ็ดวัน เว่ยหานก็ตัดศีรษะจิ้งเป่ยอ๋องนอกกำแพงเมืองหลวง กองกำลังของจิ้งเป่ยอ๋องพ่ายแพ้ราบคาบ
ผู้คนในเมืองยินดีปรีดาอย่างยิ่ง
จักรพรรดิหย่งอันนำขุนนางทั้งหลายไปรอข้างนอกประตูวัง ต้อนรับไคหยางอ๋องนำชัยชนะกลับมาด้วยองค์เอง
กองทัพเฉาหยางยังคงตั้งค่ายที่ชานเมือง ในราชโองการมิได้กล่าวให้กองกำลังเข้าเมืองด้วย
ด้านนอกประตูวังอันสง่างาม จักรพรรดิหย่งอันทรงประทับอยู่ด้านหน้าสุด ราชครูและเสนาบดียืนอยู่ด้านหลัง จากนั้นก็เป็นขุนนางตามบรรดาศักดิ์
ภายใต้สายตามากมายจับจ้อง ชายหนุ่มสวมชุดเกราะสีเงินและเสื้อคลุมสีแดงเดินสาวเท้ามาตรงหน้าจักรพรรดิหย่งอัน
“ถวายบังคับเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ”
“มิต้องมากพิธี น้องสิบเอ็ดลำบากแล้ว” จักรพรรดิหย่งอันประคองเว่ยหานที่คุกเข่าลงข้างหนึ่งลงขึ้นมาด้วยพระองค์เอง
เว่ยหานลุกขึ้นยืน สายตาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของไท่กวงเจินเหรินผู้มีเส้นผมสีขาว
“เสด็จพี่ ท่านนี้คือราชครูสินะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันทรงยิ้มพลางพยักพระพักตร์ “ใช่แล้ว…”
เมื่อสิ้นเสียง แสงดาบพลันวาบผ่านตรงหน้า ศีรษะของราชครูลอยขึ้นไปบนอากาศ