บทที่ 839 โจมตีก่อน
ณ ค่ายพยาบาลเหล่าทัพของเมืองฉวี่หยาง กู้เจียวเพิ่งจะแจกจ่ายยาแก้อักเสบและยาห้ามเลือดให้หมอที่ค่ายเสร็จไปหมาดๆ หลังจากผ่านศึกสงครามมาหลายครั้ง กู้เจียวถึงได้ตระหนักว่ายาพวกนี้เป็นที่ต้องการอย่างมาก
ยาพวกนี้มีอยู่จำนวนหนึ่งที่กล่องยาเตรียมไว้ให้ อีกทั้งก่อนมาที่นี่ กั๋วซือก็ได้เตรียมยาเม็ดและยาทาไว้ให้จำนวนมาก บวกกับระหว่างทางกู้เจียวได้เก็บพวกสมุนไพรมาจำนวนไม่น้อย
หมอที่ค่ายพยาบาลมีจำนวนราวสามสิบคน แต่ละคนล้วนยุ่งวุ่นจนเท้าแทบไม่ติดพื้น แม้พวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการรบโดยตรง แต่พวกเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังสนามรบ มีทหารบาดเจ็บถูกส่งเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ฉะนั้นสภาพของพวกเขาก็แทบไม่ต่างกันกับทหารที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีเวลาได้พักผ่อน
หมอบางคนทนไม่ไหวจนต้องหลับลงบนพื้น บ้างก็นอนฟุบบนโต๊ะ ส่วนหมอที่ยังทนไหวก็พยายามทำตามหน้าที่ทั้งเปลี่ยนผ้าปิดแผล ตรวจแผล ผ่าตัด รวมถึงงานต่างๆ ในสภาพใต้ตาดำคล้ำ
“ไปตามหมอจากในเมืองเข้ามาที”
กู้เจียวทนเห็นสภาพแบบนี้ไม่ไหว จึงออกคำสั่งกับที่ปรึกษาหู
“ขอรับ”
ค่ายทหารเป็นสถานที่ที่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง หากเป็นหน่วยราชการที่อื่น สิบวันอาจยังไม่มีอะไรคืบหน้าด้วยซ้ำ แต่สำหรับค่ายทหาร ต้องดำเนินการตามคำสั่งและต้องบรรลุผลให้เห็นชัดเจนและทันท่วงที
ในคืนแรก ที่ปรึกษาหูเดินทางไปที่เมืองเพื่อไปเกณฑ์นายหมอมาเพิ่มอีกจำนวนสามสิบกว่าคน อีกทั้งเรื่องเจ้าเมืองคนใหม่ก็มีความคืบหน้าแล้วเช่นกัน
เจ้าเมืองคนใหม่มาจากตระกูลเฉียน นามวั่ง เขาเป็นคนค่อนข้างตรงไปตรงมา แต่เขาไม่ใช่คนสนิทของพวกหนานกง ดังนั้นในเรื่องหน้าที่การงาน เขาจึงถูกมองข้ามมาตลอด
อีกทั้งพวกหนานกงก็ไม่ได้พาเขาเดินทางออกนอกเมืองไปด้วย
กู้เจียวจึงให้เขาขึ้นเป็นเจ้าเมืองฉวี่หยางไปก่อนชั่วคราว
และในเวลาเกือบเที่ยงคืน มู่ชิงเฉินก็กลับมาที่ค่ายด้วยสภาพอิดโรย
มู่ชิงเฉินคาดไม่ถึงว่าการไปคุยกับชาวบ้าน (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก) จะใช้พลังงานมากขนาดนี้ ตอนแรกก็เผลอนึกว่าจะสบายที่ไม่ต้องออกไปรบราฆ่าฟันใคร
เรียกได้ว่าลำคอของเขาแทบจะมีควันพุ่งออกมา
กู้เจียวยืนกอดอกพิงต้นไม้พร้อมกับมองเขา “ไม่เลวนี่หัวหน้ามู่ พรุ่งนี้ลุยต่อนะ”
“อะไรนะ” มู่ชิงเฉินตอบด้วยเสียงที่แหบแห้ง
“ก็เจ้าเป็นหัวหน้ามู่อย่างไรเล่า” ก่อนจะเพิ่มคำต่อในใจว่า หัวหน้ากลุ่มสหพันธ์เด็กและสตรี แล้วมองเขาด้วยแววตาประกาย “ไม่มีอะไรหรอก เจ้าไปพักเถอะ”
มู่ชิงเฉินรู้สึกไม่ปลอดภัยชอบกลหลังจากที่ได้เห็นแววตานั้น
แต่เขาเหนื่อยเกินกว่าจะสนใจว่ามีแผนประหลาดอะไรรอเขาอยู่ เขาเดินเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วล้มตัวลงนอนทันที
ในช่วงสองวันที่ผ่านมา กู้เจียวไม่ได้ออกคำสั่งเคลื่อนย้ายใดๆ เพียงแต่อนุญาตให้ทหารได้พักฟื้นและพักผ่อนอย่างเต็มที่เท่านั้น
ในคืนที่สอง กู้เจียวเรียกประชุมแม่ทัพทั้งหกและมู่ชิงเฉินเข้าไปในค่ายเพื่อหารือกับพวกเขาว่าจะจัดการกับศัตรูอย่างไร
ตรงกลางที่ประชุมมีกระบะทราย ซึ่งมีแผ่นไม้ปักอยู่บนนั้น อันเป็นตัวแทนของกองทัพและจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ
กู้เจียวชี้ไปที่หุบเขาตรงทางแยกของทั้งสองแคว้น “ตรงนี้คือด่านเยี่ยนเหมิน เดิมทีค่ายและด่านชายแดนจะต้องตั้งอยู่ในหุบเขา ทว่าพวกหนานกงเลือกที่จะปิดด่านนี้ลงเพื่อให้กองทัพแคว้นเหลียงบุกเข้ามาได้ง่ายขึ้น มาตรการป้องกันทั้งหมดในค่ายจึงถูกทำลายเช่นกัน ดังนั้นเมืองฉวี่หยางจึงกลายเป็นอุปสรรคแรกในการสกัดกั้นกองทัพเหลียง พวกเราต้องเพิ่มมาตรการป้องกันเมืองนี้ให้ได้”
ทุกคนเห็นด้วยกับกู้เจียว
เฉิงฟู่กุ้ยกัดฟันโพล่งขึ้นทันที “บังอาจนักพวกหนานกง กล้าทำเรื่องทรยศแผ่นดินเช่นนี้ได้อย่างไร! อย่าให้ข้าเจอพวกมันนะ! จะจับเฉือนด้วยมีดเล่มเดียวเลยคอยดู!”
“พวกเขาจะไปถึงที่ด่านเยียนเหมินในวันรุ่งขึ้น” หลี่จิ้นผู้ซึ่งสงบนิ่งที่สุดในบรรดาทุกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกับทำท่าครุ่นคิดขณะมองไปบนโต๊ะทราย
“ใช่แล้ว” กู้เจียวเอ่ย “แต่ว่าพวกนั้นก็เหมือนกับพวกเราตรงที่ทหารทุกคนจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล คงยังไม่รีบร้อนปิดล้อมเมืองทันที อย่างน้อยก็ต้องพักกันก่อนซักหนึ่งวัน จุดนี้แหละคือโอกาสของพวกเรา”
“หมายความว่าท่านแม่ทัพจะ…” หลี่จิ้นถาม
กู้เจียวจึงอธิบาย “พวกเราจะนั่งรอเฉยๆ แบบนี้ไม่ได้ ถ้าแผนนี้ได้ผล อย่างมากฉังเวยอาจจะให้ความร่วมมือพานักโทษหมื่นกว่านายมาร่วมรบด้วยกัน หรืออย่างแย่ที่สุดคืออาจเกิดสงครามขึ้นในเมือง”
เฉิงฟู่กุ้ยย่นคิ้วสงสัย “ฉังเวยจะใช้โอกาสนี้ก่อกบฏรึ”
“ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้” หลี่จิ้นเอ่ย
“หรือเราจะรีบกำจัดเขาไปเลยดี” เฉิงฟู่กุ้ยรีบแย้ง
ทุกคนหันไปมองกู้เจียว พวกเขาต่างคิดตรงกันว่าฉังเวยคือตัวปัญหา เป็นการดีกว่าที่จะกำจัดเขาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในอนาคต
กู้เจียวพูดขึ้นอย่างแน่วแน่ “ถ้าเราไปถึงจุดนั้นจริงๆ และเราต้องการให้กองทัพทั้งหมดเข้าต่อสู้ ข้าจะกำจัดเขาก่อนออกรบแน่นอน”
พอได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็วางใจ
ทุกคนต่างรู้ดีว่าแม่ทัพหนุ่มโหดเหี้ยมเพียงใดในสนามรบ ไม่มีทางที่เขาจะกลับคำ
“แม่ทัพมีแผนการอันใดหรือ เห็นเมื่อครู่นี้บอกว่าให้พวกเรานั่งรอเฉยๆ ไม่ได้” หลี่จิ้นถาม
“กว่ากองกำลังจารราชสำนักจะเดินทางมาถึงที่นี่ต้องใช้เวลาสิบกว่าวัน พวกเราต้องชะลอแผนการโจมตีของกองทัพแคว้นเหลียง” กู้เจียวเอ่ย
จางสือหย่ง ผู้บัญชาการฝ่ายซ้ายของกองพันสำรองตบมือต้นขาของเขาแล้วพูด “ข้ารู้แล้ว! เผาเสบียงพวกมันเลยดีไหม!”
โจวเหรินผู้บัญชาการฝ่ายขวาของกองพันสำรองได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาใส่แล้วเอ่ย “เอาแต่พูดอยู่ได้ว่าจะไปเผาเสบียงชาวบ้าน แล้วใครจะทำล่ะ เจ้ารึไง”
“ก็ให้ข้าไปสิ! พวกเจ้าทุกคนต่อสู้กันในแนวหน้า แต่ข้าทำได้เพียงปกป้องนักโทษในกองพันสำรองเท่านั้น ข้าละอยากต่อสู้กับพวกเขามานานแล้ว!”
กู้เจียวหยิบแผ่นไม้ขึ้นแล้วปักลงบนโต๊ะทรายตรงทิศเหนือของเมืองฉวี่หยาง “ตรงนี้เป็นที่ตั้งของเมืองใหม่ ไม่กี่วันก่อนพวกเขาเพิ่งก้มหัวให้กับพวกหนานกง เดาว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่ที่นี่กัน ที่เมืองใหม่มีจำนวนทหารคุ้มกันเมืองไม่มากนัก หากเสบียงของกงอทัพแคว้นเหลียงถูกเผา พวกเขาจะต้องไปเอาเสบียงจากที่เมืองใหม่อย่างแน่นอน ไม่ว่าตระกูลหนานกงจะร่วมมืออย่างแข็งขันหรือจ่ายส่วยก็ตาม พวกเขาจะไม่ยอมใช้เสบียงของทหารแน่ๆ ”
หลี่จิ้นนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “พวกมันจะต้องไปขูดรีดเสบียงจากราษฎรมาอย่างแน่นอน!”
กู้เจียวพยักหน้า
จางสือหย่งเริ่มนึกภาพออก “เช่นนั้น เราอาจยังไม่สามารถเผาเสบียงของกองทัพแคว้นเหลียงได้ในขณะนี้ แต่ถ้าไม่เผา แล้วเราจะชะลอการโจมตีของพวกมันได้อย่างไร”
สายตาของกู้เจียวจับจ้องไปบนโต๊ะทราย “ต้องทำลายอาวุธของพวกมัน”
ทั้งรถม้าและบันไดลิงของกองทัพแคว้นเหลียงล้วนมีประสิทธิภาพสูง หากไม่มียุทโธปกรณ์เหล่านี้ พวกมันจะใช้อะไรแทนล่ะ
แม้ว่าพวกมันสามารถยืมอาวุธยุทโธปกรณ์จากตระกูลหนานกงหรือประกอบอาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่ได้ แต่ไม่ว่าจะทางเลือกไหน ย่อมไม่เป็นผลดีต่อกองทัพแคว้นเหลียงแน่ๆ
เฉิงฟู่กุ้ยออกปากชมแผนการนี้ “วิเศษมาก เมื่อก่อนข้าเคยได้ยินแต่วิธีเผาเสบียง นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้ยินวิธีทำลายอาวุธของอีกฝ่าย”
เหตุผลหลักคืออาวุธไม่ใช่ของที่ทำลายกันได้ง่ายๆ อีกทั้งยังทำให้ศัตรูไหวตัวทันด้วย
แต่ตอนนี้พวกเขามีอาวุธลับที่ทรงพลังสุดๆ นั่นก็คือใยไหมฟ้าแดนหิมะ ซึ่งสามารถทำลายยุทโธปกรณ์ของอีกฝ่ายได้อย่างไร้ร่องรอย
ในมือพวกเขามีใยไหมฟ้าแดนหิมะอยู่ห้าเส้น หนึ่งเส้นใช้ได้สองคน รวมหน่วยสอดแนม มีทั้งหมดสิบเอ็ดคน
พวกเขาเป็นหน่วยกล้าตาย
เนื่องจากภารกิจนี้อันตรายมาก โอกาสรอดกลับมาอาจมีน้อย
“ข้าไปเอง!” เฉิงฟู่กุ้ยลุกขึ้น
กู้เจียวมองดูแขนของเขาที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล “คืนนี้พวกเจ้าอยู่นี่ก่อน โจวเหริน จางสือหย่ง พวกเจ้าไปตามเหวินเหรินชง จ้าวเติงเฟิงและหลี่เซินมาที”
จากนั้นกู้เจียวจึงเลือกทหารม้าที่มีทักษะที่โดดเด่นและไม่ได้รับบาดเจ็บจากการรบเพิ่มอีกสองสามคน
“ข้าไปด้วย”
เมื่อออกมาจากค่าย กู้เจียวก็เจอกับมู่ชิงเฉินที่กำลังเดินเข้ามา
กู้เจียวเบนสายตามองไปทางที่ปรึกษาหูซึ่งยืนอยู่ด้านหลังมู่ชิงเฉิน
ที่ปรึกษาหูเอ่ยขึ้น “ทะ ทะ ไท่…องค์หญิงทรงมีรับสั่งให้ท่านชายมู่คอยคุ้มกันพระองค์อย่างใกล้ชิด”
ความจริงก็คือ ที่ปรึกษาหูเป็นห่วงเจ้านายของตัวเอง ก็เลยแอบไปตามท่านชายมู่มาช่วย
เพราะถึงอย่างไร ฝีมือการต่อสู้ของมู่ชิงเฉินก็นับว่าดีที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้
“ได้” กู้เจียวไม่ปฏิเสธ
ก่อนออกเดินทาง กู้เจียวได้ไปตามใครอีกคนมาด้วย
“หายดีแล้วนี่ ได้เวลาออกไปทำภารกิจแล้ว” กู้เจียวเอามือไขว้หลังพร้อมกับจ้องไปที่ฉังเวยที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย
ฉังเวยพลิกตัวแล้วตอบกลับ “ข้าไม่ยอมทำงานให้เจ้าหรอก!”
กู้เจียวทำท่าแบมือ “ก็ไม่เป็นไรถ้าเจ้าไม่อยากช่วย แต่ขอบอกไว้เลยนะว่าข้าไม่มีทางรักษานักโทษกบฏตั้งมากมายโดยเปล่าประโยชน์หรอก เสบียงของข้ามีจำกัด สู้เอานักโทษอย่างพวกเจ้ามาเป็นอาหารให้ทหารของข้าเสียยังจะดีกว่า”
ฉังเวยจ้องกู้เจียวด้วยสายตาอำมหิต “เจ้ามันคนชั่ว!”
กู้เจียวคลี่ยิ้มอ่อน “เจ้าคือคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่เยี่ยนเหมินที่สุด เจ้าจะต้องเป็นคนนำทาง หากเจ้าไม่ทำตาม ข้าจะสั่งให้คนของข้ากำจัดคนของเจ้าทิ้งให้หมดตอนนี้เลยก็ยังได้!”
ฉังเวยรู้ดีว่าตอนนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มเลือดเย็นที่ฆ่าคนได้โดยไม่ต้องกะพริบตา
ในที่สุด เขาก็ยอมทำตามกู้เจียวด้วยความอัปยศอดสูและความรู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผล
“ข้าจะใช้ม้าของข้า!”
“ให้เขาไป” กู้เจียวเอ่ย
โจวเหรินสั่งให้คนของเขาจูงม้าเข้ามา
กู้เจียวหรี่ตาลงเมื่อเห็นท่าทางที่กล้าหาญและช่ำชองของฉังเวยขณะที่เขาขี่ม้า
สมกับเป็นฉังเวย ขนาดเพิ่งผ่านการผ่าตัดมายังแข็งแรงขนาดนี้
ทุกคนสวมชุดสายลับเพื่อลดเสียงจากการเสียดสีของชุดเกราะ
จากนั้นพวกเขามุ่งหน้าไปยังด่านเยี่ยนเหมินทางตะวันตก
ตามรายงานจากสายลับ คืนนี้กองทัพแคว้นเหลียงจะปักหลักอยู่ในหุบเขานอกเส้นทางเยี่ยนเหมิน ม้าของพวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้เกินไป ไม่เช่นนั้นเสียงกีบม้าอาจดังไปถึงอีกฝ่าย
“เข้าใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว” ฉังเวยเอ่ยขณะดึงบังเหียนขึ้น
แล้วทุกคนก็กระโดดลงจากม้า
ฉังเวยลงจากม้าเสร็จก็ผูกม้าของเขาไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ เมื่อเขาเห็นว่ากู้เจียวและคนอื่นๆ ไม่ได้ผูกม้าแบบที่เขาทำ ก็ทักไป “ผูกม้าไว้สิ ไม่เช่นนั้นมันจะวิ่งหนี ทหารม้าคนอื่นๆ ล่ะ พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยหรืออย่างไร”
กู้เจียวร้องอ๋อหนึ่งที ก่อนตอบกลับอย่างจริงจัง “ไม่จำเป็นต้องผูกม้าเฮยเฟิง”
พวกมันมีระเบียบวินัยมากและไม่เคยวิ่งมั่วซั่ว
ฉังเวย “…” เหตุใดจู่ๆ ถึงได้รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างไรอย่างนั้น