ตอนที่ 637 หลินอวี้
หลินจินซานไม่มีความคิดจะรับอุปการะเด็กแม้แต่น้อย เหมือนที่เขาลั่นวาจาไว้ ต่อให้ในอนาคตเขากับภรรยาไม่มีลูกและคิดจะรับอุปการะเด็กสักคน ก็ไม่มีทางที่เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของเสิ่นอวี้อิ๋ง
เทพโรคระบาดพวกนั้น พวกเขาหลบยังแทบไม่ทัน
หลินจินซานตัดสินใจจอดรถแล้วหันไปมองหลินเซี่ยที่เบาะข้างคนขับ พูดว่า “เซี่ยเซี่ย เสิ่นอวี้อิ๋งถูกจับเข้าคุก เรื่องนี้ก็ถือว่าจบแล้ว เรื่องหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ทำไมพวกเรายังต้องมาหาเด็กคนนั้นอีก?”
หลินจินซานไม่เข้าใจความคิดของหลินเซี่ยเอาเสียเลย เวลาแบบนี้ควรรีบตัดขาดจากคนพวกนั้นไม่ใช่หรือ จะไปยุ่งกับลูกของเสิ่นอวี้อิ๋งอีกทำไม
ถ้าถูกเข้าใจผิดจะทำอย่างไร?
หลินเซี่ยอธิบายว่า “พี่ ฉันมีเหตุผลของฉัน พี่วางใจเถอะ ฉันไม่ได้คิดจะให้พี่รับเลี้ยงเด็กคนนั้นจริง ๆ หรอก อีกอย่าง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ฉันจะตัดสินใจแทนพวกพี่ได้ยังไง? พี่อย่าคิดมาก วันนี้พี่แค่ไปเป็นเพื่อนฉันอีกครั้ง พวกเราไปอุ้มเด็กคนนั้นอีกรอบโดยอ้างว่าจะรับอุปการะ ฉันอยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าพ่อแท้ ๆ ของเด็กคนนั้นเป็นใคร”
“ตรวจสอบไปทำไม?” หลินจินซานถามอย่างสงสัย
หลินเซี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ฉันกลัวว่าในอนาคตหลิวจื้อหมิงจะมารังควานพวกเราอีก ฉันตรวจสอบประวัติของเสิ่นเสี่ยวอวี้ ถ้าหลิวจื้อหมิงมาหาเรื่องจริง ๆ พวกเราต้องกุมจุดอ่อนของเขาไว้ก่อนถึงจะรับมือเขาได้ คนคนนั้นก็เหมือนหมา พอคลั่งขึ้นมาก็เที่ยวกัดคนไปทั่ว”
เธออยากตรวจสอบให้แน่ใจว่าเสิ่นเสี่ยวอวี้ได้กลับมาเกิดใหม่หรือไม่ แน่นอนว่าเธอก็อยากจะใช้โอกาสนี้สืบหาว่าพ่อแท้ ๆ ของเสิ่นเสี่ยวอวี้เป็นใครด้วยเช่นกัน
ถ้าเป็นหลิวจื้อหมิงจริง ต่อไปก็นับว่าเธอกุมจุดอ่อนของหลิวจื้อหมิงเอาไว้แล้ว
หลินจินซานได้ยินแล้วก็พยักหน้า
“อ้อ ที่แท้เธอคิดแบบนี้เอง ฉันตกใจหมด นึกว่าเธออยากให้ฉันกับชุนฟางรับเลี้ยงเด็กคนนั้น แบบนั้นฉันไม่เอาหรอกนะ”
“วางใจเถอะ น้องพี่ไม่ได้โง่ขนาดนั้น ฉันไม่ตัดสินใจแทนพวกพี่โดยไม่รู้ขอบเขตหรอก”
หลินเซี่ยพูดแบบนี้ หลินจินซานค่อยบิดกุญแจสตาร์ทรถมุ่งหน้าไปยังสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าเมืองไห่เฉิงอย่างวางใจ
เหมือนกับคราวที่แล้ว หลินจินซานเข้าพบผู้อำนวยการ บอกว่าอยากพบกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง
ผู้อำนวยการอุ้มเด็กน้อยมาให้หลินจินซาน
“เด็กคนนี้ว่าง่ายมาก รู้ความไม่ร้องไม่งอแงเลยสักนิด หลายวันก่อนมีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาดูก็ชอบเด็กคนนี้มากเหมือนกัน แต่สามีภรรยาคู่นั้นอายุมากแล้ว พวกเราไม่ค่อยวางใจ ถ้าพวกคุณตัดสินใจได้แล้ว พวกเราก็รีบทำเรื่องกันเถอะ พวกคุณจะได้รับเด็กกลับไปเลี้ยง”
ตอนเซี่ยหลานนำเด็กมาส่งที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า ตอนแรกบอกว่าจะฝากเด็กคนนี้ไว้ชั่วคราว ผ่านไปไม่กี่ปีก็จะมารับกลับไป
ต่อมา เสิ่นอวี้อิ๋งถูกจับ เซี่ยหลานจึงยอมรับปากว่าถ้าพบครอบครัวที่เหมาะสมก็ให้คนรับไปเลี้ยงได้
ตอนนี้ ผู้อำนวยการจึงอยากหาครอบครัวใหม่ที่พึ่งพาได้ให้เด็กคนนี้เป็นอย่างมาก
หลินจินซานยิ้มพูด “ได้ งั้นพวกเราจะลองอุ้มเด็กคนนี้ดูก่อน บ่มเพาะความคุ้นเคยต่อกัน ดูว่าเด็กคนนี้มีวาสนากับพวกเราหรือเปล่า?”
ผู้อำนวยการพาพวกเขาไปที่ห้องเด็กอ่อน ในห้องนั้นมีเตียงเตา เวลานี้มีทารกสองคนนอนกลางวันอยู่บนนั้น ผู้อำนวยการให้พวกหลินจินซานเล่นกับเด็กบนเตียงเตาเพื่อบ่มเพาะความผูกพันต่อกัน
หลินจินซานอุ้มเด็กมาหาหลินเซี่ย เมื่อเด็กในอ้อมแขนเห็นหลินเซี่ย ดวงตาก็เป็นประกายเหมือนครั้งก่อนไม่มีผิด สีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง แขนเล็กจ้อยขยับขึ้นลง ทำท่าเหมือนอยากโถมเข้าหาอ้อมอกเธอ
เมื่อสายตาเด็กน้อยเหลือบเห็นท้องของหลินเซี่ย ใบหน้าจิ้มลิ้มนั้นก็ฉายแววประหลาดใจ
การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกอย่างของเสิ่นเสี่ยวอวี้ล้วนไม่รอดพ้นจากสายตาของหลินเซี่ย
พูดตามจริง ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการคาดเดา แต่เมื่อสังเกตเห็นการแสดงออกทางอารมณ์ต่าง ๆ ที่ไม่สอดคล้องกับอายุของทารกวัยสามสี่เดือน หลินเซี่ยก็ถึงกับตกใจ
ชั่วขณะนี้ ความรู้สึกในใจเธอปั่นป่วนอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรเผชิญความจริงตรงหน้าอย่างไร
แววตาเสิ่นเสี่ยวอวี้ตอนเห็นเธอ บ่งบอกว่ารู้จักเธออย่างเห็นได้ชัด
คงได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งเหมือนเธอ
และมีความทรงจำจากชีวิตที่แล้ว
“พี่ วางหล่อนลงเถอะ”
เดิมทีหลินเซี่ยจะอุ้มเด็กน้อย แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าของเสิ่นเสี่ยวอวี้ ก็จะนึกถึงเรื่องในชาติก่อนโดยไม่รู้ตัว นึกถึงใบหน้าบิดเบี้ยวของเสิ่นเสี่ยวอวี้ตอนถอดหน้ากากออกซิเจนของเธอออก นึกถึงแววตาชั่วร้ายอำมหิตของเสิ่นเสี่ยวอวี้ เสิ่นอวี้อิ๋งและหลิวจื้อหมิงตอนยืนอยู่ด้วยกัน
ดังนั้น เธอจึงไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองให้ไปอุ้มทารกน้อยได้เลย
เธอไม่อยากแตะต้องเสิ่นเสี่ยวอวี้
เพราะกลัวว่ามือของตัวเองจะสกปรก
ขณะเดียวกัน เธอยังกังวลเรื่องอื่นด้วย ถ้าเสิ่นเสี่ยวอวี้มีความทรงจำของชาติที่แล้วจริง เธอยิ่งไม่กล้าอุ้มอีกฝ่าย ถ้าอีกฝ่ายแกล้งเตะท้องตอนเธออุ้มอย่างประสงค์ร้าย ทำร้ายลูกในท้องของเธอ…
หลินเซี่ยถูกผู้หญิงเหล่านั้นรังแกจนเกิดอาการหวาดระแวงเสียแล้ว
หลินจินซานวางเด็กกลับลงไปบนเตียงเตา จัดให้เด็กน้อยนอนราบ
สายตาของเด็กน้อยไม่ละไปจากหลินเซี่ยตั้งแต่ต้นจนจบ
กระทั่งหลินจินซานยังสัมผัสได้ว่าปฏิกิริยาของเสิ่นเสี่ยวอวี้ตอนเห็นหลินเซี่ยต่างไปจากคนอื่น ๆ
“เซี่ยเซี่ย เด็กคนนี้ดูจะชอบเธอมากนะ”
หลินจินซานกลัวว่าหลินเซี่ยจะใจอ่อน เขาจึงเตือนเธอ “เซี่ยเซี่ย เธอจะใจอ่อนไม่ได้นะ นี่คือลูกสาวของเสิ่นอวี้อิ๋ง ถึงเธอจะเป็นคนดีแต่ก็ไม่อาจเมตตาคนซี้ซั้ว ปีศาจร้ายอย่างเสิ่นอวี้อิ๋ง ลูกที่คลอดออกมาก็คงเป็นปีศาจน้อยเหมือนแม่นั่นแหละ ถ้ายังไปข้องแวะกันอีก วันหน้าคงมีแต่ปัญหาไม่รู้จบ”
หลินจินซานเคยถูกเสิ่นอวี้อิ๋งใส่ร้าย แถมยังได้เห็นพฤติกรรมชั่วร้ายสารพัดของเสิ่นอวี้อิ๋งหลังจากเข้าเมือง เขารังเกียจทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเสิ่นอวี้อิ๋งมากจนอยากหลบไปเสียให้ไกล
หลินเซี่ยไม่พูดอะไร เพียงยืนมองทารกบนเตียงเตานิ่ง ๆ
หลินจินซานพูดเร่งมาจากข้าง ๆ
“เซี่ยเซี่ย ดูออกไหมว่าเธอเหมือนใคร? เป็นลูกของหลิวจื้อหมิงหรือเจิ้งต้าหมิง?”
“ดูไม่ออก” หลินเซี่ยตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ชาติก่อนเธอไม่รู้ว่าพ่อแท้ ๆ ของเสิ่นเสี่ยวอวี้คือใคร ส่วนชาตินี้ ตอนนี้เธอยังดูไม่ออก
เกรงว่าแม้แต่เสิ่นอวี้อิ๋งเองก็คงไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองตั้งครรภ์ลูกของใครกันแน่
หลินจินซานแสดงความคิดเห็น
“ฉันรู้สึกว่าหล่อนหน้าตาคล้ายเจิ้งต้าหมิงนะ ไม่น่าใช่ลูกของหลิวจื้อหมิง”
“ผู้หญิงคนนั้นอายุน้อย ๆ ก็ไปข้องแวะกับผู้ชายมากหน้าหลายตาขนาดนี้? ไร้ยางอายจริง ๆ ตอนอยู่บ้านเกิดก็เคยใส่ร้ายฉัน หาว่าฉันแอบดูตอนหล่อนหลับ ประสาทจริง ๆ ตัวหล่อนเองต่างหากที่มีจิตใจโสมม มองอะไรก็เห็นเป็นเรื่องสกปรกไปเสียหมด”
หลินจินซานนึกถึงเรื่องที่เสิ่นอวี้อิ๋งทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียงตอนอยู่ในหมู่บ้านก็โมโหจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
หลินเซี่ยพูดกับหลินจินซานที่กำลังบ่นอยู่ข้างๆ “พี่ ไปซื้อน้ำจากข้างนอกให้ฉันหน่อยสิ ฉันหิวน้ำ”
“เธออยู่ที่นี่คนเดียวไม่เป็นไรงั้นเหรอ?” หลินจินซานถามอย่างเป็นห่วง
หลินเซี่ยตอบยิ้ม ๆ “ไม่เป็นไรหรอก ฉันนั่งอยู่ตรงนี้จะมีอะไรได้? ถ้าเด็กร้อง ฉันจะบอกให้ผู้อำนวยการอุ้มไปเอง”
“ก็ได้ ฉันจะไปซื้อน้ำมาให้”
หลินจินซานออกไปแล้ว เวลานี้ในห้องจึงเหลือผู้ใหญ่อย่างหลินเซี่ยอยู่เพียงคนเดียว
ทารกอีกคนบนเตียงเตานอนหลับสนิท เสิ่นเสี่ยวอวี้นอนหงายอยู่บนนั้น แขนขาปัดไปมาขณะมองมาที่หลินเซี่ย
หลินเซี่ยยืนอยู่ข้างเตียง มองทารกน้อยที่โบกแขนขาอยากให้ตนอุ้มด้วยสายตาเย็นชา มุมปากของเธอหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็น
“หลินอวี้” หลินเซี่ยมองหล่อน พลันเอ่ยชื่อนี้ขึ้นมา
เมื่อหลินเซี่ยเรียกชื่อนี้ ทารกน้อยบนเตียงก็หยุดความเคลื่อนไหวในชั่วพริบตา ใบหน้าน้อย ๆ แข็งค้าง มองหลินเซี่ยอย่างเหลือเชื่อ
ความเร็วในการเปลี่ยนสีหน้าทำให้หลินเซี่ยต้องขนลุก
หลินอวี้คือชื่อที่เธอตั้งให้เสิ่นเสี่ยวอวี้หลังจากรับมาเลี้ยงในชาติก่อน
ปฏิกิริยาตอบสนองในชั่วขณะนี้ของเสิ่นเสี่ยวอวี้บอกชัดทุกอย่างแล้ว
หลินเซี่ยเห็นอย่างนั้น หัวใจก็เต้นกระหน่ำ
เธอทายถูกแล้ว
เด็กคนนี้มีความทรงจำจากชาติที่แล้วอยู่จริง ๆ