ตอนที่ 527 คนมาแล้ว
โจวซานประหม่าขึ้นมาในทันที แต่เขายังพยายามรักษาความสงบเอาไว้ “ฝ่าบาททรงต้องพักรักษาตัว ท่านอ๋องอย่าเพิ่งรบกวนเลยดีกว่า”
ในเวลานี้ เขากำลังคิดว่าหากไคหยางอ๋องดึงดันจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขาจะรับมืออย่างไร
ใช้คำพูดข่มขู่คงไม่ได้ ไคหยางอ๋องสังหารราชครูในดาบเดียว หากเรียกองครักษ์หลวงก็คงไม่ได้เช่นกัน องครักษ์หลวงในราชวังตอนนี้เทียบกับกองทัพเฉาหยางของไคหยางอ๋องแล้ว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย
เมื่อคิดได้เช่นนี้ โจวซานก็วิตก คิดแผนการรับมือที่แย่ที่สุดไว้แล้ว ช่างเถอะ หากไคหยางอ๋องทรยศ เขาจะยอมสู้ตาย ถือว่าเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อฮ่องเต้
เว่ยหานขมวดคิ้ว พูดอย่างลำบากใจว่า “หากไม่สามารถขอพระราชทานอนุญาตจากเสด็จพี่ แล้วจะให้กองทัพเฉาหยางตั้งค่ายที่ชายแดนเมืองหลวงตลอดไปและปล่อยให้กองกำลังแต่ละฝ่ายก่อความวุ่นวายหรือ”
ทันทีที่โจวซานได้ยิน เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย
เหมือนกับว่าจะไม่เหมือนกับที่เขาคิดไว้ ไคหยางอ๋องหมายความว่าจะนำทัพไปโจมตีกองกำลังกบฏเหล่านั้นหรือ
แบบนี้ได้สิ!
เถาซั่วและคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็ดีใจ
เดิมคิดว่าไคหยางอ๋องจะก่อกบฏ คิดไม่ถึงว่าเขาต้องการสงบสงคราม นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดและน่าดีใจจริงๆ
เพียงแต่ว่ากลัวว่าโจวซานจะคิดไม่ได้ เถาซั่วจึงกระแอมแรงๆ หนึ่งที “โจวกงกง ฝ่าบาททรงฟื้นแล้วมิใช่หรือ…”
โจวซานเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ฝ่าบาททรงตกพระทัยเกินไป ไม่มีแรงพบผู้ใดเลยจริงๆ เอาเช่นนี้เถอะ ข้าจะเข้าไปขอพระราชทานอนุญาตแล้วจะมาให้คำตอบแก่ท่านอ๋อง”
ขณะที่เดินเข้าไปข้างใน โจวซานก็ถอนหายใจในใจ
หากฮ่องเต้ทรงไม่เป็นอะไร เขาก็ไม่อยากขวางไว้หรอก!
ทว่าตอนนี้นอกจากเหล่าอ๋องก่อกบฏวุ่นวาย ยังมีกองทัพเฉาหยางที่จ้องตาเป็นมัน หากให้ผู้อื่นเห็นฮ่องเต้ไม่สามารถขยับพระวรกายและขยับพระโอษฐ์ได้ ผู้คนคงจิตใจว้าวุ่น บ้านเมืองโกลาหลเป็นแน่
โจวซานเดินเข้าไปในห้องบรรทม มาถึงข้างกายองค์จักรพรรดิ
องค์จักรพรรดิฟื้นแล้วจริงๆ เพียงแต่ไม่สามารถขยับวรกายได้ พระองค์ทรงร้อนรนจนพระพักตร์บิดเบี้ยว
หมอหลวงสองสามท่านที่เฝ้าอยู่ข้างกายเกลี้ยกล่อมไม่หยุด “ฝ่าบาท ทรงอย่าร้อนพระทัย ยิ่งร้อนพระทัยก็ยิ่งไม่อาจหายได้…”
จักรพรรดิหย่งอันทรงได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธกริ้ว
จิตใจของพระองค์ยังคงแจ่มชัด แต่กลับไม่สามารถตรัสสิ่งใดได้ ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับการขังคนปกติไว้ในห้องขังที่ปิดทึบ ชวนให้บ้าคลั่ง
จักรพรรดิหย่งอันทรงไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ วันที่ไร้ซึ่งเกียรติของจักรพรรดิ
เมื่อเห็นพระเนตรของจักรพรรดิหย่งอันทรงเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ มุมโอษฐ์ที่สั่นเทาเริ่มบิดเบี้ยว หมอหลวงสองสามท่านก็ร้อนรนจนเหงื่อไหลไม่หยุด หมอหลวงหนึ่งในนั้นรีบทูลว่า “ฝ่าบาท โรคภัยที่มาเร็ว ย่อมต้องใช้เวลาฟื้นฟูนาน หากพระองค์ทรงพักรักษาวรกายดีๆ ย่อมหายได้ หากไฟร้อนโจมตีพระทัยมีแต่จะยิ่งแย่…”
หายได้หรือ
จักรพรรดิหย่งอันทรงได้ยินคำพูดนี้แล้วกะพริบพระเนตรสองสามที จากนั้นจึงค่อยๆ สงบลง
หมอหลวงโล่งอก
หากฝ่าบาททรงไม่สามารถควบคุมอารมณ์พระองค์เองได้อีก เกรงว่าคงต้องสิ้นพระชนม์ไปเช่นนี้ ถึงครานั้นพวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ได้อีกหรือ
โจวซานจึงประชิดเข้าไปใกล้พลางทูลว่า “ฝ่าบาท ไคหยางอ๋องต้องการนำทัพไปโจมตีโจรกบฏ ให้กระหม่อมมาขอพระราชทานอนุญาตจากพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันทอดพระเนตรโจวซานเงียบๆ
โจวซานรีบทูล “หากทรงตกลงโปรดกะพริบพระเนตรข้างซ้าย หากไม่ตกลงโปรดกะพริบพระเนตรข้างขวานะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหย่งอันทรงโกรธกริ้วจนอวัยวะภายในพลุ่งพล่าน แต่เมื่อคิดถึงคำพูดของหมอหลวงจึงบังคับตนเองให้สงบลง พระองค์กะพริบพระเนตรข้างซ้ายให้โจวซาน
“เช่นนั้นกระหม่อมจะไปบอกไคหยางอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ”
โจวซานเดินกลับไปในตำหนักเพื่อแสดงเจตนารมณ์ของจักรพรรดิหย่งอัน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะนำทัพออกเดินทางทันที”
เมื่อเห็นเว่ยหานเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เสนาบดีจ้าวและคนอื่นๆ จึงถอยออกไป
โจวซานกลับไปยังข้างกายจักรพรรดิหย่งอัน หาโอกาสลอบถามหมอหลวงท่านนั้นว่า “ฮ่องเต้… ต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะหาย”
หมอหลวงมองโจวซานอย่างลึกซึ้ง
โจวซานถูกมองจนใจเต้นระส่ำ “ทำไมหรือ”
หมอหลวงครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “พูดยาก กงกงเตรียมใจไว้ดีกว่า”
“แต่เมื่อครู่นี้ท่าน…”
หมอหลวงยิ้มขมขื่น “ไม่เช่นนั้นเล่า”
หากไม่โกหกฮ่องเต้ว่าอีกไม่กี่วันก็จะทรงหายแล้วจะปล่อยให้ฮ่องเต้ร้อนพระทัยจนสิ้นพระชนม์ไปเช่นนั้นหรือ
ยื้อได้หนึ่งวันเป็นหนึ่งวัน ไม่แน่ว่าฮ่องเต้จะทรงค่อยๆ ชินขึ้นมาเล่า
โจวซานได้ยินดังนั้นก็รู้สึกหนักอึ้ง หัวใจของเขาจมดิ่ง
หากฮ่องเต้ไม่มีวันหายเป็นปกติได้… ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะมีจุดจบเช่นไร
เมื่อเว่ยหานเดินออกจากประตูวัง เหล่าขุนนางก็ยังคงไม่มีผู้ใดจากไป พวกเขาอยากรอฟังข่าวของฮ่องเต้ ทว่าเมื่อเห็นใบหน้างดงามที่เยือกเย็นนั่นกลับไม่กล้าเข้าไปถาม ได้แต่มองตาปริบๆ
เว่ยหานเดินสาวเท้าไปถึงข้างหน้าองครักษ์จิ่นหลิน พูดสั้นและกระชับว่า “ดาบ”
องครักษ์จิ่นหลินรีบยื่นดาบยาวให้ทันที
“ขอบใจ” เว่ยหานพยักหน้าเบาๆ เดินถือดาบออกไป
เหล่าขุนนางมองหน้ากันไปมา
ไคหยางอ๋องจากไปเช่นนี้หรือ
แล้วฝ่าบาทเล่า
ขณะที่กำลังวิตกอยู่นั้น ในที่สุดพวกเสนาบดีจ้าวก็ออกมา
ขุนนางกลุ่มหนึ่งถลันเข้าไป พากันถามว่า “ฝ่าบาทเป็นอย่างไรแล้ว”
เถาซั่วรู้สึกเหมือนมีเสียงผึ้งหึ่งๆ ดังข้างหู เขาพูดเสียงขรึมว่า “ฝ่าบาททรงตกพระทัย จำเป็นต้องพักรักษาตัวระยะหนึ่ง ใต้เท้าทุกท่านแยกย้ายเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เหล่าขุนนางก็ยิ่งไม่มั่นใจ
พักรักษาตัวระยะหนึ่งคือนานแค่ไหน คำพูดของอัครมหาเสนาบดีช่างคลุมเครือ บัดนี้แม้เรื่องทหารที่ก่อความวุ่นวายนอกเมืองจะแก้ไขแล้ว แต่หลายแว่นแคว้นยังคงวุ่นวาย ช่วงเวลาที่ฝ่าบาทพักรักษาตัว ราชกิจควรจัดการอย่างไร
แล้วก็ไคหยางอ๋อง ไคหยางอ๋องนำกองทัพเฉาหยางกว่าหมื่นคนตั้งค่ายอยู่นอกเมือง หากฉวยโอกาสก่อกบฏ พวกเขาควรทำอย่างไร
พวกเขาควรยืนกรานปกป้องฮ่องเต้ แต่ตอนนี้พวกเขาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่มีรัชทายาทให้ปรึกษา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ พวกเขาก็รู้สึกไร้พลังจะต่อต้านไคหยางอ๋องแล้ว
ไคหยางอ๋องเองก็แซ่เว่ยนี่…
“ใต้เท้า แล้วไคหยางอ๋อง…”
เถาซั่วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ไคหยางอ๋องนำทัพไปปราบปรามความวุ่นวายตามพระบัญชาของฝ่าบาทแล้ว”
เหล่าขุนนางชะงัก
ที่แท้ไคหยางอ๋องเป็นคนดีเช่นนี้เลยหรือ
เมื่อคิดถึงการตัดสินไคหยางอ๋องเมื่อครู่นี้ เหล่าขุนนางก็อดรู้สึกละอายใจไม่ได้ ปรักปรำคนซื่อสัตย์เสียแล้ว
เว่ยหานออกจากเมือง เขาระดมกำลังทันทีและออกเดินทางในวันเดียวกัน
“สือหั่ว สือเหยียน พวกเจ้าดูแลทหารหนึ่งหมื่นนายนี้ให้ดี อย่าให้พวกเขารบกวนประชาชน”
สองพี่น้องกำหมัดประสานมือพร้อมกัน “ขอรับ!”
เว่ยหานมองไปทางประตูเมืองครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขี่ม้าทะยานไปทางใต้
กองกำลังดำทะมึนข้างหลังกรีธาทัพราวสายน้ำ ธงที่เขียนคำว่า ‘หยาง’ โบกสะบัดไปตามสายลม
เมื่อได้ยินว่าไคหยางอ๋องที่เพิ่งเอาชนะจิ้งเป่ยอ๋องนำทัพจากไปอีกแล้ว เหล่าประชาชนในเมืองก็วิตกอีกครั้ง
ไคหยางอ๋องไปแล้ว หากมีทหารกบฏตีเมืองอีกครั้งจะทำอย่างไร เพื่อที่จะปกป้องเมืองแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อน ราชสำนักยังให้พวกเขาทุกครัวเรือนส่งคนไปอยู่เลย
แม้จะไม่ใช่กำลังหลักในการเฝ้ารักษาเมือง แต่การสู้รบหลายครั้งคงต้องมีสักวันที่ต้องเสียชีวิต นั่นจะกลายเป็นหายนะ
เมื่อเหล่าประชาชนออกจากเมืองมาดูก็วางใจลง ยังดีที่ยังมีทหารจำนวนไม่น้อยอยู่ แบบนี้ก็ไม่ต้องกลัวทหารก่อกบฏแล้ว
ประชาชนวางใจ ทว่าเหล่าขุนนางกลับไม่สบายใจ
ทหารหนึ่งหมื่นนายนี่…จำนวนมากไปเล็กน้อย
แม้จะไม่มีใครพูด เหล่าขุนนางกลับรู้ดีแก่ใจ อย่างน้อยช่วงนี้ไคหยางอ๋องก็เป็นคนควบคุมเมืองหลวงแล้ว
ธงปลิวไสว เสียงกีบม้าดังก้อง กองกำลังเข้าใกล้เหอหยาง
คนฝั่งแม่ทัพใหญ่ลั่วรีบมารายงานว่า “แม่ทัพใหญ่ ไคหยางอ๋องนำทัพมาตีเมืองเหอหยางแล้วขอรับ!”
ลั่วฉือในยามนี้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่แล้ว
แม่ทัพใหญ่ลั่วได้ยินดังนั้นก็มองลั่วเซิง “เซิงเอ๋อร์ เจ้าได้ยินหรือยัง ไคหยางอ๋องมาตีเมืองของเราแล้ว”