ตอนที่ 1,449 ทำตัวอวดดีอีกแล้ว
บัดนี้ หลิงฉือยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในเมืองหยุนเมิ่ง
ทุกคนกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
เกาเฉิงฮั่นน้ำตาไหลด้วยความปลาบปลื้ม
ตอนแรกที่รู้จักกัน หลินเป่ยเฉินยังไม่ใช่ผู้มีพลังขั้นเซียนด้วยซ้ำ ระดับพลังเป็นรองเกาเฉิงฮั่นหลายช่วงตัว แต่ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินกลับสามารถเอาชนะหุ่นเหล็กมรณะได้อย่างง่ายดาย
หลินเป่ยเฉินต้องมีขั้นพลังอยู่ในระดับไหนกัน?
หรือว่าหลังจากที่หลินเป่ยเฉินรับตำแหน่งเซียนกระบี่ ขั้นพลังจึงเพิ่มมากขึ้น?
ขณะนี้ สีหน้าขององค์หญิงเหยียนอิงกลับมาเป็นปกติแล้ว นางขมวดคิ้ว มุมปากยกตัวเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย กล่าวว่า “บัดซบ… น่ารังเกียจจริง ๆ เป็นเช่นนี้เขาก็คงได้โอกาสทำตัวอวดดีอีกแล้ว”
จังหวะนั้น พื้นดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย
เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจหยุดลงอย่างกะทันหัน
ทุกคนค่อย ๆ กวาดตามองไปยังทิศทางต้นกำเนิดของแรงสั่นสะเทือน
และสิ่งที่พวกเขาพบเห็นก็คือหุ่นเหล็กมฤตยูตัวนั้นมีแสงสีแดงเรืองรองขึ้นมา มันพยายามจะลุกขึ้นยืน ชิ้นส่วนที่เสียหายตามลำตัวมีโลหะเหลวไหลซึมออกมา
กระบวนการซ่อมแซมดำเนินไปอย่างรวดเร็ว…
ดูเหมือนว่าหุ่นยักษ์กำลังจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ฝันร้ายครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
เมื่อเหล่าทหารกล้าจากกลุ่มสัมพันธมิตรเห็นเช่นนี้ ความหวาดหวั่นพรั่นพรึงก็กลับมากลืนกินจิตใจอีกครั้ง
ไม่มีทางหรอกกระมัง?
หุ่นยักษ์ไม่น่าฟื้นขึ้นมาได้
มันไม่ยอมตายอย่างนั้นหรือ?
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็แสดงออกถึงความประหลาดใจเล็กน้อย
นี่มันหุ่นเหล็กอมตะไม่มีวันตายหรือไง?
โดนโจมตีเข้าไปขนาดนั้น ยังจะฟื้นขึ้นมาได้อีกหรือ?
เขากระแทกเท้าลงไปอย่างแรง ส่งตนเองลอยขึ้นไปในอากาศและก้มหน้าพิจารณารายละเอียดอย่างถี่ถ้วน
ครืน!
พื้นดินสั่นไหวอย่างรุนแรง
หุ่นเหล็กมฤตยูค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
ลำตัวขนาดใหญ่ยักษ์ของมันแปดเปื้อนด้วยคราบดินโคลน ตำแหน่งที่เสียหายชำรุดก่อนหน้านี้ผ่านกระบวนการซ่อมแซมเสร็จสิ้น ดวงตาทั้งสองข้างกลับมามีแสงสว่างสีแดงสาดส่องอีกครั้ง และขณะนี้ ทุกชิ้นส่วนบนร่างกายยังมีแสงสีแดง แสงสีน้ำเงิน แสงสีทองคำ แสงสีเขียวและแสงสีดำเรืองรองส่องออกมาอีกด้วย
พลังกดดันหนักหน่วงรุนแรงเช่นเดียวกับก่อนหน้านี้แผ่กระจายออกมาอีกครั้ง
สีหน้าของหลิงฉือและพรรคพวกกลับมาเคร่งเครียด
ใบหน้าที่งดงามขององค์หญิงเหยียนอิงฉีกยิ้มอย่างมีความสุข นางจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉินผู้ลอยอยู่กลางอากาศและเย้ยหยันว่า “ดูเหมือนเวลาเพียงห้าลมหายใจจะไม่พอแล้วสิ เจ้าเจอปัญหาใหญ่เข้าเสียแล้ว”
มาดูกันซิว่าหลินเป่ยเฉินจะจัดการแก้ไขปัญหานี้อย่างไร
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น ยิ้มตอบกลับไปด้วยความสบายใจ “เจอปัญหาใหญ่? ไม่เลย นี่ก็แค่เรื่องน่าประหลาดใจเล็กน้อยเท่านั้น”
นี่คือเรื่องที่น่าประหลาดใจจริง ๆ
เพราะบัดนี้ หลินเป่ยเฉินมองออกแล้วว่าหุ่นเหล็กมฤตยูเป็นสมบัติสวรรค์
ในร่างกายของหุ่นเหล็กมีพลังปราณธาตุห้าชนิดไหลเวียนอยู่เป็นจำนวนมาก
แม้ว่าจะไม่มากจนน่าตกใจ แต่อย่างน้อยวิธีการไหลเวียนพลังก็ไม่ต่างจากวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ
ดีไม่ดี หุ่นเหล็กตัวนี้อาจจะมีพลังปราณธาตุแข็งแกร่งกว่าเขาด้วยซ้ำ
ไม่ได้การ
ต้องฆ่ามันให้ได้
จะให้ลอยนวลไปไม่ได้เด็ดขาด!!
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยจิตสังหาร ก่อนจะปลดปล่อยพลังที่ได้รับมาจากตำแหน่งของใต้เท้าฉาง
เมฆฝนดำทะมึนปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ระหว่างกลางกลุ่มก้อนเมฆ
พลังทั้งหมดของใต้เท้าฉางขณะนี้อยู่ในการครอบครองของหลินเป่ยเฉินหมดสิ้น
หลิงฉือและนายทหารคนอื่น ๆ รู้สึกได้ถึงพลังกดดันมหาศาลที่ทำให้หายใจไม่สะดวก
พลังกดดันเช่นนี้มักจะมาจากเทพเจ้าระดับสูงเท่านั้น
แน่นอนว่าในขณะนี้ หุ่นเหล็กมรณะที่เพิ่งฟื้นตัวกลับคืนมาก็ระเบิดพลังออกมาอย่างเต็มอัตราเช่นกัน บนผิวโลหะปรากฏอักขระโบราณนับไม่ถ้วน ค่ายอาคมต่าง ๆ ถูกเปิดผนึกการใช้งาน แต่การเคลื่อนไหวของมันยังคงเชื่องช้าไม่ต่างจากหอยทาก…
องค์หญิงเหยียนอิงทำปากจู๋ด้วยความตกตะลึง
“ข้าจะจัดการเจ้าเอง”
หลินเป่ยเฉินแผดเสียงคำรามก่อนควบคุมสายฟ้ารวมถึงสายลมสายฝนให้โหมกระหน่ำโจมตีใส่หุ่นเหล็กยักษ์ด้วยความดุดันเกรี้ยวกราด
สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงบนผิวโลหะของหุ่นเหล็กมฤตยู
นี่ไม่ต่างจากฉากที่ก็อตซิลล่าถูกปืนพลังไฟฟ้าแรงสูงยิ่งเข้าใส่ในภาพยนตร์ซึ่งหลินเป่ยเฉินเคยดูเมื่อชาติภพก่อน
หากการที่หลินเป่ยเฉินใช้พละกำลังของตนเอง ทำให้หุ่นยักษ์ตัวนั้นล้มคะมำลงไปได้ในรอบแรก ส่งผลให้สมาชิกกลุ่มสัมพันธมิตรตกตะลึงมากแล้ว การที่เด็กหนุ่มสามารถควบคุมสายฟ้าโจมตีใส่หุ่นเหล็กมฤตยูอย่างต่อเนื่องในขณะนี้ ก็นับเป็นภาพที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของพวกเขาโดยสมบูรณ์
นี่คือการโจมตีของเทพเจ้าระดับสูงไม่ใช่หรือ?
อย่าบอกนะว่าหลินเป่ยเฉินมีตำแหน่งเป็นเทพเจ้าระดับสูงจริง ๆ?
ทุกคนได้แต่ถามตนเองอยู่ในใจเช่นนั้น
ครืน!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
สายฟ้าพิฆาตฟาดใส่หุ่นเหล็กยักษ์ไม่หยุดยั้ง สะเก็ดไฟสายกระจายในอากาศ
หุ่นเหล็กร้องคำรามด้วยความทรมาน
ลำแสงห้าสีที่เรืองรองออกมาจากร่างกายพลันรวมตัวเป็นม่านพลังเพื่อป้องกันการโจมตีจากสายฟ้าฟาด
แต่กลับไร้ประโยชน์
ในที่สุด การโจมตีจากสายฟ้าฟาดก็ทำให้ม่านพลังนั้นค่อย ๆ เลือนรางจางหายไป
ดวงตาสีแดงของหุ่นยักษ์เริ่มหมองแสงลง
สุดท้าย มันก็ล้มคว่ำลงไปบนพื้นดิน
แผ่นดินไหว
หุ่นยักษ์พ่ายแพ้อีกครั้ง
ความเงียบปกคลุมในบรรยากาศ มีเพียงเสียงสายลมกระโชกตัวเท่านั้นที่ดังขึ้นในหูของทุกคน
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจจึงดังขึ้นมาเป็นคำรบสอง
ครั้งนี้ ทุกคนรอให้แน่ใจก่อนว่าเจ้าหุ่นเหล็กยักษ์ได้ ‘ตาย’ ไปแล้วจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินสามารถเอาชนะหุ่นเหล็กมฤตยูได้อีกครั้ง
“ถอยทัพห้าสิบลี้ ไปรวมกำลังพลอยู่ในค่ายทหารประจำนครเจาฮุย”
หลิงฉือตะโกนออกคำสั่ง
เขายังคงระมัดระวังตัว
แม้หุ่นเหล็กเทพเจ้าตัวนี้จะถูกทำลายลงไปแล้ว แต่มีผู้ใดทราบบ้างว่าบรรดาเทพเจ้าจากกองทัพของฝ่ายตรงข้ามจะปรากฏตัวออกมาโจมตีอีกเมื่อไหร่?
หลินเป่ยเฉินค่อย ๆ ทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนร่างหุ่นเหล็กยักษ์ตัวนั้น
เขาสนใจหุ่นเหล็กตัวนี้มาก
นอกจากมันจะสร้างขึ้นมาจากแร่โลหะที่พิเศษพิสดารแล้ว หลินเป่ยเฉินยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหุ่นเหล็กตัวนี้มีการลงค่ายอาคมที่ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังปราณธาตุทั้งห้าชนิดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของมัน
การไหลเวียนของมันไม่ต่างจากการทำงานของวิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณ
นี่คือเรื่องที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
วิชาห้าธาตุหลอมวิญญาณเป็นสุดยอดเคล็ดวิชาประจำดินแดนทวยเทพ
เคยมีข่าวลือว่าไม่มีผู้ใดสามารถฝึกฝนวิชานี้ได้สำเร็จด้วยซ้ำ
ยกเว้นบุคคลเพียงผู้เดียว…
ท่านมหาเทพ!
และเขาก็ได้รู้มาจากหลิงเฉินแล้วว่า ท่านมหาเทพกลับมาเกิดใหม่เป็นเว่ยหมิงเฉิน
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นบนดินแดนทวยเทพหรือในแผ่นดินตงเต้า จึงมีเพียงบุคคลเดียวเท่านั้นที่สามารถสร้างหุ่นเหล็กตัวนี้ขึ้นมาได้
และบุคคลนั้นก็คือเว่ยหมิงเฉิน
แต่การทำลายล้างจากพลังสายฟ้าฟาดเมื่อสักครู่ ได้สลายพลังที่ตกค้างของเว่ยหมิงเฉินในตัวหุ่นเหล็กออกไปหมดสิ้น
“ถ้าเราเอามันมาใช้งานได้…”
หลินเป่ยเฉินเกิดความคิดบรรเจิดขึ้นมาในหัวใจ
หุ่นเหล็กยักษ์ที่มีพละกำลังมหาศาลเช่นนี้ ย่อมสามารถทำงานอันตรายได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นความตายอีก
ขอเพียงหลินเป่ยเฉินรู้วิธีควบคุมค่ายอาคมในตัวหุ่นเหล็กเท่านั้น เขาก็จะสามารถใช้งานมันได้แล้ว
แต่หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าค่ายอาคมเหล่านั้นมีกระบวนการทำงานอย่างไร
เด็กหนุ่มหยุดคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะนำหุ่นเหล็กขนาดมโหฬารตัวนี้เก็บเข้าไปในพื้นที่ฝากไฟล์ออนไลน์ของแอปสวิ่นเล่ย เพื่อใช้สำหรับการวิเคราะห์ในภายหลัง
จากนั้น เขาก็หันหน้ากลับมาและพบว่ากองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรยังคงล่าถอยกันอยู่
“พวกท่านทำอะไรกัน?”
หลินเป่ยเฉินเคลื่อนกายวูบก็มาปรากฏตัวบนเรือเหาะและถามด้วยความประหลาดใจ “เราชนะแล้วนะ ยังจะต้องถอยทัพกันทำไมอีก?”
หลิงฉือและพรรคพวกแสดงสีหน้าเป็นกังวลออกมา
“อย่าบอกนะว่าพวกท่านหวาดกลัวเทพเจ้าหางแถวเหล่านั้น?”
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “ขนาดหัวหน้าของพวกมันข้ายังตบหัวทิ่มมาแล้ว พวกท่านยังจะต้องกลัวพวกมันไปทำไมอีก? เก็บกวาดสนามรบเถอะขอรับ นับจากนี้ไป ข้าจะดูแลพวกท่านเอง”
หลิงฉือ เกาเฉิงฮั่น หลิงอู๋และคนอื่น ๆ หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
หลินเป่ยเฉินพูดจริงหรือพูดเล่น?
แม้ว่าเด็กหนุ่มเพิ่งจะเอาชนะหุ่นเหล็กมฤตยูมาได้สด ๆ ร้อน ๆ แต่การเรียกเทพเจ้าเหล่านั้นว่าเป็นเทพเจ้าหางแถว… ก็ออกจะเป็นการคุยโวโอ้อวดเกินไป
เก้าอี้ล้อเลื่อนขององค์หญิงเหยียนอิงค่อย ๆ ลอยกลับลงไปบนพื้นดิน
นางกำลังจะพูดถ้อยคำถากถางอะไรบางอย่าง…
แต่ทันใดนั้น ปรากฏลำแสงสายหนึ่งพุ่งเข้ามาจากเส้นขอบฟ้า
ตามมาด้วยลำแสงอีกหนึ่งสาย
และอีกหนึ่งสาย
ลําแสงหกสายพุ่งติดตามกันมา
ปรากฏว่าหน่วยลาดตระเวนของกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรนำข่าวล่าสุดกลับมารายงาน
“กราบเรียนท่านแม่ทัพ… ภูเขาไป๋ฝ่าเจี้ยนถูกทำลายล้าง กลุ่มอมนุษย์ผมขาวเกราะเหล็กถูกกวาดล้างหมดสิ้น เช่นเดียวกับเผ่าเทพตะวันที่พวกมันรับใช้ ก็ถูกกวาดล้างหมดสิ้นแล้วเช่นกันขอรับ”
“กราบเรียนท่านแม่ทัพ… เมืองเซียงเฉิงได้รับการกอบกู้กลับคืนมาแล้ว”
“กราบเรียนท่านแม่ทัพ… มีรายงานลับแจ้งมาว่าวิหารเทพีกระบี่ประจำเมืองหยุนเมิ่งถูกโจมตีโดยองค์ราชันย์แห่งเทพพงไพร…”
“กราบเรียน…”
ข่าวมากมายถูกรายงานเข้ามา
ยืนยันสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมด
พวกของหลิงฉือจึงอดตกตะลึงไม่ได้
โดยเฉพาะเมื่อได้อ่านรายงานลับจากวิหารเมืองหยุนเมิ่ง ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความตะลึง เพราะข้อมูลในรายงานลับระบุว่า ร่างแยกขององค์ราชันย์แห่งวิหารเทพพงไพรพร้อมด้วยผู้ติดตามทั้งหมด ต่างก็ถูกหลินเป่ยเฉินสังหารไปหมดสิ้นกลางลานจัตุรัสหน้าวิหาร
“นี่มัน…”
ทุกคนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข แทบไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่ตนเองได้อ่านนั้นคือความจริง
องค์หญิงเหยียนอิงของชาวทะเลอ้าปากกว้าง จ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินพร้อมกับคิดอยู่ในใจว่า ‘บัดซบ เป็นเช่นนี้เขาก็ได้ทำตัวอวดดีอีกแล้วสิ!’