ตอนที่ 1,499 เทพธิดาเจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิงปรากฏตัว
ใต้เท้ากั้วสีหน้าแปรเปลี่ยนไป
“ปัจจุบันมียารักษาโรคนี้วางจำหน่าย ต่อให้ข้าติดเชื้อบุปผามรณะจริง ก็สามารถรักษาหายขาดได้นานแล้ว”
เทพเจ้าร่างใหญ่หัวเราะเยาะ
นักเวทชราอู่จิวยังคงกล่าวต่อไปอย่างผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า “เกสรของบุปผามรณะจะกัดกินลึกเข้าไปยังแก่นกลางของร่างกาย แม้รอยกลีบดอกบนร่างกายจะหายไป แต่นี่ก็เป็นเพียงการบรรเทาอาการชั่วคราวเท่านั้น หากไม่ได้รับประทานยาที่ถูกต้อง ก็ไม่มีทางที่ท่านจะรักษาได้หายขาด”
“เพราะฉะนั้น ท่านจึงต้องจับตัวเหล่าเด็กผู้หญิงในดินแดนทวยเทพมาเลี้ยงดูเอาไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อดูดพลังหยินจากพวกนาง ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยสะกดอาการของโรคบุปผามรณะในตัวท่านได้ผลมากที่สุด ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่ท่านจับตัวอันอันกับฉินเฉียนเซวียนมาเลี้ยงดูเอาไว้ไม่ใช่หรือ?”
ใต้เท้ากั้วมีใบหน้าบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที
พลันชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ที่เขาสวมใส่มีรอยขาดบริเวณหน้าท้อง โลหิตไหลซึมออกมา ความเจ็บปวดเกาะกินจิตใจ ใต้เท้ากั้วมีเคราะห์กรรมอยู่ชนิดหนึ่งที่ป่วยเป็นโรคบุบผามรณะ ไม่ว่ารับประทานโอสถวิเศษชนิดใดก็ไม่สามารถรักษาหายได้ หลายปีที่ผ่านมา เขาต้องทุกข์ทนทรมานเพราะโรคร้ายนี้จนพลังในการต่อสู้เสื่อมถอยลง
มีเพียงการดูดกินพลังหยินจากตัวเด็กน้อยผู้บริสุทธิ์เท่านั้น อาการของใต้เท้ากั้วจึงทุเลาลงบ้าง
มิเช่นนั้น เขาจะต้องยอมก้มหัวให้แก่เจี๋ยนเซียวเหยาเพื่ออะไร?
ใต้เท้ากั้วไม่ได้อยากเปิดเผยเรื่องนี้ให้ผู้ใดรู้
เพราะในสังคมของเทพเจ้าระดับสูง ไม่เคยมีผู้ใดจริงใจต่อกัน หากพบเห็นว่าผู้ใดผู้หนึ่งอ่อนแอลง บัลลังก์ประจำตำแหน่งก็จะสั่นคลอนทันที
ดังนั้น ใต้เท้ากั้วจึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมาโดยตลอด
แต่กลับถูกนักเวทชราอู่จิวล่วงรู้เข้าเสียแล้ว
“สุนัขแก่ เจ้ารู้มากเกินไป”
ดวงตาของใต้เท้ากั้วเป็นประกายวาวโรจน์ “เพื่อหาศิลาเทวะมาใช้งานในค่ายอาคมวงแหวนอันธการ ข้าถึงต้องเดินทางลงไปที่หุบผาอเวจีชั้นสิบหกและข้าก็ติดโรคบุปผามรณะมาจากที่นั่น วันนี้ข้าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้ เมื่อท่านมหาเทพกลับมา ท่านมหาเทพก็จะช่วยรักษาโรคร้ายนี้ให้กับข้า เฮอะ และข้าก็จะได้ครอบครองคัมภีร์ลับของเจ้า… นี่หมายความว่าโชคชะตาได้เข้าข้างข้าแล้ว”
นักเวทชราอู่จิวพลันหัวเราะเสียงดังสนั่น
“ท่านช่างพยายามเหลือเกิน แต่สุดท้ายก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี”
ชายชราหมุนวนฝ่ามือ แล้วไม้คทาสีเงินด้ามหนึ่งก็มาปรากฏขึ้นในมือ “คาถาที่ท่านร่ายออกมานั้นถูกต้อง เพียงแต่ว่า…”
ไม้คทาสั่นไหว
เสียงบริกรรมคาถาในลักษณะคล้ายคลึงกันดังกึกก้องกังวานทั่ววิหาร
สีหน้าของใต้เท้ากั้วเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง รอยยิ้มเหยียดหยามยังคงประดับอยู่บนริมฝีปาก “เจ้าไปเรียนคาถานี้มาจากที่ใด… เป็นไปได้อย่างไร?”
บทสนทนายุติลงแต่เพียงเท่านี้ เทพเจ้าร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสี ดวงตาปรากฏความตื่นกลัว
เพราะเสียงร่ายคาถาที่ดังกังวานอยู่ในขณะนี้ทำให้โลหิตจำนวนมากระเบิดออกมาจากหน้าท้องของใต้เท้ากั้วและแสงสว่างสีเงินก็สาดเข้ามาปกคลุมร่างกายของเขา
ทันใดนั้น ใต้เท้ากั้วมีดวงตาเป็นประกายดุร้าย จ้องมองลำแสงสีเงินที่พุ่งตรงเข้ามา
วงแหวนอันธการ
นี่คือสุดยอดค่ายอาคมสำหรับโจมตีศัตรูแห่งดินแดนทวยเทพ
ไม้คทาในมือนักเวทชราอู่จิวคือสิ่งที่ใช้ควบคุมค่ายอาคมนี้
ใช่แล้ว!
วิชามหาเวทสะท้อนกลับของนักเวทชราอู่จิวนอกจากใช้ดีดสะท้อนพลังโจมตีได้แล้ว ยังสามารถลอกเลียนแบบพลังโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อีกด้วย
ใต้เท้ากั้วพบว่าตนเองประมาทมากเกินไป
เขาเข้าใจว่าขอเพียงเปิดใช้งานค่ายอาคมวงแหวนอันธการ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถต่อกรกับตนเองได้อีก ดังนั้นใต้เท้ากั้วจึงประมาทคู่ต่อสู้โดยไม่รู้ตัว
ผลลัพธ์จึงออกมา… ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
ใต้เท้ากั้วพยายามสงบสติและร่ายคาถาให้เสียงดังมากกว่าเดิม เพื่อต่อสู้กับพลังแห่งค่ายอาคมวงแหวนอันธการฉบับลอกเลียนแบบจากนักเวทชราอู่จิว
แต่สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เพียงชายชราโบกสะบัดไม้คทาในมือ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบกายก็ถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย
ใต้เท้ากั้วเบิกตาโตจนดวงตาแทบถลนออกมานอกเบ้า
“เป็นไปได้อย่างไร?”
เขาอุทานออกมา
ในมือของนักเวทชราอู่จิวขณะนี้ปรากฏวงแหวนสีเงินวงหนึ่งสะท้อนประกายแวววาว นี่คืออาวุธที่เป็นแกนพลังของค่ายอาคมวงแหวนอันธการ ซึ่งปกติสามารถควบคุมได้โดยการร่ายคาถาเท่านั้น ไม่มีทางสัมผัสด้วยมือเปล่าเด็ดขาด แม้แต่ท่านมหาเทพก็ยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
นักเวทชราลูบไล้นิ้วมือไปบนวงแหวนสีเงินนั้นด้วยสีหน้าเยือกเย็นไร้อารมณ์
การปะทะฝีมือก่อนหน้านี้ก็ทำให้ชายชราเองได้รับบาดเจ็บไม่น้อย โลหิตยังคงไหลทะลักออกมาจากบาดแผลอย่างต่อเนื่อง หากเป็นเทพเจ้าผู้อื่นคงถึงแก่ความตายไปแล้ว แต่บัดนี้ นักเวทชราอู่จิวกลับยังคงยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ไม่มีท่าทีของความอ่อนแอแม้แต่น้อย
หัวใจของใต้เท้ากั้วเกิดความรู้สึกปั่นป่วนราวกับพายุทะเลคลั่ง
เรื่องราวชักจะบานปลายมากเกินกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียแล้ว
ทันใดนั้น ใต้เท้ากั้วจึงได้เข้าใจถึงสิ่งที่ชายชราพูดก่อนหน้านี้… ปรากฏว่านั่นคือโอกาสสุดท้ายที่นักเวทชราอู่จิวมอบให้แก่เขาแล้วจริง ๆ
แต่สิ่งที่ใต้เท้ากั้วไม่เข้าใจเลยก็คือ เหตุไฉนนักเวทชราจึงสามารถควบคุมวงแหวนอันธการได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้
และคำถามในใจเขาก็ได้รับคำตอบในลมหายใจต่อมา
“ถึงเวลาแล้ว”
นักเวทชรายกนิ้วมือขึ้นหมุนวนในอากาศเล็กน้อย
ค่ายอาคมสีทองคำระเบิดแสงสว่างเรืองรอง
หลังจากนั้น ชิงเล่ยลูกศิษย์สาวคนโปรดก็ปรากฏตัวออกมายืนอยู่ข้างกายชายชรา
“ท่านอาจารย์”
ชิงเล่ยไม่ได้แปลกใจกับภาพที่เห็นแม้แต่น้อย
“จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่?”
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของชิงเล่ย ดวงตาของนักเวทชราอู่จิวก็ทอประกายอ่อนโยนขึ้นทันที
“กราบเรียนท่านอาจารย์ อันอันกับเฉียนเซวียน พร้อมด้วยเด็กหญิงอีกสามสิบสี่คนที่ถูกคุมขังอยู่ในวิหารหลังนี้ บัดนี้ได้ถูกเคลื่อนย้ายไปหลบซ่อนตัวในที่ปลอดภัยแล้วเจ้าค่ะ”
ชิงเล่ยตอบกลับด้วยเสียงแสดงความเคารพ
เมื่อใต้เท้ากั้วรับทราบว่าบรรดาเด็กหญิงที่เขาจับตัวเอาไว้เพื่อดูดกินพลังหยินในร่างกายถูกช่วยเหลือออกไปแล้ว หัวใจก็ร้อนผ่าวด้วยความร้อนรนและโกรธแค้นขึ้นมาในทันใด
แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือทำสิ่งใด
เพราะยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่ พลังกดดันในร่างกายของนักเวทชราก็ยิ่งถูกปลดปล่อยออกมามากเท่านั้น และพลังกดดันคุกคามเหล่านั้น ก็ไต่ระดับขึ้นสูงจนถึงจุดที่ใต้เท้ากั้วไม่เข้าใจอีกต่อไป
นี่ทำให้ท่านใต้เท้าใหญ่สัมผัสชัดเจนถึงความเป็นอันตรายต่อชีวิต
สัญชาตญาณกำลังแจ้งเตือนบอกใต้เท้ากั้วว่า หากเขาแสดงท่าทีว่ากำลังจะโจมตีออกไปแม้เพียงเล็กน้อย นักเวทชราอู่จิวก็จะโต้ตอบกลับมาด้วยความโหดร้ายอำมหิตมากกว่านั้นหลายเท่า
นักเวทชราอู่จิวไม่ได้เห็นใต้เท้ากั้วอยู่ในสายตาอีกต่อไป
“นี่ก็ได้เวลาอันดีงามเสียที”
เขาจ้องมองไปที่ชิงเล่ยด้วยความเมตตากรุณา “เจ้ากับข้าเป็นศิษย์อาจารย์ และข้าจะให้โอกาสกับเจ้า ในภายภาคหน้า เจ้าจะสามารถสร้างความยิ่งใหญ่ได้มากกว่าอาจารย์ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า…”
กล่าวจบ ชายชราก็ยื่นมือออกมาข้างหน้า
วูบ!
วงแหวนอันธการหมุนตัวขึ้นไปในอากาศและลอยตรงเข้าไปหาชิงเล่ย
ใต้เท้ากั้วอาศัยโอกาสนี้ที่วงแหวนอันธการลอยขึ้นจากมือของนักเวทชรา ระเบิดพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาปลดปล่อยภาพมายาของเสือดำอสูรพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วสายฟ้าฟาด หมายจะขโมยวงแหวนนั้นกลับคืนมา
นักเวทชราอู่จิวเพียงโบกสะบัดแขนเสื้อแผ่วเบา
ตู้ม!
ภาพมายาของเสือดำอสูรระเบิดกระจาย
ร่างของใต้เท้ากั้วลอยกระเด็นไปกระแทกกับบัลลังค์ขนาดใหญ่ยักษ์ โลหิตไหลทะลักออกปากออกจมูก ไม่ทราบเลยว่ากระดูกในร่างกายแตกหักไปกี่ส่วน…
นี่คือผลลัพธ์ที่ใต้เท้ากั้วไม่อาจยอมรับได้เด็ดขาด
สุนัขเฒ่าผู้นี้เป็นเพียงนักเวทผู้หนึ่ง เหตุไฉนจึงมีพลังทำลายล้างมหาศาลถึงเพียงนี้?
“เล่ยเอ๋อร์ เหตุผลที่ข้ารับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ไม่ใช่เพราะเจ้ามีพรสวรรค์เท่านั้น แต่เป็นเพราะว่าวงแหวนอันธการเป็นผู้เลือกเจ้า… นี่หมายความว่าเจ้าจะเป็นเจ้านายคนใหม่ของมัน และเจ้าจะใช้มันทำอะไรก็ได้”
นักเวทชราอู่จิวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าอยากจะสอนเจ้าให้ได้มากกว่านี้ แต่น่าเสียดาย… ที่นี่คือสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะช่วยสอนเจ้าได้แล้ว…”
“ท่านอาจารย์ ข้า…”
ชิงเล่ยอุทานออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ
ชายชรายกมือห้ามไม่ให้นางพูดอะไรอีก ก่อนที่ตนเองจะกล่าวต่อ “ข้าปลดผนึกคำสาปและผิดคำสาบานที่เคยให้ไว้ต่อท่านมหาเทพ บัดนี้เวลาของข้าจึงไม่มีเหลืออีกแล้ว แต่โชคดีที่ก่อนหน้านี้ ข้าเตรียมการทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ข้ารู้ความลับมากมายของใต้เท้ากั้ว ไม่ว่าจะเป็นค่ายอาคมทุกจุดที่อยู่ในวิหารหลังนี้ หรือสถานที่ซ่อนตัวของเขาในดินแดนทวยเทพ หากเจ้าใช้วิชาที่ข้าสอน เจ้าก็จะสามารถควบคุมวงแหวนอันธการและปกป้องผู้บริสุทธิ์ได้อย่างที่เจ้าใฝ่ฝัน”
ใต้เท้ากั้วเข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงสู้ชายชราไม่ได้เลย
เพราะนักเวทชราอู่จิวรู้จักวิหารของเขาทุกซอกทุกมุมเป็นอย่างดี
หลายปีที่ผ่านมา ใต้เท้ากั้วมองข้ามเรื่องนี้ไปเสียสนิท
เขานี่มันช่างโง่เขลาเหลือเกิน
ใต้เท้ากั้วได้แต่ยิ้มเหยียดหยามตนเอง… วิหารของเขาได้กลายเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดของฝ่ายตรงข้ามไปเสียแล้ว
ทันใดนั้น ใต้เท้ากั้วกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ด้วยความเจ็บแค้นใจ
และชิงเล่ยก็นั่งลงบนพื้นหิน เริ่มต้นร่ายคาถาอย่างที่ผู้เป็นอาจารย์สั่งสอน พลังศักดิ์สิทธิ์รอบตัวถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย
แล้ววงแหวนอันธการที่ลอยวนเวียนอยู่รอบกายหญิงสาวก็ระเบิดแสงสว่างสีเงินเจิดจ้า ก่อนที่มันจะพุ่งตัวเป็นลำแสงหายวับเข้าไปกลางหว่างคิ้วของชิงเล่ย!
ร่างกายของชิงเล่ยปรากฏมวลพลังมหาศาลไหลทะลักออกมา
เมื่อเห็นภาพนี้ ใต้เท้ากั้วก็รู้ดีว่าความพยายามตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาของตนเอง ต้องสูญสลายหายไปกับตาแล้ว
โอกาสที่เขาจะได้เป็นบุตรบุญธรรมคนโปรดของท่านมหาเทพมลายหายไป
ใต้เท้ากั้วรู้สึกอิจฉาริษยา โกรธแค้นจนต้องกระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่
…
พื้นที่ตอนกลาง อาณาเขตของเผ่าเทพพงไพร
ในวิหารที่เงียบสงบหลังหนึ่ง เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ผู้มีผมสีน้ำเงินยาวสลวยกำลังนั่งจ้องมองเด็กหญิงทั้งสามสิบหกคนด้วยความปวดหัว
นี่คือครั้งแรกที่นางต้องดูแลเด็กเล็กมากมายถึงเพียงนี้ มันทำให้เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่รู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งกว่าเผชิญหน้ากับความยากลำบากในการขายอาหารทะเลมาก่อนหน้านี้ทั้งชีวิตเสียอีก
แต่โชคดีที่ยังมีฉางจิ้งคงคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย
เด็กสาวอัจฉริยะผู้นี้สามารถดูแลเด็กเล็กได้เป็นอย่างดี
เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่ระบายลมหายใจออกมายาวแรง ก่อนจะหันหน้ามองไปยังทิศทางของคฤหาสน์ใต้เท้าเจี๋ยน
“นังตัวดี เพื่อช่วยเหลือคนรักหนุ่มน้อยของเจ้าในขณะนี้ ข้าต้องเสียสละมากมายเพียงใด เจ้าพูดไม่ได้อีกแล้วนะว่าข้าไม่เคยช่วยเหลือเจ้าเลย”
เทพธิดาอิ๋นหวงไหอู่พึมพำออกมาด้วยความกระวนกระวายใจ
…
“ฮ่า ๆๆ ช่างหน้าไม่อายสิ้นดี”
พลังกดดันจากใต้เท้าเหลียนในอากาศถูกสลายลงไป
ทุกคนได้ยินเสียงหัวเราะชัดเจนเต็มสองรูหู
และหญิงสาวร่างสูงผู้ไว้ผมหางม้าสองแกละก็ปรากฏตัวขึ้น นางสวมใส่ชุดมือกระบี่สีขาว ยืนหยัดเผชิญหน้ากับใต้เท้าเหลียนห่างออกไปห้าสิบวา
เป็นที่รู้กันดีว่าใต้เท้าเหลียนคือหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งดินแดนทวยเทพ นอกจากขั้นพลังอันสูงส่งและฝีมือการต่อสู้ที่ร้ายกาจแล้ว นางยังมีรูปโฉมงดงามอย่างหาตัวจับยาก แต่มือกระบี่สาวชุดขาวคนนี้กลับมีใบหน้าที่งดงามมากกว่านั้น ดวงตาของนางเป็นประกายสดใสไม่ต่างจากดวงดาราและดวงจันทรา จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากอิ่ม ส่วนสูงสมบูรณ์แบบ ยามยืนเผชิญหน้ากัน จึงทำให้ความงามของใต้เท้าเหลียนดูหม่นหมองลงไปโดยปริยาย
“อ้อ เป็นเจ้านี่เอง”
มุมปากของใต้เท้าเหลียนยกตัวเป็นรอยยิ้มเล็กน้อย “เจี๋ยนเซวี่ยอู่หมิง ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว ตัวเกียจคร้านเช่นเจ้าถึงกับแต่งตัวดีถึงเพียงนี้ ไม่ทราบจะแต่งตัวสวยมาร่วมงานศพของหลินเป่ยเฉินหรืออย่างไร?”