ตอนที่ 474 ท่าเรือเขาพิณพระจันทร์
เมล็ดผลไม้ในมือเหมือนเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งขึ้นมาทันที ลู่หมินบีบเมล็ดขนาดเล็กนี้ นำมาดมระยะประชิดอย่างระมัดระวัง ไม่อาจใช้เพียงคำว่าปราณวิญญาณมาอธิบายดังคาด
‘หรือว่านี่คือเมล็ดผลแก่นวิญญาณจริงๆ’
แม้ว่าไม่เห็นจี้หยวนแล้ว แต่ลู่หมินยังสอดส่องสายตามองไปทางที่จี้หยวนจากไป
‘ก่อนหน้านี้ท่านจี้คนนั้นใช้เมล็ดผลไม้นี้ตกปลาหรือ’
มิน่าปลาเกล็ดทองวารีแก้วซึ่งเลือกมากตลอดถึงติดเบ็ดเร็วเช่นนี้ หากเป็นเมล็ดผลแก่นวิญญาณคงดึงดูดพวกมันได้จริงๆ
สถานการณ์ตอนนี้พอจะบ่งบอกว่าภายในเมล็ดมีจิตวิญญาณอยู่
“นำมาตกปลาหรือ อย่าล้อเล่นเลย!”
แม้ว่าลู่หมินอยากไปถามรายละเอียดกับจี้หยวน แต่คิดว่าภาพจำแรกของเขาที่มีต่ออีกฝ่ายไม่ดีนัก ไม่กล้ารบกวนเกินไป
ลู่หมินเก็บเมล็ดผลไม้ในมือ ก่อนขี่ลมลอยขึ้นไป เหาะไปทางเกาะจันทร์เสี้ยวหนึ่งในนั้น
ดังคำกล่าวว่าเมล็ดผลแก่นวิญญาณความหมายต่างจากเมล็ดพันธุ์แก่นวิญญาณ แก่นวิญญาณมักเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง ต่อให้อยากแตกกิ่งก้านก็ใช่ว่าสุ่มนำเมล็ดอะไรมาปลูกเป็นเมล็ดพันธุ์แล้วจะโต
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นลู่หมินยังรู้สึกว่าเมล็ดในมือล้ำค่ามาก อย่างน้อยน่าจะช่วยทำให้เขารู้ว่าผลดั้งเดิมมีความอัศจรรย์อะไร ถึงอย่างไรแก่นวิญญาณย่อมไม่มีทางแฝงซ่อนแค่ปราณวิญญาณเท่านั้น
กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ลู่หมินหันกลับไปมองเรือเหาะของจวนเร้นจิต ทะเลคันฉ่องโดยรอบเหมือนกับหมู่ดาวส่องสะท้อน เรือเหาะเปล่งแสงธรรมคล้ายจันทร์กระจ่างแต้มแต่ง งดงามเป็นอย่างยิ่ง
“จี้หยวน… บรรดาผู้ฝึกปราณอย่างพวกเรามีพยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนดังคาด!”
…
สำหรับผู้โดยสารบนเรือเหาะจวนเร้นจิต แม้ว่าหมู่ดาวยามค่ำคืนของทะเลคันฉ่องไม่ทำให้พวกเขาผิดหวัง แต่กลับไม่ตกตะลึงถึงขีดสุด
สิ่งสำคัญคือก่อนหน้านี้บนเรือมีผู้สูงส่งบางคนสำแดงวิชา ผู้โดยสารบนเรือเห็นภาพอัศจรรย์อย่างธารดาราร่วงหล่นแล้ว แม้ว่าทิวทัศน์งามของทะเลคันฉ่องน่าอัศจรรย์ รู้สึกเหมือนหมู่ดาวบนล่างส่องสะท้อนรับกัน แต่เทียบกับการล่องเรือกลางธารดาราแล้วยังด้อยกว่าบ้าง
นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ฝึกปราณซึ่งดูแลเรือเหาะจวนเร้นจิตเห็นผู้โดยสารนิ่งสงบกลางค่ำคืนเช่นนี้ แม้แต่คนธรรมดาบนเรือบางส่วนยังค่อนข้างนิ่งเฉย
กระทั่งวันต่อมาเรือเหาะเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ล่องออกจากอาณาเขตทะเลสงบลอยขึ้นฟ้าช้าๆ นอกจากลู่หมินก่อนหน้านี้ ผู้ฝึกปราณหอสมุทรเร้นคันฉ่องไม่เคยปรากฏตัว
สำหรับจี้หยวนลู่หมินเป็นเพียงบทละครน้อยภายในชีวิตการฝึกปราณ คนเราย่อมพบเจอคนผ่านทางมากมายหลายหลาก แต่ทะเลคันฉ่องแห่งนี้กลับพิเศษยิ่ง
หลังจากเรือเหาะลอยขึ้นฟ้ามาครู่ใหญ่ จี้หยวนมองผืนทะเลนิ่งสงบแสงสีดุจเครื่องแก้วเบื้องล่างอยู่ข้างกาบเรือตลอด นอกจากเกาะจันทร์เสี้ยวสองฟากแล้ว ทะเลคันฉ่องแห่งนี้กับน่านน้ำโดยรอบไม่มีสิ่งกีดขวาง แต่ทั้งสองกลับไม่เชื่อมต่อกัน
ความกระจ่างกับแสงปรวนแปรของทะเลคันฉ่อง ไม่สามารถใช้คำว่าธรรมชาติอัศจรรย์เพียงประโยคเดียวมาอธิบายได้ แม้ว่าน่านน้ำนอกหอสมุทรเร้นคันฉ่องล้วนวางค่ายกลผนึกไว้ โดยมีทะเลคันฉ่องเป็นศูนย์กลาง แต่กลับไม่มีร่องรอยการผนึกใด สิ่งนี้ถือเป็นเรื่องไม่สมเหตุสมผลอย่างมาก
จี้หยวนหรี่ตามองมหาสมุทรเหลือบแสงแปรปรวนแถบนี้ ผืนทะเลราบเรียบดุจคันฉ่องจริงๆ มีลมแต่กลับปราศจากคลื่น บางทีคันฉ่องแท้จริงอาจไม่ราบเรียบเท่าทะเลคันฉ่องด้วยซ้ำ
‘ใช่ว่าทะเลคันฉ่องไม่มีผนึก แต่เดิมทะเลคันฉ่องแห่งนี้ก็คือผนึกแข็งแกร่งหายาก ปลาเกล็ดทองวารีแก้วเป็นแค่ภูตวารีซึ่งอาศัยอยู่กลางผนึกเท่านั้น’
หากเป็นเช่นนั้นจริง จี้หยวนมองหมู่เขาบนเกาะจันทร์เสี้ยวข้างทะเลคันฉ่อง เห็นหอสมุทรเหลือบแสงเลือนรางกลางป่าเขา ทั้งมองตรงหน้าผาอีกทิศทาง แม้ว่ามองไม่เห็นแล้ว แต่กลับจำอักษรสลักหน้าผาแฝงเจตกระบี่เด่นชัดได้ดี
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เกรงว่าหอสมุทรเร้นคันฉ่องแห่งนี้คงไม่ธรรมดา ส่วนผนึกทะเลคันฉ่อง…”
จี้หยวนพึมพำไม่กล่าวต่อ แค่จดจำประเด็นนี้ไว้ในใจ
…
ข้ามมหาสมุทร ผ่านมรสุม อาศัยพลังยอดหยางคุมฟ้าดาราแสงจันทร์ เวลาผ่านไปเกือบสามเดือน เริ่มตั้งแต่ท่าเรือยอดเขา กระทั่งถึงท่าเรือเซียนปลายทางซึ่งพวกจี้หยวนเตรียมลงจากเรือ เรือเหาะจวนเร้นจิตจอดเทียบท่าทั้งหมดสี่แห่ง
นอกจากหอสมุทรเร้นคันฉ่องแล้ว อีกสามแห่งล้วนเป็นท่าเรือเซียน แบ่งเป็นเขตปกครองของขุมอำนาจมรรคเซียนต่างๆ แต่ละแห่งจอดเทียบหนึ่งวัน ทั้งมีผู้โดยสารขึ้นลงเช่นกัน
กล่าวโดยรวมคือแม้ว่าท่าเรือเซียนแต่ละแห่งซ่อนอยู่นอกสายตาคนธรรมดาอย่างพยับเมฆ แต่กลับคึกคักกว่าภาพจำของเฒ่าดึกดำบรรพ์อย่างจูหยวนจื่อไม่น้อย ปัจจัยสำคัญบางส่วนเกิดจากตลาด พวกคนธรรมดาเปิดกิจการเพื่อหาเลี้ยงชีพไม่น้อย แต่กลับทำให้ตลาดนัดภายในท่าเรือเซียนมีชีวิตชีวามาก
เริ่มตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสี่ ด้านล่างเรือเหาะกลายเป็นผืนดินทอดยาวต่อเนื่องอีกครั้ง เข้าสู่อาณาเขตทวีปนิรันดร์แดนเหนือ กระทั่งปลายเดือนสี่ ในที่สุดก็ถึงจุดหมายปลายทางท่าเรือเขาพิณพระจันทร์
วันนี้ดวงตะวันลอยเด่นส่องประกาย บนดาดฟ้าเรือเหาะกลุ่มคนหนาแน่น ชาวบ้านธรรมดายืนเบียดกัน โดยเฉพาะตรงจุดที่ต้องวางแผ่นไม้ แต่ตรงที่ผู้ฝึกเซียนกับภูตปีศาจอยู่กลับค่อนข้างกว้างขวาง
คล้ายกับท่าเรือเซียนแห่งอื่น รอบท่าเรือเขาพิณพระจันทร์มีผนึกมายาเป็นหลัก เมฆหมอกล้อมรอบนานปี แต่มองจากภายในหมอกพวกนี้กลับบางเบา ทำให้ยามลงจากเรือคนธรรมดายังเห็นทางเขาชัดเจน
เมื่อทอดมองลงมาจากบนฟ้าท่าเรือเขาพิณพระจันทร์เหมือนยอดเขาราบเรียบมหึมาแห่งหนึ่ง หากตั้งชื่อตามเอกลักษณ์ของสถานที่ เรียกว่าท่าเรือราบเรียบย่อมเหมาะกว่าหน่อย บนนั้นมีอาคารหนาแน่น ทั้งมีผู้คนสัญจรไปมา ดูเหมือนคึกคักกว่าท่าเรือเซียนสองสามแห่งก่อนหน้านี้อยู่บ้าง
ทั้งแตกต่างจากท่าเรือเซียนก่อนหน้านี้ สิ่งปลูกสร้างที่นี่ทอดยาวทั่วท่าเรือเซียน แม้แต่ตรงจุดเทียบท่ายังมีสิ่งปลูกสร้างอย่างโรงสุรากับหอสมบัติเรียงราย
ยามจี้หยวนกับคนจากเขาล้อมหยกทอดมอง ผู้ดูแลแซ่ตู้แห่งจวนเร้นจิตเดินมาตรงหน้า
“ท่าเรือเขาพิณพระจันทร์แห่งนี้คือท่าเรือภายใต้การปกครองของเขาเก้ายอด ในฐานะที่เขาเก้ายอดเป็นสำนักเซียนจัดงานชุมนุมเซียนพเนจรครั้งนี้ ท่าเรือเขาพิณพระจันทร์ในเขตปกครองย่อมคึกคักตามสมควร ความจริงตั้งแต่สิบกว่าปีก่อน มีผู้ฝึกปราณอิสระกับสิ่งมีชีวิตบำเพ็ญเพียรมารวมตัวที่นี่แล้ว เป้าหมายก็เพื่อรองานชุมนุมเซียนครั้งสำคัญช่วงฤดูร้อนปีนี้”
จี้หยวนพยักหน้าแสดงออกว่ารับรู้ แม้ว่าตามทฤษฎีข่าวงานชุมนุมเซียนพเนจรแพร่สะพัดแค่ระหว่างสำนักบำเพ็ญเซียน แต่นานเข้าย่อมแพร่ออกไปช้าๆ ถึงตอนนี้ผู้ฝึกปราณหูไวตาไวหน่อยทราบเรื่องนี้ไม่ถือว่าแปลก แต่สถานที่จัดงานชุมนุมจริงไม่ใช่ว่าใครต่างก็เข้าไปได้
ต่อให้เป็นเช่นนั้นรอบนอกยังกลายเป็นตลาดครึกครื้น ไม่ว่าเป็นคนยุ่งเกี่ยวกับทางโลกหรือไม่ย่อมเกิดความสงสัยใคร่รู้ อยากเห็นสิ่งของที่นึกออก การมีอยู่ของตลาดแห่งนี้ถือว่ามีการรับประกัน ผู้ฝึกปราณรวมถึงภูตปีศาจไม่น้อย ถึงขั้นคิดหาวิธีมาที่นี่โดยไม่กลัวความยากลำบากเพื่อมาลองเสี่ยงโชค ดูว่าเจอสิ่งของที่ต้องการ ถึงขั้นเจอเรื่องดีอย่างเซียนนำทางหรือไม่
เรือเหาะกำลังลดระดับลงช้าๆ ฝูงชนบนดาดฟ้าวิจารณ์เซ็งแซ่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นและกังวล กลางเมฆหมอกยังมีเรือเหาะลำอื่นจอดเทียบ ทั้งมีเกาะเล็กลอยฟ้า สะพานแขวนทอดยาวสองสามสายเชื่อมต่อกับท่าเรือ จี้หยวนเห็นแล้วเอ่ยปากชม
หลังจากเรือจอดนิ่ง แผ่นไม้ลอยขึ้นมาเชื่อมกันกลางอากาศ สุดท้ายค่อยกลายเป็นสะพานสามแห่ง พาดระหว่างเรือเหาะกับฝั่งอย่างมั่นคง ผู้โดยสารที่รอเวลานี้นานแล้วเริ่มลงจากเรืออย่างเป็นระเบียบ ตรงท่าเรือมีคนไม่น้อยมองเรือเหาะจวนเร้นจิต
จี้หยวนกับคนจากเขาล้อมหยกรอลงจากเรืออยู่ด้านหลังเล็กน้อย ก่อนจากไปผู้ดูแลจวนเร้นจิตสองคนล้วนมาอยู่ตรงนั้น คารวะส่งจี้หยวนกับผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยก
“ท่านจี้ สหายยุทธ์เขาล้อมหยกทุกท่าน วันหน้าพวกเราค่อยพบกันอีก ภายในสิบปีหากทุกท่านโดยสารเรือเหาะลำนี้ของพวกเราจวนเร้นจิตอีกครั้ง ผู้ดูแลบนเรือยังเป็นพวกเรา!”
สีหน้าสองผู้ดูแลนิ่งสงบ แต่รับรู้ถึงความจริงใจของพวกเขา พวกเขาเป็นผู้ดูแลเรือเหาะ หลายปีนี้คอยรับผิดชอบเรือเหาะ แน่นอนว่าไม่มีวาสนาเข้าร่วมงานชุมนุมเซียนพเนจร
จี้หยวนกับเหล่าผู้ฝึกปราณเขาล้อมหยกทยอยคารวะตอบ
“หากมีโอกาสย่อมพบกัน!”
“ไม่ผิด ผู้ฝึกเซียนอย่างพวกเราแสวงมรรคกับอิสระ ไม่กล้าพูดว่าอายุยืนเป็นอมตะ แต่มีอายุยืนยาว ย่อมพบกันอีกแน่!”
“ทุกท่านรักษาตัวด้วย!”
“ทุกท่านเดินทางปลอดภัย!”
หลังจากคารวะกัน จี้หยวนกับจูหยวนจื่อพาคนของเขาล้อมหยกก้าวออกจากเรือเหาะไปบนแผ่นไม้ เข้าสู่ท่าเรือเขาพิณพระจันทร์
บริเวณท่าเรือมีคนมองเรือเหาะจวนเร้นจิตซึ่งเหลือบแสงตะวัน ผู้ฝึกปราณอิสระตั้งโต๊ะร่วมกับสหายตามหอสุราตรงท่าเรือ มองผู้โดยสารเดินขึ้นลงเรือเซียนกับเกาะลอยซึ่งมาจากสถานที่ต่างๆ มองสิ่งแปลกใหม่กับแบ่งสูงต่ำ
“นี่คือยานข้ามแดนจากจวนเซียนใด ดูจากประกายแสงถือว่าไม่ธรรมดา”
“สหายยุทธ์คงไม่ทราบ นี่คือเรือเหาะหยินหยางของจวนเร้นจิต ใบเรือคือใบเรือหยินหยางมหึมาซึ่งหลอมโดยจวนเร้นจิต รวบรวมแสงตะวันจันทรา ดูดซับพลังยอดหยินยอดหยางได้ ร้ายกาจอย่างยิ่ง”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
“โอ้ พวกเจ้าดูสิ มีภูตสูงใหญ่ผิวสีดินเหลืองทั้งตัว ดูท่าว่าเป็นภูตหินดินเหลืองกระมัง”
“ฮ่าๆๆ ใช้ผ้าคลุมท่อนล่างเลียนแบบคนด้วย น่าสนใจจริงๆ”
ความจริงบรรดาผู้ฝึกปราณอิสระมีผู้สูงส่งมรรควิถีไม่ตื้นเขินเช่นกัน แต่บางครั้งงานชุมนุมเซียนพเนจรก็มีพวกดูชาติกำเนิด การแบ่งระดับมีอยู่ทุกที่ เซียนปีศาจเทพมารก็เป็นเช่นนี้ ขอเพียงมรรควิถีไม่สูงส่งถึงขั้นทำลายขีดจำกัด เหล่าผู้ฝึกปราณอิสระส่วนใหญ่ย่อมมาดูเรื่องสนุก
“ทุกท่าน มีผู้สูงส่งลงจากเรือหรือไม่”
“มีกลิ่นอายคลุมเครือไม่ชัดเจน คล้ายว่าเป็นสหายยุทธ์ฝึกปราณอิสระทั้งสิ้น ไม่เห็นสหายยุทธ์จวนเซียนเด่นดังใดลงมา”
“มีแล้วๆ ตรงนั้น บนเรือเหาะมีคนคารวะพวกเขาอยู่”
เมื่อมองตามจุดที่ผู้ฝึกปราณคนนั้นชี้บอก เห็นว่าบนแผ่นไม้ที่สองของเรือเหาะ พวกจี้หยวนกำลังเดินมาบนท่าเรือ
“สองคนข้างหน้าเป็นคนธรรมดาหรือ”
“หึๆ แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ แค่พวกเรามรรควิถีตื้นเขินเกินไป มองความจริงของผู้สูงส่งไม่ออกเท่านั้น สหายยุทธ์จ้าวคงสังเกตเห็นแล้ว สหายยุทธ์จ้าว?”
ในฐานะผู้ฝึกปราณอิสระซึ่งพลังปราณสูงสุดในที่นั้น ตอนนี้ผู้ฝึกปราณแซ่จ้าวระดับรวมศูนย์ส่ายหัวเล็กน้อย
“ต่อให้เป็นข้าก็มองสองท่านนี้ไม่ออก หากเจอตรงถนนบนโลกคนธรรมดา ข้าคงคิดว่าเป็นแค่คนธรรมดาซึ่งมีมาดอยู่บ้าง”