ตอนที่ 395 เหมือนปีศาจอยู่บ้าง (2)
“เธอจะสนใจมากมายขนาดนั้นไปทำไม” ระหว่างที่ฟางผิงพูด เห็นฟางหยวนยื่นหน้าเข้ามาจึงบีบแก้มไปตามระเบียบ เอ่ยอย่างเบิกบานว่า “อ้วนขึ้นแล้ว เต็มไม้เต็มมือ ดีจริงๆ!”
ฟางหยวนแทบจะร้องไห้แล้ว หน้าแดงจนโมโห “ไม่ได้อ้วน!”
“พ่อคะ แม่คะ หนูไม่ได้อ้วนใช่หรือเปล่า?”
สองสามีภรรยาหลุดขำ ไม่ได้พูดอะไร
ฟางผิงหัวเราะเช่นกัน หัวเราะอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยว่า “ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ ตั้งใจฝึกวิชาให้ดี พยายามศึกษาหาความรู้ ตอนนี้ฝีมือพี่เธอแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ตำแหน่งก็เลยสูงขึ้นไปด้วย คนใช้ชีวิตอยู่บนโลกต้องล่วงเกินคนบางส่วนอยู่แล้ว นับไม่ได้ว่าเป็นศัตรู แต่คนที่มองพี่เธอขัดหูขัดตามีอยู่แล้ว อาจจะไม่กล้าพาลโกรธมาลงที่ครอบครัวฉันเสมอไป แต่ระวังไว้ไม่เสียหาย พี่ยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาดูแลครอบครัวได้ตลอด เธอเองก็เป็นผู้ใหญ่เกินตัว เป็นเสาหลักของบ้านได้แล้ว ฝีมือเธอแข็งแกร่งขึ้น พี่ก็วางใจแล้ว รู้สึกอุ่นใจเหมือนกัน”
“ก่อนหน้านี้ที่ไม่พูดเรื่องพวกนี้เพราะกลัวว่าพวกพ่อแม่จะเป็นห่วง แต่ตอนนี้ฝีมือฉันแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฉันไม่เป็นห่วงตัวเอง แต่เป็นห่วงครอบครัวอยู่บ้าง บางคนใจคับแคบ ไม่สามารถทำอะไรฉันได้ มาสร้างเรื่องกับครอบครัวแทน นั่นก็ไม่ดีแล้ว ได้รับความไม่เป็นธรรม ถูกคนรังแก อย่าปิดบังเก็บไว้ในใจ ให้บอกฉัน ฉันจะเชือดไก่ให้ลิงดู ใช้คนพวกนั้นเป็นตัวเบิกทาง ยังคงเป็นเรื่องจำเป็น”
ฟางผิงพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อน สองสามีภรรยาฟางหมิงหรงกลับหน้าเปลี่ยนสี เผยความกังวลออกมา
ฟางหยวนไม่อาจสนใจเรื่องโกรธเคืองแล้ว รีบเอ่ยว่า “พี่ นายอัดคนอีกแล้ว?”
“ประมาณนั้น ร้ายแรงกว่านิดหน่อย ดังนั้นต้องตั้งใจฝึกวิชา เข้าใจหรือเปล่า?”
“อื้ม!”
ฟางหยวนพยักหน้าอย่างจริงจัง มีแรงกดดันแล้ว!
ฟางผิงหัวเราะยกใหญ่ กินข้าวต่อ ในห้องรับแขกตกสู่ความเงียบ
กินข้าวเสร็จ ฟางผิงก็ดึงฟางหยวนเข้าไปในห้องออกกำลังกาย เอาน้ำแร่พลังงานที่เหลือไม่เยอะให้ฟางหยวนกินเล็กน้อย
ของสิ่งนี้ค่อนข้างอ่อนโยน
เปลี่ยนเป็นหินพลังงาน พลังงานจะเข้มข้นมากเกินไป ฟางหยวนอาจรับไม่ได้เสมอไป มีโอกาสร่างกายระเบิดได้
ฟางหยวนสับสนมึนงงอยู่บ้าง ก็ไม่รู้ว่าตกลงของสิ่งนี้คืออะไร ไม่สนใจอะไรมากอยู่แล้ว
ตอนที่สองพี่น้องพูดคุยความในใจ สาวน้อยก็อดไม่ได้ “พี่ นายบอกว่าจะรับช่วงต่อมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้?”
“อืม”
“จะเป็นไปได้ยังไง ไม่ใช่ว่ามหาวิทยาลัยพวกนายมีปรมาจารย์หรือไง?”
“ปรมาจารย์แล้วยังไง?” ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สาวน้อย รอเธอเข้าสู่โลกผู้ฝึกยุทธ์ เธอก็จะเข้าใจเองว่าพี่เธอยิ่งใหญ่ถึงขนาดไหน แน่นอนว่าหากถึงวันนั้นจริงๆ พี่เธอน่าจะกลายเป็นปรมาจารย์แล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องมองปรมาจารย์เป็นเรื่องไกลตัวจนเกินไป”
“แต่พรสวรรค์ฉันแค่หนึ่งร้อยหกสิบ…”
“แค่กๆ นี่ไม่เป็นอะไร เมื่อกี้ที่ฉันเอาให้เธอดื่มก็คือยาเพิ่มพรสวรรค์ ตอนนี้พรสวรรค์เธอเพิ่มขึ้นแล้ว ไม่เชื่อหลังจากนี้เธอฝึกวิชาก็จะรู้แล้ว”
ฟางหยวนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่บ้าง
ยาเพิ่มพรสวรรค์?
“เชื่อเถอะ เรื่องจริง”
“จริงเหรอ?”
“แน่อยู่แล้ว!”
“งั้นตอนนี้พรสวรรค์ฉันเท่าไหร่แล้ว?”
“เกือบถึงสองร้อยแล้ว หลังจากนี้พี่มีของดีจะเอามาให้เธอกินอีก ไม่นานต้องเพิ่มถึงสี่ห้าร้อยแน่!”
ฟางหยวนฟังมาถึงตรงนี้ก็เผยสีหน้าดีใจทันที พึงพอใจอย่างมาก พี่ชายดีที่สุดแล้ว!
ฟางผิงบีบแก้มอย่างสบายอารมณ์ เด็กน้อยนี้หลอกง่ายจริงๆ บอกอะไรก็เชื่ออย่างนั้น
—
วันต่อมาฟางผิงก็บอกลาครอบครัว มุ่งหน้ากลับมหาวิทยาลัย
ในเวลาเดียวกับที่ฟางผิงกลับมหาวิทยาลัย
ห้องทำงานอธิการบดี
อู๋ขุยซานยืนอยู่ริมหน้าต่าง มองนักศึกษาที่อยู่ด้านล่างตึก เอ่ยเบาๆ ว่า “พวกเราแก่แล้ว”
หวงจิ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แก่มานานแล้ว”
“แต่ก็ไม่ได้แก่จนถึงขั้นเคลื่อนไหวไม่ได้?” อู๋ขุยซานเอ่ยลุ่มลึก “นี่จะชิงอำนาจซะแล้ว”
“ไม่ใช่บอกว่าให้นายฝึกวิชาทะลวงขั้นเก้าได้อย่างสบายใจหรือไง?”
อู๋ขุยซานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง “สรุปแล้วฉันฝึกวิชามาจนถึงขั้นนี้ ยังต้องให้เจ้าเด็กนั้นวางแผนอนาคตให้ฉัน?”
หวงจิ่งหัวเราะเบาๆ เอ่ยว่า “งั้นนายก็ปฏิเสธได้ หรือเขายังกล้าบังคับให้นายวางมือจากอำนาจจริงๆ?”
“นายล่ะ?”
“ฉัน?”
หวงจิ่งแค่นยิ้ม “ขอแค่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แข็งแกร่งขึ้น ฉันยังไงก็ได้”
“แต่ฉันรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง”
“อัดเขาสักรอบ ซ้อมเขาให้ครึ่งเป็นครึ่งตาย จากนั้นทิ้งคำพูดว่า ‘นายดูแลแทนฉันให้ดีๆ ไม่งั้นฉันเอานายตายแน่’ พูดวางอำนาจไว้ แสดงความเกรงขามนิดหน่อย…”
“นี่นับเป็นเรื่องอะไรกัน?”
“ไว้หน้าตัวเองที่ถูกชิงอำนาจหน่อย”
“มุกแป้กของนายไม่ขำเลยจริงๆ”
“งั้นนายก็ปฏิเสธ จากนั้นก็หาวิธีลงแรงกับมหาวิทยาลัยให้มากขึ้นหน่อย”
อู๋ขุยซานเอ่ยอย่างปวดหัวว่า “แต่ฉันต้องฝึกวิชาจริงๆ”
“งั้นก็ไม่มีทางเลือก นายคิดจะฝึกวิชาทะลวงขั้นเก้า ทั้งยังคิดกุมอำนาจไม่วางมือ ยังไงก็ต้องเลือกให้ความสำคัญกับอย่างใดอย่างหนึ่ง”
“แล้วเด็กนั่นล่ะ? เขาไม่ฝึกวิชาหรือไง?”
“เขาฝึกวิชาได้เร็ว ขั้นห้าแล้ว ทั้งยังไขกระดูกกลายพันธุ์ พลังจิตใจกลายพันธุ์ สะพานฟ้าดินกลายพันธุ์…รอวันไหนกะโหลกเขากลายพันธุ์ นายก็จะพบว่าเขาขั้นแปดขั้นเก้าแล้ว…”
คำพูดนี้แทงใจจนอู๋ขุยซานหน้าดำคล้ำ
อย่ามาล้อกันเล่นเลย ขั้นแปดขั้นเก้าง่ายขนาดนั้นที่ไหน บอกว่ากลายพันธุ์ก็กลายพันธุ์แล้ว?
หวงจิ่งเอ่ยลุ่มลึกว่า “อย่าไม่เชื่อเลย ไม่เชื่อก็คอยดู เจ้าเด็กนี้…เหมือนปีศาจอยู่บ้าง”
อู๋ขุยซานสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยอีกครั้ง “งั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไปฉันก็สามารถถอยกลับไปอยู่เบื้องหลัง ตั้งใจฝึกวิชาอย่างเงียบๆ ได้แล้ว?”
“นั่นคงไม่ถึงขนาดนั้น ช่วงเวลาที่สำคัญยังต้องออกมาแบกความผิดชอบ”
“ฉัน…”
อู๋ขุยซานอยากด่าคน!
“ได้ ฉันจะวางมือไม่ยุ่ง! ฉันกลับอยากเห็นว่าตกลงมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะเปลี่ยนไปยังไง! เรื่องบางอย่างที่เขาทำตอนนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ถูกผลักมาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดแล้วเช่นกัน”
“นี่เป็นยุคสมัยที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องทำตามระเบียบแบบแผนต่อไป หนึ่งมหาวิทยาลัยสยบหนึ่งถ้ำใต้ดินคงเป็นได้แค่ฝันหวานเท่านั้น”
“ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถทำได้! อาศัยแค่การเปลี่ยนแปลงแค่นี้ก็สามารถทำได้แล้ว?”
“อนาคตใครจะรู้”
“ยังห่างไกลอีกมาก นอกเสียจากเขาจะสามารถทะลวงขั้นเก้าสุดยอด เวลานั้นเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ ฉันก็ยอมแล้ว”
“ขั้นเก้าสุดยอด…”
หวงจิ่งพึมพำ เป็นไปได้งั้นเหรอ?
นั่นเป็นขั้นใหม่อย่างสิ้นเชิง!
จ้าวซิ่งอู่ถูกเรียกว่าใกล้เคียงกับขั้นเก้าสุดยอด อันที่จริงยังห่างไกลอีกมาก
ฟางผิงจะสามารถทำถึงขั้นนั้น?
ใครก็ไม่สามารถคาดเดาได้!
หวงจิ่งไม่พูดอีก อู๋ขุยซานกลับไม่คิดขัดแย้งในใจด้วยซ้ำ นั่นเป็นไปไม่ได้
อย่าพูดถึงอู๋ขุยซานเลย หวงจิ่งยังไม่มีความคิดนั้นเลยสักนิด?
แต่บางครั้งก็สามารถลองดูได้ เสี่ยงดูสักตั้ง อาจจะทำสำเร็จก็ได้
หากไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร รอถึงเวลานั้นค่อยออกมาสร้างภูเขาแม่น้ำขึ้นมาใหม่ ส่วนฟางผิง ปฏิรูปล้มเหลวแล้ว นั่นก็ต้องยอมรับผลแต่โดยดี มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่อาจแบกความผิดแทนเขาตลอดไปได้เหมือนกัน
—
วันที่ 26 ธันวาคม ปี 2009
ฟางผิงกลับมาถึงมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
วันนี้ฟางผิงที่อยู่ขั้นห้า เรียกประชุมอาจารย์ทั้งมหาวิทยาลัยในนามของตัวเองเป็นครั้งแรก
ช่วงเย็น
หอประชุมใหญ่มหาวิทยาลัย อาจารย์นับพันทั้งสายศิลปะการต่อสู้และสายสังคม คนที่สามารถมาได้ต่างมาถึงทั้งหมดแล้ว
หลายปีมานี้ เคยทำแบบนี้แค่ตอนที่อธิการเฒ่ารับตำแหน่งตามคำสั่งของอธิการคนก่อนที่จากไปกะทันหันด้วยระดับกลางเท่านั้น ฟางผิงถือว่าเป็นครั้งแรกที่ใช้ฐานะผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางเรียกประชุมใหญ่อาจารย์ทั้งโรงเรียน
ฟางผิงในตอนนี้ ยังเป็นแค่นักศึกษาปีสองคนหนึ่งเท่านั้น!
หอประชุมใหญ่เงียบจนตึงเครียดขึ้นมาอยู่บ้าง