บทที่ 435 ดาบปฐมบรรพจารย์สะบั้นไพศาลดั้งเดิม
และสวี่ชิงในตอนนี้ก็ก้าวเข้ามาในโลกภาพวาดฝาผนัง มาเยือนอีกครั้ง
จากกฎเกณฑ์ของโลกใบหนึ่งที่กดอัดมาบนร่าง เขาสูดลมหายใจลึก เอาป้ายออกมาแล้วไปยังเขตสิบสามตะวันออกที่เขาต้องดูแลในอนาคตตามการชี้นำทิศทาง
พื้นที่เขตนี้กว้างใหญ่มาก ก่อนหน้านี้มือผีไม่ได้พาเขามา หลังจากสวี่หาเจออย่างรวดเร็ว สายตาก็มองไป
ลักษณะภูมิประเทศของที่นี่เป็นภูเขาไฟเป็นหลัก พื้นดินสีแดงก่ำ หินหนืดเดือดทะลัก
เผ่าฟ้าทมิฬสามคนนั้นถูกสยบแยกกันในภูเขาไฟสามลูก
ใช้แสงและความร้อนของภูเขาไฟลอกเลียนแบบพลังของดวงอาทิตย์ ทำการทรมานพวกมันทั้งวันคืน
สวี่ชิงเหาะเหินไปสำรวจรอบหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นคือดึงผู้บำเพ็ญเผ่าฟ้าทมิฬคนหนึ่งออกมา ตรวจสอบอย่างละเอียด จากเวลาที่ไหลผ่านไป หลังจากห้าร้อยอึดใจ ในดวงตาสวี่ชิงก็ฉายประกาย
“กลิ่นอายของพระจันทร์สีชาดเข้มข้นกว่าเผ่าคลื่นศักดิ์มาก…” สวี่ชิงพึมพำ
ความจริงวันนั้นที่มือผีอธิบายและผ่าชำแหละเผ่าฟ้าทมิฬต่อหน้าเขาในวันนั้น สวี่ชิงก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพระจันทร์สีชาดในร่างของเผ่าฟ้าทมิฬแล้ว
กลิ่นอายนี้มาจากเลือดสีดำของเผ่าฟ้าทมิฬ
วันนี้มาถึง หลังจากที่เขาสำรวจก็ยืนยันจุดนี้
‘นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมข้าถึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพระจันทร์สีชาดในตัวของเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์แล้ว เพราะในกายของผู้บำเพ็ญเผ่าคลื่นศักดิ์สิทธิ์มีสายเลือดเผ่าฟ้าทมิฬผสมอยู่ส่วนหนึ่ง
‘ดูจากเช่นนี้แล้ว หรือเผ่าฟ้าทมิฬจะเป็นเหมือนกับผู้บำเพ็ญแผ่นดินเทวะที่ปรากฏบนตราประทับบนเสามรรคาสวรรค์พ้นพันธะมณฑลรับเสด็จราชัน ล้วนแต่เป็นนับถือเทพเจ้าชั่วร้ายที่ปิดดวงตาทั้งสองข้างในพระจันทร์สีชาดนั่น’
ในใจสวี่ชิงเกิดความระมัดระวังขึ้นมา เขารู้ดีว่าพระจันทร์สีม่วงในวังสวรรค์วังที่สี่ของตน เกิดจากการช่วงชิงพลังกลุ่มหนึ่งมาจากพระจันทร์สีชาด
“เผ่าฟ้าทมิฬ…” สวี่ชิงครุ่นคิด เขารู้สึกว่า การวิเคราะห์ของตัวเองน่าจะเป็นความจริง นี่ก็ตรงกับเรื่องที่พูดกันว่าในเผ่าฟ้าทมิฬไม่มีดวงอาทิตย์ มีเพียงดวงจันทร์เท่านั้น
นานหลังจากนั้น สวี่ชิงสะกดความคิดลงไป ส่งจิตเทพไปหาเจ้าเงา ให้มันทิ้งเนตรเงาไว้บนร่างเผ่าฟ้าทมิฬสามตนนี้เพื่อสังเกตสำรวจ
ขณะเดียวกันยังติดตั้งแผ่นหยกบันทึกภาพเงาเคลื่อนไหวเอาไว้ด้วย
จากนั้นสวี่ชิงก็คิดๆ เพื่อที่จะให้พวกมันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ สืบรายละเอียดออกมาได้มาขึ้น เขาจึงขังเผ่าฟ้าทมิฬทั้งสามตนนี้เอาไว้ในภูเขาไฟลูกเดียวกันเสียเลย
ทำทุกอย่างเหล่านี้เสร็จ สวี่ชิงก็ลองจับนักโทษต่างเผ่ามาตนหนึ่ง เขาคิดจะลองว่าเคล็ดพรางมารยาชิงมรรคาจะทำให้ตนกลืนกินอีกฝ่ายได้สำเร็จ พลังบำเพ็ญยกระดับขึ้นจากการนั้นได้หรือไม่
แต่น่าเสียดาย แม้ด้านกำลังรบสวี่ชิงจะสามารถบดขยี้นักโทษได้ แต่ความแตกต่างของระดับพลังบำเพ็ญ ทำให้ผลลัพธ์ของเคล็ดพรางมารยาชิงมรรคาไม่ได้ดีเท่าไรนัก
สวี่ชิงขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขารู้สึกกว่า หากเทียบกับกลืนกินระดับแก่นลมปราณเป็นการกินถังหูลู่ ไม่ว่าถังหูลู่จะแข็งเพียงใดเขาล้วนกินได้ อย่างไรเสียชั้นที่หุ้มอยู่ข้างนอกก็คือน้ำตาล เข้าปากก็ละลาย ลงไปในกระเพาะก็ย่อยได้
ส่วนการกลืนกินระดับปราณก่อกำเนิดก็เหมือนว่าชั้นข้างนอกของถังหูลู่หุ้มด้วยเหล็ก กลายเป็นลูกเหล็ก ย่อยไม่ได้
จุดนี้สวี่ชิงก็สามารถเข้าใจได้ ต่อให้อีกฝ่ายอ่อนแอเพียงใด ระดับขั้นพลังก็ยังคงเป็นปราณก่อกำเนิด ความแตกต่างของระดับขั้น ทำให้เคล็ดวิชาระดับแก่นลมปราณยากจะแสดงศักยภาพได้ตามปกติ
แน่นอนก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธี แต่มันยุ่งยากมาก สะดวกสบายไม่สู้กลืนกินระดับปราณก่อนกำเนิด
สวี่ชิงรู้สึกว่าอาจจะเป็นเพราะวิธีการของตัวเองไม่ถูก ดัจึงคิดวางแผนรอให้หลังจากที่ตัวเองทนแบกรับที่นี่ได้นานยิ่งขึ้น ค่อยลองหาวิธี ตอนนี้คำนวณเวลาแล้ว เขาเตรียมจะจากไป
วันนี้เขามาที่นี่สองครั้งแล้ว ตอนนี้ร่างกายแบกกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ไว้ก็ใกล้จะถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว
และในตอนที่เขาเตรียมจะจากไป จู่ๆ ที่ไกลๆ ก็ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆหมอกบนฟ้าปรากฏขึ้นเอง แปรเปลี่ยนเป็นเมฆดำมืดไปทั่ว สายฟ้าแต่ละทางๆ แลบแปลบปลาบในนั้นไม่ขาดสาย
ประดุจทัณฑ์สวรรค์
ยิ่งมีสายฟ้าจำนวนไม่น้อยฟาดผ่าลงพื้น เกิดเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวรัวเป็นชุด ทำให้ผืนแผ่นดินพังทลาย เศษหินระเบิดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังขยายบริเวณไปเรื่อยๆ อีกด้วย
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง เขาไม่ได้ใช้กฎเกณฑ์ทำให้เกิดภาพนี้
“หรือจะมีพัศดีคนอื่นมา”
สวี่ชิงร่างไหววูบ มุ่งหน้าเข้าไปใกล้ ทุกที่ที่พาดผ่าน รอบๆ ล้วนเกิดลมเมฆโหมทะลัก
มองไกลๆ แล้วเหมือนกายสวรรค์ที่หุ้มล้อมด้วยพลังอันกล้าแกร่ง กำลังห้อตะบึงไป
และในเสี้ยวพริบตาที่สวี่ชิงใกล้เข้าไป เงาร่างทางหนึ่งก็พลันพุ่งออกมาจากพื้นดินข้างล่างทัณฑ์สวรรค์ นั่นเป็นต่างเผ่าที่ผิวทั่วทั้งร่างเป็นสีฟ้า ศีรษะมีเขาเดียว ร่างสูงใหญ่ตนหนึ่ง
ต่างเผ่าตนนี้มีตาเดียว แขนทั้งสองใหญ่หนา แต่ละข้างมีนิ้วเก้านิ้ว ตอนนี้สีหน้าแฝงด้วยความร้อนรน ยิ่งมีความบ้าคลั่ง กำลังพุ่งไปในเมฆอัสนีบนฟ้าอย่างรวดเร็ว
เขากำลังผจญเคราะห์!
สวี่ชิงเมื่อได้เห็นก็กระจ่างทันที ที่นี่ไม่มีพัศดีคนอื่น เหตุผลที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินก็คือต่างเผ่าตนนี้
ต่างเผ่าตนนี้ไม่ธรรมดาเลย พลังบำเพ็ญในโลกใบเล็กก็ยังใกล้ทะลวงพลังบำเพ็ญได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้โลกใบเล็กแปรเปลี่ยนเป็นทัณฑ์สวรรค์ทำการสยบกำราบ
เรื่องนี้ในโลกใบเล็กมีให้เห็นไม่มากนัก ช่วงนี้จากการที่เข้าใจแดนคุก สวี่ชิงรู้ดีว่า…อีกฝ่ายไม่มีทางทำสำเร็จ
หากกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้ไม่ใช่วังครองกระบี่เป็นผู้ควบคุม อีกฝ่ายมีความเป็นไปได้ว่าจะทำได้สำเร็จ แต่การสยบกำราบของทัณฑ์สวรรค์ที่นี่ตอนนี้ แม้สวี่ชิงจะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่จากความเข้าใจของเขา พลานุภาพของมันสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
และที่นี่เดิมไม่มีการควบคุมดูแล คิดแล้วนี่ก็เป็นเหตุผลที่ต่างเผ่าตนนั้นเลือกที่นี่
แต่นักโทษตนนี้เห็นได้ชัดว่าคาดการณ์ไม่ถึงเรื่องการมาเยือนของสวี่ชิงในวันนี้
‘ผู้อาวุโสมือผีจัดให้ข้ามาที่นี่เป็นเพราะรู้เรื่องนี้ใช่หรือไม่’ ในขณะเดียวกับที่สวี่ชิงในใจกระจ่าง เมฆเคราะห์แถบนั้นก็พลันมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวออกมา
อัสนีส่งเสียงสะท้านเลื่อนลั่น ฟ้าเปลี่ยนสี อัสนีแต่ละทางๆ ฟาดลงมาจากในชั้นเมฆ แต่ไม่ได้ฟาดผ่ามายังต่างเผ่าที่พุ่งมาตนนั้น แต่กลับรวมตัวอย่างรวดเร็ว
แล้วรวมเป็นดาบยาวที่ก่อขึ้นจากสายฟ้าแลบฟ้าร้องเล่มหนึ่งข้างล่างชั้นเมฆ
ดาบเล่มนี้แสงอัสนีมหาศาล เจิดจ้าพร่างพราย ตอนนี้เมื่อปรากฏขึ้นฟ้าดินส่งเสียงดังกึกก้อง
พลังแข็งแกร่งทรงพลานุภาพกลุ่มหนึ่งฟาดลงมา ในนั้นแฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์ที่โคจรโลกใบเล็กแห่งนี้ แฝงไว้ด้วยกฎเกณฑ์ฟ้าดิน ยิ่งแฝงด้วยพลังแห่งมรรคาสวรรค์
แผ่ท่วงทำนองเต๋าอันชัดเจนออกมา!
แสงดาบในเสี้ยวขณะนี้ยิ่งเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง ทำให้สีสันในฟ้าดินเปลี่ยนแปลง เหมือนว่าในเสี้ยวขณะนี้โลกมืดมนลงโดยสมบูรณ์ มีเพียงประกายของดาบเล่มนี้ที่เป็นแสงเพียงหนึ่งเดียวในฟ้าดิน!
ด้วยพลานุภาพอันสูงสุด สำแดงพลังไม่สิ้นสุด ทำให้เกิดเสียงแหวกอากาศที่ดังก้องผืนฟ้า ฟันไปยังต่างเผ่าตนนั้นดาบหนึ่ง!
นี่ถึงจะเป็นดาบสวรรค์ที่แท้จริง!
สิ่งที่ฟาดฟันไม่ใช่กาย แต่เป็นมรรคา!
ดาบหนึ่งฟาดลงมา ทะลุผ่านร่างของต่างเผ่าไปในพริบตา
ต่างเผ่าผิวสีฟ้าทั่วทั้งร่างสะท้านเฮือก ปากส่งเสียงร้องโหยหวนน่าสังเวช ขณะทั่วทั้งร่างสั่นสะท้าน ก็กระอักเลือดออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
ในขณะที่ร่างจะร่วงหล่น พลังบำเพ็ญระดับก่อลมปราณตนนั้นไม่อาจทานทนได้ เพียงพริบตาก็ระเบิดทันที!
พลังบำเพ็ญระดับแก่นลมปราณในกายสูญสิ้น วังสวรรค์ทั้งหมดแหลกสลาย ไฟระดับสร้างฐานมอดดับทันที รากฐานเต๋าพังทลายในพริบตา พลังบำเพ็ญสูญสลาย!
“ข้าเจ็บใจนัก!!”
เสียงของต่างเผ่าตนนี้น่าสังเวชเป็นอย่างนิ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าตัวอยู่ในโลกใบเล็กใบนี้ ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ไม่อาจต้านทานได้ มันทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ ร่างส่งเสียงระเบิดดังบึ้มร่วงลงพื้น แปรเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา สูญเสียซึ่งทุกอย่าง นอนลมหายใจรวยริน
ส่วนสวี่ชิงในตอนนี้ไม่ได้ไปสนใจนักโทษตนนั้น และไม่ได้ฟังเสียงคำรามอย่างเจ็บใจของอีกฝ่าย เขาร่อนลงบนยอดเขาลูกหนึ่ง ดวงตาทั้งสองเบิกกว้าง ในใจราวอัสนีสวรรค์ฟาดผ่ากึกก้อง ในสมองยิ่งเกิดระลอกคลื่นท่วมฟ้าซัดโหม
เขาจ้องดาบสวรรค์ที่ก่อตัวจากสายฟ้านับไม่ถ้วนบนท้องฟ้าตาไม่กะพริบ
ดาบนั้นผุดขึ้นในสมองของเขาไม่หยุด กลายเป็นเพียงหนึ่งเดียว
“ดาบนี้…ดาบนี้…” สวี่ชิงพึมพำ ร่างสั่นสะท้าน ใจเหมือนมีลมพายุพัดกวาด
การเปลี่ยนแปลงของจิตใจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ฟ้าดินรอบๆ เหนือศีรษะของเขาเกิดเมฆหมอกนับไม่ถ้วน ประเดี๋ยวกลายเป็นฝนกรด ประเดี๋ยวก่อตัวเป็นสายฟ้าสนามแม่เหล็ก ประเดี๋ยวเกิดเป็นฟ้าแลบ
รอบๆ ขุนเขารวมเขาอยู่ในนั้นด้วยก็เช่นกัน
ทุกสิ่งนอกภูเขาล้วนรางเลือน ประเดี๋ยวเป็นมหาสมุทร ประเดี๋ยวเป็นที่ราบ ประเดี๋ยวเป็นทะเลทราย ประเดี๋ยวกลับคืนเป็นภูเขาไฟดังเดิม
ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆหอบม้วน
ส่วนผู้บำเพ็ญต่างเผ่าที่ผจญเคราะห์ล้มเหลวตนนั้น ตอนนี้ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ฟ้าดินนี่ ก็หายไปไร้ร่องรอย บางทีอาจตายไปแล้ว บางทีอาจหนีไปแล้ว
สวี่ชิงไม่สนใจคนคนนี้ สมาธิจิตทั้งหมดของเขาตอนนี้อยู่ที่ดาบเคราะห์สวรรค์
ต่อให้ดาบเคราะห์สวรรค์เล่มนี้กำลังค่อยๆ หายไปในที่ไกล แต่ในสมองสวี่ชิงกลับยิ่งชัดเจนขึ้น
ดาบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าคล้ายกันกับดาบที่เทวรูปเดินแล้วฟาดฟันลงมาที่ได้เห็นในศาลเจ้าไพศาลอนันต์ ในพื้นที่ต้องห้ามผู้ครองกระบี่มณฑลรับเสด็จราชันตอนนั้นเป็นอย่างมาก
คิดถึงตรงนี้ สวี่ชิงร่างสั่นสะท้าน
“หรือว่า…”
เขามีการวิเคราะห์รางๆ อย่างหนึ่งว่าผู้แข็งแกร่งสุดยอดที่รังสรรค์ดาบสะบั้นไพศาลในตอนนั้น บางที…อาจจะเคยเห็นดาบสวรรค์สะบั้นมรรคาที่คล้ายกับในวันนี้ก็เป็นได้
แต่มองให้ละเอียดแล้วก็ไม่เหมือนกัน
ดาบสะบั้นไพศาลของศาลเจ้าเป็นดาบของผู้บำเพ็ญ ส่วนดาบนี้ในวันนี้เป็นดาบเคราะห์สวรรค์
จุดคล้ายกันของดาบทั้งสองคือเหมือนว่ามาจากรากเดียวกัน จุดที่ไม่เหมือนกันคือท่วงทำนองเต๋าที่แฝงอยู่มีความแตกต่างกัน ดังนั้นแนวคิดในการสะบั้นฟาดฟันไม่เหมือนกัน
อย่างแรกสังหารกาย อย่างหลังทำลายมรรคา
‘หากข้าสัมผัสรับรู้มันได้ ผสานเข้ากับดาบสะบั้นไพศาลล่ะก็…’
ในดวงตาสวี่ชิงฉายประกายวาววับ ลมหายใจถี่กระชั้นเล็กน้อย
มือขวาของเขายกขึ้นไปตามสัญชาตญาณ จากการที่จิตใจลอกเลียนดาบนั้น มือขวาก็ขยับตาม คิดจะสำแดงดาบสะบั้นมรรคาที่สร้างมาจากการหลอมรวมของกฎเกณฑ์โลก กฎเกณฑ์ฟ้าดินแห่งนี้
แต่ต่อให้เป็นสวี่ชิงที่ด้านการสัมผัสรับรู้น่าตื่นตะลึง ก็ยังไม่อาจทำให้สำเร็จโดยที่ได้เห็นในผาดเดียวได้
หลังจากนั้นหลายสิบอึดใจ จากเงาดาบสวรรค์ที่ก่อตัวจากสายฟ้าบนฟ้าค่อยๆ สลายไป เงาดาบที่ปรากฏขึ้นในใจสวี่ชิงก็รางเลือน
จวบจนสุดท้าย ต่อให้สวี่ชิงจะไม่ยอมจำนนเพียงใด ก็ยังคงยากจะคงมันไว้ ค่อยๆ เลือนหายไป
เขาก็ลองใช้สิทธิ์อำนาจของตัวเองสร้างดาบนี้บนท้องฟ้าอีกครั้ง แต่กลับไร้ประโยชน์
เห็นได้ชัดว่าการปรากฏขึ้นของดาบเคราะห์สวรรค์ประเภทนี้ อยู่นอกเหนือสิทธิ์อำนาจของเขา
แต่สวี่ชิงก็ไม่ยอมแพ้ ดวงตาทั้งสองหลับลงทันที เริ่มทำสมาธิ
เหมือนกับสัมผัสรับรู้ข้างหน้าภูเขาจักรพรรดิภูตในตอนนั้น พยายามทำให้เงาดาบในสมองเลือนหายไปอย่างช้าๆ พยายามจำมันเอาไว้
เวลาหลายร้อยอึดใจ เพียงพริบตาก็ผ่านพ้นไป
สวี่ชิงลืมตา ในดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด เขาเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าที่เมฆหมอกสลาย ฟื้นคืนสู่ปกติ ถอนหายใจเบาๆ ออกมาทีหนึ่ง
การสัมผัสรับรู้ของเขา…ก็ยังคงล้มเหลวอยู่ดี
ด้านหนึ่งคือเวลาที่ดาบสวรรค์ปรากฏขึ้นสั้นเกินไป อีกด้านหนึ่งคือขีดจำกัดสูงสุดในการมาเยือนโลกใบนี้ของเขา ทำให้สภาวะของเขาไม่ดี
และยังมีอีกด้านหนึ่งคือระดับของดาบสวรรค์เล่มนี้สูงมาก ในระดับหนึ่งแล้วสามารถมองเป็นดาบสะบั้นไพศาลดั้งเดิมได้เลย
ทุกอย่างนี้ทำให้สวี่ชิงยากจะทำสำเร็จ
“แล้วก็ข้าใจร้อนเกินไป”
สวี่ชิงพึมพำ หลังจากวิเคราะห์สาเหตุของการล้มเหลว เขาก็จำต้องทะยานตัวขึ้นท่ามกลางการทอดถอนใจ ไปจากโลกใบเล็กแห่งนี้
ในเสี้ยวพริบตาที่ออกมา จากร่างที่พลันผ่อนคลาย ความรู้สึกเหนื่อยล้าก็เกิดขึ้นทั่วทั้งร่างทันที
ทุกครั้งที่ออกจากโลกใบเล็ก เขาล้วนเกิดความรู้สึกแบบนี้ นี่เกิดจากพลังบำเพ็ญของเขาไม่พอ แบกรับกฎเกณฑ์ของโลกใบหนึ่ง ภาระต่อร่างกายสูงมาก
แต่ว่าสวี่ชิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ในดวงตาของเขาฉายแววครุ่นคิด ในใจก็ยังคงทำการวิเคราะห์อยู่
“หากอยากสัมผัสรับรู้จะต้องให้มันปรากฏขึ้นหลายๆ ครั้ง…ตัวเองยิ่งต้องอยู่ในสภาวะผ่อนคลาย เป็นสมาธิโดยสมบูรณ์โดยสมบูรณ์
“จึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุดาบสวรรค์สะบั้นมรรคานี้”
สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิด ก้มหน้ามองโลกใบเล็กข้างล่าง ในใจมีทิศทาง
“ดาบสะบั้นไพศาล ตอนนี้ข้าบรรลุแล้วสองดาบ หากดาบสวรรค์สะบั้นมรรคาทำได้สำเร็จ เช่นนั้นดาบนี้ก็จะเป็นดาบที่สามของข้า”
สวี่ชิงหลังจากมาถึงเมืองหลวงเขตปกครองก็ไม่ได้ไปจากที่นี่เลย ไม่เคยออกไปตามหาศาลเจ้าไพศาลอนันต์ข้างนอก ดังนั้นดาบสะบั้นไพศาลจึงไม่บรรลุเพิ่มขึ้น
นอกจากนั้นเขาก็รู้ว่าเงื่อนไขการสัมผัสรับรู้ดาบสะบั้นไพศาล ความจริงแล้วศาลเจ้าส่วนมากล้วนว่างเปล่า
ในเมื่อขอเพียงมีคนทำสำเร็จครั้งหนึ่งก็สูญสิ้นพลังแล้ว ต้องใช้เวลาหลังจากนั้นสามสิบปีถึงจะค่อยๆ สัมผัสรับรู้ใหม่ได้อีกครั้ง
นี่ก็ชี้แล้วว่าความยากของการสะสมดาบสะบั้นไพศาลสูงมาก ต้องมีวาสนาถึงจะหาศาลเจ้าที่ครบกำหนดเวลา หรือยังไม่เคยได้รับการสัมผัสรับรู้ หรือบังเอิญว่าผู้สัมผัสรับรู้ตายพอดี
ขณะที่ครุ่นคิด สวี่ชิงก็กลับมาถึงกรมราชทัณฑ์
“ยังไม่กลับหอกระบี่แล้วกัน!”
ในเสี้ยวพริบตาที่เดินออกมาจากภาพวาดฝาผนัง สวี่ชิงหันไปมองทางภาพโลกใบเล็ก
ในดวงตาฉายแววมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หามุมหนึ่งที่ชั้นเก้าสิบแล้วนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ
หลังจากนั้นสองชั่วยาม ในยามที่โลกใบเล็กทีพัศดีทยอยเดินออกมา ร่างของสวี่ชิงภายใต้การโคจรจากผลึกแก้วสีม่วงในร่างก็ฟื้นฟูเป็นปกติ
เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ลุกขึ้นก้าวเข้าไปในภาพวาด แบกรับกฎเกณฑ์ที่ประทับลงมา เข้าไปในโลกใบเล็กอีกครั้ง